บทย่อ
เซียมซีหมายเลข 13 ทำให้ชีวิตของปกรณ์ต้องเข้าไปวุ่นวายในครอบครัวมหาเศรษฐีอย่างหงส์และการเข้ามาของเขานี้ทำให้หล่อนดูถูกเขาว่าเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ เขาโกรธหล่อนและไม่อยากเข้ามาอยู่กับครอบครัวของหล่อนอีกแต่เพราะความฝันขายไข่เจียวในห้างฯดัง ทำให้เขาต้องอดทนกับคำพูดดูแคลนนั้นอย่างอดทนที่สุดในชีวิตเลยแหละ
บทที่ 1 ไม่ท้อ
“แกร๊ก ๆ ๆ แกร๊ก ๆ ๆ ...แป่ะ”
“เฮ้ย ได้แล้วว่ะ”
เสียงร้องอย่างยินดีกับไม้ไผ่ซี่เล็กยาวประมาณ 7 นิ้วตรงปลายทาสีแดงไว้และในสีแดงเป็นตัวเลขอารบิกเขียนไว้ตั้งแต่เลข 1 ถึงเลข 28 และไม้ที่หล่นตรงหน้าวุฒิศักดิ์เป็นเลข 18 เขาวางกระบอกพลาสติกกลมที่ใส่ไม้ไผ่หรือที่เขาเรียกว่าเซียมซีลงข้างตัวแล้วหยิบไม้ไผ่ขึ้นมา ปกรณ์ยังหลับตาเขย่ากระบอกพลาสติกอีกกล่องอย่างจริงจังได้ยินเสียงเพื่อนรักแต่ไม่ลืมตาจนกระทั่งเสียงไม้ในกระบอกหล่นกระจาย
“เฮ้ย.ขออันเดียว”
เขาลืมตาเห็นไม้หล่นเกือบ 10 อัน วุฒิศักดิ์หยิบไม้ที่ตัวเองเขย่าได้ขึ้นมามองเลข ไม่สนใจเพื่อนที่รวบซี่ไม้ลงในกระบอกและตั้งหน้าตั้งตาเขย่าอีกครั้ง
“กูได้เบอร์สิบแปดว่ะ”
“กูยังไม่ได้เลย เขย่ายังไงวะ”
ปกรณ์ถามเพื่อนแต่เพื่อนลุกเดินไปที่กล่องใส่แผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าในกล่องพลาสติกไล่หาตัวเลขที่ต้องการแล้วหยิบขึ้นมาอ่าน เสียงแกร๊ก ๆ ดังอยู่ด้านหลังครู่เดียวเสียงเงียบไป เสียงเพื่อนรักดังขึ้นมาแทนที่
“ได้แล้วโว้ย”
“เลขอะไรวะ”
วุฒิศักดิ์พลอยตื่นเต้นไปกับเสียงของเพื่อนด้วย เขายืนรออยู่ตรงจุดเก็บใบทำนายเซียมซี ปกรณ์เดินมาก้มมองกล่องพลาสติกชี้นิ้วไล่ไปเรื่อย ๆ และมาหยุดที่กล่องหมายเลข 13 วุฒิศักดิ์ยื่นหน้าเข้ามามอง
“เฮ้ย.ได้เลขสิบสามเหรอวะ เลขนี้เขาว่าไม่ดีนะโว้ย”
“มึงอ่านแล้วเหรอถึงว่าไม่ดีของมึงล่ะดีรึเปล่า”
ปกรณ์ว่าเพื่อนมือก็หยิบแผ่นกระดาษในกล่องออกมา วินาทีนั้นลมพัดวูบเข้าปะทะใบหน้าของเขาและพัดแผ่นกระดาษในมือเขาลอยขึ้น เขาหันไปคว้าแต่ไม่ทันแผ่นกระดาษลอยลิ่วออกจากศาลเจ้าที่เขากับเพื่อนเข้ามากราบไหว้ขอโชคลาภ เขาวิ่งตามออกไป
“เฮ้ย.ตามทำไมวะ มาเอาแผ่นใหม่”
วุฒิศักดิ์ร้องเรียกปกรณ์แต่เพื่อนวิ่งออกไปไกลแล้ว เขาจึงได้แต่ยกมือเกาศีรษะและหันมาสนใจใบเซียมซีของตัวเองขณะที่ปกรณ์วิ่งไล่จับใบทำนายเซียมซีเหมือนจะจับได้แต่ก็ปลิวลอดมือไป เขาวิ่งไกลออกไปจากศาลเจ้าโดยไม่เหลียวกลับมามองว่าไกลแค่ไหนและจู่ ๆ กระดาษที่เขาไล่คว้าก็หยุดและหล่นลงโคนต้นไม้อย่างง่ายๆ เขายืนเท้าเอวพยักหน้าไปที่กระดาษพร้อมคำพูดแนวประชด
“เออ นึกจะหยุดก็หยุด นึกจะปลิวก็ปลิว ผีสิงอยู่รึไงไม่ทราบคร้าบกระผม”
“เออ.”
เสียงตอบกลับมาเร็วและดังพอให้ชายหนุ่มได้ยิน เขาลดมือลงอย่างรวดเร็วหันไปมองรอบตัว ไม่มีใครอยู่กับเขาแล้วเสียงที่ตอบเขาเป็นเสียงใคร เขาเงยมองขึ้นไปบนต้นไม้ปราศจากสิ่งมีชีวิตที่พูดได้จะมีก็มดเท่านั้นซึ่งมดพูดไม่ได้ เขาลดสายตาเรื่อย ๆ จากยอดไม้มาที่โคนไม้จนถึงแผ่นทำนายเซียมซี
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเขา น่าแปลกที่เขาเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาๆ แถมเกิดในชุมชนแออัด อยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ที่ไม่ร่ำรวยตั้งแต่เด็กจนโตและเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีบริหารไม่ถึงเดือนแต่ผิวพรรณหน้าตากลับโดดเด่นกว่าเพื่อนๆ และถ้าหากเขาโกหกว่าเป็นลูกคุณหญิงหรือผู้ดีเก่าบ้านร่ำรวยเป็นคุณหนูไม่ได้ทำงานหนักมีชีวิตสะดวกสบายก็คงมีคนเชื่อคำพูดของเขาเชื่ออย่างสนิทด้วย
แต่ความเป็นจริงเขาคือนายปกรณ์ สุดใจดี ลูกชายคนเดียวของนายเกรียงไกรกับนางวาณีอาชีพปัจจุบันขายข้าวไข่เจียวทุกชนิดเท่านั้น ก่อนที่วาณีจะหันมาเป็นแม่ค้าขายข้าวไข่เจียวเคยไปรับจ้างเป็นแม่บ้านเศรษฐีซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่หล่อนอยู่เท่าไหร่เผอิญเศรษฐีทำธุรกิจล้มละลายต้องขายบ้านหนีไปอยู่เมืองนอก วาณีจึงตกงานและประจวบเหมาะกับเกรียงไกรที่ทำงานก่อสร้างประสบอุบัติเหตุไม้หล่นใส่ศีรษะซีกซ้ายสลบไปสามวันสามคืนฟื้นขึ้นมาตาซ้ายมองไม่เห็น ผู้รับเหมาก่อสร้างจึงเลิกจ้าง เกรียงไกรเสียใจที่ตามองไม่เห็นข้างหนึ่งแต่วาณีก็เฝ้าปลอบใจสามีว่า
“ตาแกบอดข้างเดียวเอง มันบอดสองข้างซะเมื่อไหร่ล่ะมันยังมองเห็นแต่ถึงจะบอดทั้งสองข้างเราก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึงเวลามันไม่ตายมันก็ต้องสู้จนถึงที่สุดแกไม่เห็นไอ้เหม็นขายล็อตเตอรี่เหรอ มันบอดมาตั้งแต่เด็กมันก็ยังสู้ ขายหวยได้เดือนละหลายตังค์ แกบอดแค่ข้างเดียวจิ๊บ ๆ ว่ะ”
“จริงเหรอวะแก จิ๊บ ๆ แน่นะ”
เกรียงไกรหันมามองภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ลำบากมาด้วยกันจนมีลูกชายเรียนใกล้จะจบปริญญาตรี เขาส่งลูกเรียนโดยไม่ไปหยิบยืมเงินใครสักบาทเดียว บางวันเงินซื้อข้าวแทบไม่พอเมื่อซื้อไม่ได้ 10 กิโลกรัมก็ซื้อแค่ 2 กิโลกรัมเงินที่เหลือซื้อไข่ ชีวิตมันมีหนทางแยกแยะได้ แบ่งปันได้และมีไว้ให้สู้ไม่ใช่มีไว้ให้ท้อแท้และยอมแพ้กับความลำบากกับความยากจนเขาบอกภรรยาและลูกอย่างนั้น
จากวันนั้นเกรียงไกรชวนวาณีเก็บของเก่าขายในวันธรรมดาส่วนวันเสาร์และอาทิตย์ขายข้าวไข่เจียวที่เป็นไข่เจียวอย่างเดียวเพราะทำพลิกแพลงอย่างอื่นไม่เป็น เรื่องการตกงานไม่ได้อยู่ในสมองของสองผัวเมียเพราะคำว่าไม่ท้อนั่นเอง