บทที่ 2 ไม่เพ้อ
ปกรณ์คิดจะลาออกจากมหาวิทยาลัยเพราะเห็นพ่อกับแม่ลำบากหาเงินส่งเขาเรียนแต่พอเห็นคนมาซื้อข้าวไข่เจียวเพิ่มมากขึ้นความคิดก็แล่นปรู๊ดไปถึงหน้าห้างสรรพสินค้าทันที
“แม่ ย้ายไปขายข้าวไข่เจียวหน้าห้างฯ กันมั้ย”
“อย่าเพ้อไอ้กรณ์ ใครเขาจะให้แกไปขายเกะกะเขาแค่ที่ตลาดสดวันเสาร์อาทิตย์ก็พอแล้ว แกก็จะจบแล้วไม่ใช่เหรอ อีกปีกว่า ๆ เอง”
วาณีว่าให้ลูกชายขณะนับเงินที่ได้จากการขายข้าวไข่เจียววันอาทิตย์นี้ หล่อนกับสามีทำกับข้าวได้หลายอย่างแต่ในตลาดสดใกล้หมู่บ้านมีแม่ค้าหลายรายและแต่ละรายมีลูกค้าประจำอยู่แล้ว หล่อนจึงไม่คิดจะทำกับข้าวขายซึ่งค่าเงินสำหรับซื้อของมาทำกับข้าวไม่พออยู่แล้ว
“แต่มันน่าลองนะแม่ เราขายก่อนห้างเปิดช่วงเช้าไงแม่ คนรีบไปทำงานใช่มั้ยแม่พอผ่านมาเห็นข้าวไข่เจียวปุ๊บซื้อปั๊บ”
ปกรณ์ยังไม่หยุดความคิดให้แม่กับพ่อไปขายข้าวที่หน้าห้างสรรพสินค้า เกรียงไกรมองหน้าลูกชายแล้วหัวเราะ
“ไอ้กรณ์ พ่อว่าเอ็งไม่แค่เพ้อแล้วแหละ ฝันกลางวันเลยแหละ เลิกฝันได้แล้วไปล้างจานเดี๋ยวกินข้าวกัน”
“โธ่พ่อ ผมพูดจริง ๆ นะผมคุยกับเฮียขายก๋วยเตี๋ยวแล้ว เฮียแกบอกว่าค่าเช่าไม่แพงมาก เราขายแค่ไม่กี่ชั่วโมงไม่ได้ขายทั้งวัน พ่อจะได้ไม่ต้องไปตระเวนเก็บของเก่าไงล่ะ”
“เออ ๆ พ่อเข้าใจ แกเป็นห่วงพ่อกับแม่ ไปล้างจานได้แล้ว”
เกรียงไกรไม่ห้ามความคิดของลูกแต่ไม่ฟังต่อแค่นั้นเอง ชายหนุ่มหันไปมองแม่ แม่ก็นับเงินอย่างเดียวไม่เหลือบแลมองหน้าเขาแม้แต่แวบเดียว เขาจึงต้องลุกไปล้างชามปากก็บ่นพึมพำที่พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา
“ทำไมไม่เชื่อเราบ้าง พ่อกับแม่จะขายดีมากกว่านี้ด้วยจะบอกให้ ฮึ้ย..”
“เพล้ง...”
ความหงุดหงิดที่พ่อแม่ไม่เชื่อเขาทำให้ลืมตัวโยนชามลงในกะละมังตามอารมณ์ ผลตามมาคือชามแตกทันตาเห็นและเสียงตะโกนมาจากในบ้านก็ดังตามมา
“เฮ้ย ๆ ยังไงก็ให้เหลือไว้สักสองสามใบนะโว้ย”
“จัดไป หักเงินค่าขนมตามจำนวนจานแตกก็แล้วกันนะพ่อนะ”
เสียงแม่ดังตามมาอีก ปกรณ์ทำปากขมุบขมิบแต่ก็ระวังไม่ให้อารมณ์อยู่เหนือมือที่กำลังถูจานและวางจานเบามือกว่าเดิม
ความคิดของปกรณ์ไม่หยุดนิ่งแม้ว่าเกรียงไกรกับวาณีไม่ทำตามความคิดเห็นของเขา เพื่อนที่เขาระบายความในใจได้ทุกอย่างจะช่วยเขาพูดกับพ่อแม่ของเขา บางทีพ่อกับแม่อาจเปลี่ยนใจ
“ไอ้วุฒิ อยู่เปล่าวะ”
เสียงเรียกดังมาก่อนที่จะเดินถึงบ้านวุฒิศักดิ์ เจ้าของบ้านไม่ตอบแต่เดินออกมายืนที่ระเบียง
“มีอะไรวะมาซะมืดเชียว ชวนไปเที่ยวเหรอวะ รอแป๊บเปลี่ยนกางเกงก่อน”
“ไม่เที่ยวโว้ย อารมณ์ไม่ดี ใกล้สอบแล้วห้ามเที่ยว มึงก็เหมือนกัน”
ปกรณ์เดินขึ้นบันไดแค่ 3 ขั้นก็ถึงพื้นบ้านหลังเล็กของวุฒิศักดิ์ เพื่อนรักของเขาอยู่กับแม่และน้องชาย ครอบครัวของเพื่อนลำบากไม่แพ้กับครอบครัวของเขา
“กูเรียนรามฯ จบตอนไหนก็ได้เขาให้เวลาตั้งหลายปี มึงนั่นแหละต้องจบตามกำหนดเวลาของมหาวิทยาลัย สมน้ำหน้าอยากสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังแถมเป็นของรัฐด้วย”
เหมือนเพื่อนจะเห็นใจแต่ประโยคท้ายทำให้ปกรณ์หุบยิ้มทันที ยกมือจะตบศีรษะเพื่อนแต่เพื่อนรู้ทันหลบเร็ว
“มีอะไรว่ามา”
วุฒิศักดิ์นั่งเหยียดขาเท้าแขนสบาย ๆ ปกรณ์นั่งตามเพื่อน เงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งหาดาวสักดวงก็ยากเหลือเกินเพราะแสงสว่างจากดวงไฟนับพันดวงที่ส่งแสงกระจายขึ้นสูงกลบเกลื่อนดวงดาวจนไม่เหลือแสงให้เห็น
“กูอยากให้พ่อกับแม่ไปขายข้าวไข่เจียวหน้าห้างฯว่ะ”
ปกรณ์พูดออกมา เขาอยากบอกเพื่อนเพื่อให้เพื่อนช่วยพูดกับพ่อแม่แต่กลายเป็นว่า
“ถามจริง ฝันเมื่อคืนเหรอวะ”
วุฒิศักดิ์หันมาเลิกคิ้วสูงทำท่าตื่นเต้นกับคำพูดของเพื่อนแล้วหัวเราะเสียงดัง
“หัวเราะอะไรของมึงวะไอ้วุฒิ”
เพ็ญศรีเดินออกมาจากห้องเพราะเสียงหัวเราะของลูกชายคนโต มารุตเดินตามแม่ออกมาด้วย
“ขำอะไรพี่วุฒิ”
“ก็ขำไอ้พี่กรณ์ของแกน่ะสิวะ คิดอะไรเกินจริงจะให้น้าณีกับน้าไกรไปขายข้าวไข่เจียวหน้าห้างฯโน่น ใครจะซื้อจริงมั้ยแม่”
วุฒิศักดิ์ตอบน้องชายแต่ขอคำสนับสนุนจากแม่ที่เดินมานั่งถัดจากเขาและมารุตนั่งข้างปกรณ์
“เป็นความคิดที่ดีนะกรณ์ ป้าเข้าใจแต่ว่ามันยากนะ ที่ตรงนั้นค่าเช่ามันแพงเกินกว่าพวกเราจะไปขายได้นะ”
เพ็ญศรีเอ่ยออกมา หล่อนไม่ว่าหลานชายแต่ก็ยับยั้งด้วยเหตุผลของความเป็นจริง ห้างสรรพสินค้าใหญ่อย่างนั้นค่าเช่าแพงกว่าตลาดสดที่หล่อนขายปลาทูหลายเท่า
“ป้าเห็นด้วยกับผมก็ดีใจแล้วละไอ้วุฒิมึงไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะกู กูจะพาข้าวไข่เจียวไปเปิดตัวหน้าห้างฯให้ได้คอยดูสิ ผมกลับแหละป้าไปนะรุต กูไม่ลามึงไอ้วุฒิ”
นอกจากจะไม่ลาเพื่อนมือยังตบผลัวะที่ศีรษะเพื่อนซึ่งครั้งนี้วุฒิศักดิ์หลบไม่ทันเสียงร้องจึงดังขึ้น
“โอ้ย.ไอ้บ้า เจ็บนะมึง”
มีเสียงหัวเราะของปกรณ์ดังมาแทนทำพูด เขาเดินลงบันไดและเดินหายไปกับความมืด เพ็ญศรีมองตามชายหนุ่มรุ่นลูกแล้วหันมามองลูกชายคนโต
“ความคิดของไอ้กรณ์มันก็เข้าท่านะ ที่นั่นมีคนเดินผ่านเยอะแต่ค่าเช่ามันแพงอีกอย่างใครมันจะสนใจข้าวไข่เจียว”
“ก็อย่างที่แม่พูดนั่นแหละฉันถึงไม่เห็นด้วยกับมันไงแม่ มันยากตั้งแต่คิดแล้วแต่ไอ้กรณ์มันคิดว่าง่าย”
“แล้วถ้าพี่กรณ์เอาจริงล่ะอะไรจะเกิดขึ้น”
เด็กชายวัย 12 ขวบพูดขึ้นบ้างทั้งเพ็ญศรีและวุฒิศักดิ์หันมามอง หากปกรณ์คิดจะทำจริงอย่างที่พูดจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ นั่นน่ะสิจะเกิดอะไรขึ้น