บทที่ 7 หนทางสู่เป้าหมาย
บทที่ 5
หนทางสู่เป้าหมาย
ครึ่งชั่วยามต่อมา ภายในห้องทรงอักษรยังมีเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะจากผู้สูงศักดิ์ทั้งสองให้ได้ยินกันอยู่เนืองๆ
วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งโล่งสบายยิ่งนัก ข้าราชบริพารก็ล้วนมีความสุข เมื่อตำหนักซินหยางในวันนี้มีเสียงหัวเราะที่นานนับจะมี ยิ่งองค์หญิงสี่แต่งออกไปอยู่จวนแม่ทัพ สองเดือนกว่ามานี้ ตำหนักซินหยางเงียบเหงาเศร้าสร้อยครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาเนิ่นนาน จนกระทั่งวันนี้ที่ท้องฟ้าโปรดโปร่งส่องสว่างราวเทพบนสวรรค์ทราบว่ามังกรทองแห่งฉิงเว่ยกำลังทรงพระเกษมสำราญเพียงใด
สองร่าง หนึ่งหญิงสาวสูงศักดิ์สวยสดงดงาม กำลังฝนหมึกให้อีกร่างที่ทรงเขียนงานอยู่บนโต๊ะหนังสือ พระกรรณก็สดับฟังเสียงเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องต่างๆภายในจวนให้พระองค์ฟัง ฮ่องเต้เซวี่ยซินหยางเห็นองค์หญิงน้อยของพระองค์มีความสุขก็ทรงคลายพระทัย
‘คราแรกที่ทรงเรียกองค์หญิงสี่มานั้น เป็นเพราะได้ยินข่าวลือแปลกๆภายในเมืองหลวง ว่า ท่านแม่ทัพไม่ชื่นชอบฮูหยินเนื่องจากเพราะนางวิปลาสจึงหนีไปชายแดน บ้างก็ว่า ฮูหยินที่แต่งเข้าจวนแม่ทัพ แท้จริงแล้วเป็นปีศาจ ท่านแม่ทัพหวาดกลัวจึงชิงหนีไปชายแดน คำเล่าลือล้วนว่าร้ายให้องค์หญิงสี่ทั้งสิ้น ฮ่องเต้เซวี่ยซินหยางทรงฟังแล้วก็ห่วงกังวล เพราะ ซีเอ๋อร์นั้น อ่อนแอและเปราะบาง กลัวว่าข่าวลือเสียๆหายๆจะทำร้ายนางให้เป็นทุกข์ แต่เมื่อทรงดูแล้ว ท่าทาง ความสดใส และความมีชีวิตชีวาของซีเอ๋อร์นั้น ทำให้ทรงทราบว่า พระองค์คงไม่ต้องเป็นห่วงใดๆต่อพระขนิษฐาองค์น้อยนี้อีก เพียงไม่กี่เดือน ซีเอ๋อร์ก็โตเป็นผู้ใหญ่ดูแลตนเองได้ดีนัก ไม่เสียแรงที่ทรงให้แต่งกับแม่ทัพซาง เห็นที ถ้าท่านแม่ทัพซางกลับมาแล้วคงต้องตบรางวัลให้อย่างงาม’
โอรสสวรรค์คิดในใจอย่างอารมณ์ดี มองพระขนิษฐาที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างภูมิใจ ทรงวางพู่กันลงยังที่วาง รับผ้าไหมสีขาวมาเช็ดมือที่ซินซียื่นให้ จากนั้นจึงยื่นพระหัตถ์ไปลูบหัวเบาๆพลางตรัสอย่างรักใคร่เอ็นดู
"ซีเอ๋อร์เจ้ามีความสุขพี่ก็ดีใจ"
ซินซียิ้มกว้างกับคำกล่าวนั้นของฮ่องเต้ ถึงแม้จะยังงุนงงอยู่ก็ตาม
'อะไร อยู่ๆก็พูดมางงนะเนี่ย'
"เอ่อ หม่อมฉัน ก็ดีใจเพคะ ถ้าท่านพี่มีความสุข"
"ฮ่าๆความสุขของพี่ก็คือเห็นเจ้ามีความสุข"
"ไม่ดีเพคะ ถ้าหากน้องไม่มีความสุขเสด็จพี่ก็จะไม่มีความสุข อย่างนี้เสด็จพี่ก็เหมือนโยนภาระมาให้น้องคนเดียวสิเพคะ"
เซวี่ยซินหยางได้ฟังก็ทรงพระสรวลออกมาอีกครั้ง ยื่นพระหัตถ์ไปหยิกแก้มของซินซีอย่างมันเขี้ยว ในความช่างต่อปากต่อคำของนางแล้วทรงตรัสถามเสียงเย้าหยอก
"อย่างนั้นควรทำเช่นไรเล่า?"
ซินซีลูบแก้มข้างที่ถูกหยิกพลางตอบคำถามของฮ่องเต้ไปด้วย
"เพิ่มความสุขเพคะ"
"เพิ่มความสุข?" ซินซีพยักหน้าทั้งว่าต่อ
"สร้างความสุขจากตัวเราเอง"
โอรสสวรรค์ขมวดคิ้วแน่น ไม่เข้าใจที่นางกล่าวมา
'สร้างความสุขจากตัวเราเอง'
เป็นความสุขแบบไหนกัน ฮ่องเต้อย่างพระองค์จะไปหาความสุขด้วยตัวเองได้จากที่ใด
"อย่างไรซีเอ๋อร์พี่ไม่เข้าใจ?"
ซินซียิ้มตอบพลางยื่นมือไปแตะพระหัตถ์องค์ฮ่องเต้
"คิดบวก คิดน้อย คิดทิ้งเพคะ"
“…..”
"อย่างแรก คิดบวก คิดบวกให้เรามีความสุข อาทิเช่น ปัญหานางสนมในวังปัญหาแก่งแย่งชิงดีไร้สาระ เสด็จพี่ก็ทรงคิดบวก คิดว่า เป็นละครฉากหนึ่ง เป็นตัวละครที่มาสร้างความสำราญให้พระองค์ อย่างที่สอง คิดน้อย ปัญหาบางอย่าง คิดน้อยบ้างเราก็อาจจะได้ความคิดดีๆ ปัญหาไร้สาระของใต้เท้าต่างๆที่ขยันสร้างปัญหาถ้าเราคิดน้อยในอีกมุมหนึ่งก็ได้ทางแก้ที่ดีนะเพคะ"
ฮ่องเต้เซวี่ยซินหยางพอจะเข้าใจที่ซินซีกล่าวมาทั้งหมด
‘ซีเอ๋อร์ ไม่ได้อยู่ในวังกับพระองค์ ก็ยังรู้ว่าพระองค์มีเรื่องทุกข์พระทัยเช่นนั้นหรือ’
"แล้วคิดทิ้งล่ะ?"
ฮ่องเต้หนุ่มถามต่อในข้อสุดท้าย
เมื่อถึงข้อนี้ ซินซีก็ยิ้มอ่อนโยนมากขึ้น
"คิดทิ้ง เสด็จพี่ ทิ้งภาระบางอย่างที่กดทับบนไหล่ออกบ้างในยามทรงต้องพักผ่อน ยามทำงานเราก็ทำงาน ยามพักเราก็ควรจะพัก ร่างกายมนุษย์พักผ่อนบ้างจะดีเพคะ สมองจะปลอดโปร่งโล่งสบายอย่าทรงเก็บปัญหาหรือความกังวลใจต่างๆมาสุมอยู่ที่พระองค์เองมากมายนะเพคะ"
ฮ่องเต้หนุ่มฟังจบก็รู้สึกเหมือนมีน้ำมาชโลมใจ ความตื้นตันไหลมาท่วมท้นจนต้องดึงร่างบางเข้ามากอดไว้แนบอก
"เจ้าโตแล้ว ซีเอ๋อร์ เจ้าโตแล้วจริงๆ"
ซินซีกอดตอบเสด็จพี่ของร่างนี้ปากก็เอ่ยพูดขึ้นว่า
"เพคะ หม่อมฉันโตแล้ว พระองค์ไม่ต้องทรงเป็นกังวล"
'ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้กอดโอรสสวรรค์ เธอช่างมีบุญมากจริงๆยัยซี'
ซินซีคิดเล่นๆในใจ
ยามอุ้ย* ซินซีเดินทางกลับจวน ระหว่างทางนั้น นางก็กำลังนึกถึงข่าวลือที่เป็นสาเหตุให้ตนต้องเข้าวังในวันนี้
‘ถ้าอยากจะฟังข่าวลือแสนตลกนั่น ก็น่าจะไปฟังถึงที่สินะ ฮึ’
"อา กวงหลิง กลับถึงจวนแล้ว เราผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่กันเถอะข้าจะพาพวกเจ้าไปทานข้าวเย็นนอกบ้านวันนี้"
"ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ? "
นี่กวงหลิงร้องถามด้วยความแปลกใจที่อยู่ๆ นายหญิงก็อยากกินข้าวนอกบ้าน 'นายหญิง' หันใบหน้างามจากหน้าต่างมาหานี่กวงหลิงแล้วยิ้มให้
"ใช่เปลี่ยนบรรยากาศบ้างจะเป็นไรไป"
นี่กวงหลิงเห็นรอยเช่นนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนใจ
‘เอาเถอะ เพียงกินข้าวนอกจวนแล้วรีบกลับคงไม่เป็นไรกระมัง’
สามสตรีสาวงามในชุดธรรมดาแต่ดูไม่ธรรมดา ช่างขัดกับสภาพโดยรอบยิ่งนัก สตรีฝั่งซ้ายอยู่ในชุดเรียบๆสีหวาน ผมยาวถูกถักเป็นเปียมีปิ่นปักผมสีเงินเหน็บอยู่อันหนึ่ง ดวงหน้านวลขาวผ่องน่ารักน่าใคร่ อ่อนหวานยิ่งนัก ย้ายไปทางสตรีฝั่งขวา สามงามคนที่สอง รูปลักษณ์โดเด่นแต่ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ผิวขาว ผมถูกเกล้าไว้อย่างเรียบร้อย สวมชุดสีเขียวอ่อนๆจนเหมือนเจ้าตัวพยายามให้ตนเองกลืนหายไปกับฝูงชน ไม่มีเครื่องประดับใดๆบนร่างกาย สิ่งเดียวที่เหน็บอยู่ที่เอวเห็นจะเป็นกระบี่ที่มีฝักเป็นสีขาวเหน็บไว้ที่เอวข้างขวา สตรีสองนางแม้จะดูสวยสดงดงามแต่ก็เทียบกับสตรีที่อยู่ตรงกลางไม่ได้แม้แต่น้อย รัศมีแห่งความงามและกลิ่นอายสูงศักดิ์แผ่ออกมาโดยรอบ จนผู้คนต้องเหลียวมองตามไม่อาจละสายตาจากนางไปได้ แม้ จะอยู่ในชุดธรรมดาสีสันไม่โดดเด่น
ชุดตัวในสีขาวล้วน สวมทับด้วยเสื้อตัวนอกสีฟ้าเรียบๆ ผมยาวประบ่าถูกมัดขึ้นเป็นหางม้าด้วยเชือกสีขาวแค่เส้นเดียวแต่กลับกลบความสง่างามไม่มิดเลยสักนิด มือข้างซ้ายถือพัดสีฟ้าลายป่าท้อ รูปวาดนั้นเหมือนจริงนัก แน่นอน ซินซีต้องเป็นผู้วาดเองอยู่แล้ว ทั้งสามเป็นเป้าสายตาให้คนทั้งตลาดล้วนหันมามอง เดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง จะขยับ จะเลี้ยวจะชื้ออะไรก็มีแต่คนมอง เป็นเช่นนี้
ซินซีอยากยกมือขึ้นกุมขมับนัก ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ นางจะสวมหมวกคลุมหน้ามาเสียก็แล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการหลบการเป็นเป้าสายตาจากฝูงชน ซินซีจึงเลือกเข้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
"ยินดีต้อนรับแม่นางทั้งสาม เชิญนั่งก่อนขอรับ"
หลงจู๊ เมื่อเห็นสตรีที่ดูไม่ธรรมดาทั้งสามก็รีบปรี่เข้ามาต้อนรับ
"นำทางไปเถอะ เราขอมุมที่ไม่อับจนเกินไปและคนไม่พลุกพล่านมากนัก"
นี่กวงหลิงขยับขึ้นมาด้านหน้าเอ่ยกับหลงจู๊ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มการค้า แล้วผายมือเชื้อเชิญคนทั้งสามขึ้นไปด้านบนของโรงเตี๊ยม ที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งติดระเบียง คนไม่พลุกพล่านแต่สามารถมองเห็นได้ทั้งร้าน ซินซีพอใจนางจึงหันไปพยักหน้ากับนี่กวงหลิงนำเงินให้กับหลงจู๊ ชายหนุ่มรับถุงเงินมาก็เปิดดู พอเห็นเงินในห่อผ้านั้นก็ตาวาวเอ่ยกับซินซีด้วยสำเนียงยินดีจนปิดไม่มิด
"ขอบคุณนายหญิงข้าจะนำอาหารที่ดีที่สุดในร้านมาบริการพวกท่าน"
ซินซีพยักหน้าตอบ เด็กหนุ่มจึงรีบรุดจากไป อี้หนิงหยิบกาและถ้วยชามารินชาให้นายหญิงของนาง เสร็จก็รินให้นี่กวงหลิง สุดท้ายจึงรินให้ตนเอง
"นี่ อี้หนิง ภายในเมืองหลวงแห่งนี้ ถ้าข้าจะไปเที่ยวเล่น จะไปที่ใดได้?"
ซินซีเอ่ยถามอี้หนิง เพราะนางเป็นผู้เดียวที่อยู่นอกวังน่าจะรู้ดีกว่านี่กวงหลิงและตัวนางที่พึ่งมายังโลกใบนี้
"นายหญิงจะเที่ยวแบบใดหรือเจ้าคะ?"
ซินซีนิ่งคิด ตนอยากไปผับ แต่ที่นี่จะมีรึ
"สถานเริงรมย์"
"นายหญิง!"
นี่กวงหลิงร้องเรียกนายหญิงของตนอย่างตกใจเมื่อได้ยินชื่อสถานที่ที่นายหญิงอยากไป
"อะไรเล่า กวงหลิง ว่าอย่างไร ที่ใดขึ้นชื่อ?"
ซินซีไม่สนใจนี่กวงหลิง เอ่ยถามอี้หนิงต่อ นางพอจะเข้าใจว่านี่กวงหลิงเรียกทำไม ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอีกนั่นแหละ อี้หนิงนิ่งไปเล็กน้อย ใจหนึ่งก็ไม่อยากตอบ อีกใจก็มิกล้าขัดผู้เป็นนาย
‘เอาเถอะ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ตนก็พอจะจัดการได้’ เมื่อตัดสินใจได้แล้วอี้หนิงจึงเอ่ยตอบ
"มีสองที่เจ้าค่ะ หนึ่งหอลั่วหลิง เป็นหอเที่ยวสตรี ส่วนอีกหอ คือหอ หลานเล่อ เป็นหอเที่ยวบุรุษ สองที่นี้ขึ้นชื่อ เก็บความลับได้ เป็นหอที่เล่าผู้สูงศักดิ์นิยมเที่ยวผ่อนคลาย"
ซินซีพยักหน้ารับรู้
‘ถ้าจะเปรียบสถานที่เช่นนี้เป็นผับ ก็คงเป็นผับมีเกรด ดี เธอตัดสินใจแล้ว’
"ทานข้าวเสร็จเราจะไปหอหลานเล่อ"
"นายหญิง!ไม่ดีนะเจ้าคะ"
"ไม่ดีอย่างไร ผู้อื่นเที่ยวกันออกเสียมากมาย เถอะน่า กวงหลิง ถือว่าเปิดหูเปิดตา"
นี่กวงหลิงฟังเหตุผลที่นายหญิงกล่าวมาก็คร้านจะเอ่ยขัด ใยจะไม่รู้ว่าหากนายหญิงตัดสินใจแล้วผู้ใดจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นแน่
ยามอิ่ว ท้องฟ้าเริ่มเข้าสู่สีของกำมะหยี่สีดำ แม้มีเพชรประดับบนท้องนภาบ้างแต่ก็ยังคงเป็นสีแห่งรัตติกาล เดือนนี้เป็นคืนเดือนมืด ท้องฟ้าจึงมืดกว่าปกติ คงจะมีแต่ สถานเริงรมย์เท่านั้นที่ดูจะสว่างไสวเจิดจ้า
หอหลานเล่อ เป็นหอเที่ยวบุรุษที่มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้คนมากมาย ทั้งขุนนาง พ่อค้า เศรษฐีก็ล้วนมาใช้บริการเพื่อหาความสนุก
ซินซีมองสภาพแวดล้อมอย่างตื่นตาตื่นใจ บุรุษมากมายล้วนงดงามเฉิดฉายเต็มไปด้วยเสน่ห์ เห็นแล้วให้สาวแก่เนื้อเต้นนัก
'ถ้าเทียบที่นี่เป็นโลกปัจจุบันก็คงจะเป็นบาร์โฮสต์'
ซินซีคิดอย่างสนุก ตัวนางไม่เคยจะได้เที่ยวบาร์โฮสต์นักยามอยู่ในโลกปัจจุบันก็ทำแต่งาน
‘วันนี้ขอเถอะ พี่จะเปย์ให้ดีที่สุด หนุ่มน้อยหนุ่มหล่อวัยขบเพาะเอย’
"นายหญิง....ไม่ดีเจ้าค่ะ"
น้ำเสียงกังวลของนี่กวงหลิงลอยเข้าโสตประสาทของนายหญิงผู้อยากเป็นสายเปย์ให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก
‘นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ กวงหลิงกล่าวคำเดิม ซ้ำๆจนเธออยากจะบ้าตาย’
"ถ้าเจ้าไม่เห็นสมควรก็กลับไปรอข้าที่จวนเถอะ"
กล่าวตัดบทแล้วก็สะบัดชายผ้าเดินเข้าไปในหอหลานเล่อ ฝั่งนี่กวงหลิงตกใจกับคำพูดของนายหญิงแต่ก็ไม่กล้าเดินตามเข้าไป ทั้งยังเป็นห่วงนายหญิง
คิดอย่างสับสนว่าจะทำอย่างไรดีจนถูกแตะเบาๆบนไหล่ขวา คนที่แตะไหล่นางก็คือ อี้หนิง นางคลี่ยิ้มส่งมาให้แล้วว่า
"สบายใจเถิด นายหญิงรู้ว่าอันใดควรอันใดไม่ควร ตามเข้าไปเถอะ ถือว่าเปิดหูเปิดตา"
กล่าวจบอี้หนิงก็เดินตามนายหญิงไปอีกคน ทิ้งนี่กวงหลิงให้มองค้อนนางตามหลัง แย้งในใจว่า
‘นี่น่ะหรือสมควร’ แต่ก็ยอมเดินตามเข้าไปด้วยใบหน้างองำ
ด้านในภายในหอหลานเล่อประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงามหรูหราสมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองหลวง เพียงซินซีก้าวเข้ามาเพียงไม่กี่ก้าว ก็มีคนมาต้อนรับนางเป็นอย่างดี ซินซีขอห้องที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ขอบุรุษที่งดงามมากความสามารถ 3 คน การลงทุนในครั้งนี้ ทำให้ซินซีต้องเสียไปหลายตำลึงเลยทีเดียว
ไม่นาน บุรุษหน้าตางดงาม ผิวขาวราวกับหิมะเนียนละเอียดอย่างหยกชั้นดีทั้งสามคนก็เข้าในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ สาวแก่อย่างซินซีตาวาวทันที แต่ถึงบุรุษผู้นี้จะงดงามเพียงใด ก็เห็นจะงดงามไม่เท่า สามีของนางสักคน
'บอกแล้วว่า ท่านแม่ทัพซางกินขาดในเรื่องความหล่อ'
บรรยากาศภายในห้องรับรอง ดูจะมีแค่ ซินซีที่สนุกที่สุด เพราะผู้ติดตามทั้งสองนั้น คนหนึ่งก็แผ่ความเย็นออกมาราวกับถ้าเข้าใกล้จะถูกแช่แข็ง อีกคนก็ทำหน้าดุอย่างกับถ้าคิดจะล่วงเกินนางสักนิดอาจจะโดนจับไปอบรมบ่มนิสัยยาวข้ามวันเป็นแน่ จน บุรุษงดงามทั้งสองมิกล้าจะเข้าใกล้ เห็นได้ชัดว่า ผู้ติดตามทั้งสองของซินซีนั้น ล้วนมีความสามารถในด้านแผ่รังสีอำมหิตออกมาทุกคน แม้จะต่างวิธีกันก็ตาม
ตกดึก ยามไฮ่* บรรยากาศเริ่มมืดสนิทผู้คนที่สัญจรไปมาเริ่มบางตาจนแทบไม่มีผู้คน ผู้ติดตามทั้งสองรีบลากตัวนายหญิงกลับเพราะมันดึกมากแล้ว หากมีผู้ใดรู้ จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ อีกทั้งนายหญิงของพวกนางก็เมามายได้ที่ ถึงขนาดร้องเพลงไปตามถนน ฟังไม่ออกว่าเป็นเพลงอะไร ทำนองก็เร็วๆแปลกๆ ไม่เพราะนัก คงมีแต่ซินซีเท่านั้นที่รู้ว่าตนร้องเพลงอะไร บนท้องถนนที่เปล่าเปลี่ยวเงียบสงัด มันควรจะเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่ว่า มีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดความเงียบสงัด
เคร้ง! เสียงเหล็กกระทบเหล็กดังก้องไปทั่วบริเวณ ต่อมาคือเสียงต่อสู้ของคนหลายคน
ซินซีหยุดเดิน แตะหลังอี้หนิงเบาๆเป็นเชิงบอกกล่าว ท่าทางเมามายเมื่อสักครู่สลายไป ราวกับไม่เคยมีอาการเช่นนั้น ทั้งสามหันมาสบตากันนี่กวงหลิงมีสีหน้าตื่นตระหนกแต่ก็ไม่ถามอันใดนางเพียงหลบฉากไปอยู่ข้างหลังเพื่อให้ไม่เป็นตัวถ่วงของผู้ใด เสียงการต่อสู้ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สองข้างทางก็ไม่มีตรอกซอกซอยให้เข้าไปหลบ สิ่งที่ทำได้คงมีแต่ตั้งรับเพียงเท่านั้น
ซินซีพยักหน้าส่งสัญญาณให้ อี้หนิง นางเมื่อได้รับสัญญาณจากนายหญิงจึงขยับมาด้านหน้าชักกระบี่ออกจากฝัก ตั้งท่าเตรียมปกป้องนายทุกเมื่อหากมีผูใดเข้ามาทำร้ายนายหญิงของตน
เสียงการต่อสู้ไล่ดังเข้ามาใกล้ทุกขณะ ทุกคนในที่นั้นพากันเกร็งตัวเตรียมพร้อม และในที่สุด ก็ปรากฏกลุ่มคนชุดดำนับสิบกว่าคนกำลังเข้าฟาดฟันใส่ชายในชุดสีเทาที่รับกระบวนท่าจากชายชุดดำนับสิบเพียงผู้เดียว
ชายชุดเทาที่ถูกคนชุดดำนับสิบกว่าคนรุมทำร้าย ขณะที่กำลังต่อสู้นั้น สายตาก็หันมาเห็นกลุ่มสตรีกลุ่มหนึ่ง จึงร้องตะโกนบอกออกไป
"หนีไปที่นี่อันตราย!"
ซินซียิ้มเย็น อยากเข้าไปร่วมวงแล้วกระโดดถีบชายผู้นั้นนัก แม้จะรู้ว่าหวังดี แต่ไม่ต้องรีบสร้างให้พวกนางตายเร็วก็ได้
ฝ่ายชายชุดดำเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของชายชุดเทาที่พวกเขาต้องการฆ่าก็หันไปมองยังทิศทาง เมื่อเห็นเหล่าสตรีทั้งสาม หนึ่งในสองจึงผละไปเพื่อจะจัดการฆ่าปิดปาก
หลันเร๋อ เมื่อเห็นว่าจะมีคนมาเดือดร้อนเพราะตนก็ยิ่งเคร่งเครียด ตั้งใจจะพุ่งทะยานไปช่วยสตรีทั้งสามที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อันใด พวกชุดดำคล้ายรู้ จึงเข้ามาปิดทางหลันเร๋อไว้ จนไม่สามารถไปช่วยใครได้ ตัวเขาที่กำลังกังวลอย่างหนัก ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องของผู้ชาย พร้อมกับร่างที่ค่อยๆไถลลงนอนกับพื้น เลือดค่อยๆไหลชโลมลงหินอ่อน จนกลายเป็นสีแดงฉานไปทั่วพื้นบริเวณนั้นโดยฝีมือของสตรีที่ถือดาบอยู่ด้านหน้าสตรีทั้งสอง เลือดของศัตรูกระเด็นเปรอะเปื้อนตามเนื้อตัวและใบหน้า
ภาพที่เห็นทำให้นางดูน่ากลัว แต่ก็รู้สึกงดงามเช่นกัน บวกกับสายตาพิฆาตแสนเย็นชา ที่หมายสังหารทุกคนให้หมดสิ้นยิ่งทำให้นางดูโดดเด่นอย่างน่าประหลาด
'นะ นี่ มี สตรีเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?'