บทที่ 6 ฮูหยินวิปลาส
บทที่ 4
ฮูหยินวิปลาส
ยามอิ๋น ลานฝึกยุทธ
เหล่าทหารใหม่ ทุกนายล้วนมีร่างกำยำ ต่างยืนตัวตรงสายตามองไปข้างหน้าอย่างแน่นิ่ง ไร้ความรู้สึกงัวเงียใดๆให้พบ เห็น จะมีแต่ความรู้สึกตงิดๆในใจเมื่อสตรีวัยสิบกว่าใบหน้างดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์สองนางมาอยู่ในลานฝึกยุทธสำหรับบุรุษ แถมยังมาเข้าแถวกับพวกเขาอีก โลกนี้จะแตกแล้วหรือไรถึงได้มีปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้
นายกองหานสือรู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก ถึงแม้เมื่อวานรองแม่ทัพซางเหล่ยจะแจ้งแล้วว่าองค์หญิงสี่จะมาร่วมฝึกยามเช้าด้วย แต่ตนก็ไม่นึกว่าจะเป็นจริง แล้วอย่างนี้จะฝึกอย่างไร ให้ฝึกแบบปกติน่ะหรือ…?
องค์หญิงสี่และสตรีอีกนางไม่ตายเลยรึ
'โอ๊ย! ปวดหัว ถ้ารู้ว่าต้องมารับความยุ่งยากเช่นนี้ น่าจะตามท่านแม่ทัพไปชายแดนเสียก็ดี'
นายกองหานสือ โอดครวญในใจ
‘การรับมือกับสตรีนั้นยากยิ่งนัก’
"นายกองหานสือ นี่ก็เลยเวลามาหลายแล้ว ไม่ฝึกหรือขอรับ"
นายทหารผู้ช่วยคนหนึ่งเอ่ยถามนายกองหานที่ได้ยินคำถามก็อยากจะร้องไห้ออกมานักอยากจะถามกลับไปหรือเกินว่า
'มีสตรีอยู่ในกองฝึกเช่นนี้ จะฝึกอย่างไร เจ้าช่วยบอกข้าสิ!?'
แต่เอาเถอะ ทุกสิ่งล้วนเป็นพระประสงค์ขององค์หญิง จะเกิดอะไรขึ้นก็ล้วนไม่เกี่ยวกับเขา ถ้าไม่ไหวก็คงเลิกและพักไปเองนั่นแหละ
เมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า
"ทหารทุกนาย นับแต่วันนี้จนครบ 1 เดือน องค์หญิงสี่ นามว่า เซวี่ยซินซี และผู้ติดตาม อี้หนิง จะมาร่วมฝึกทหารกับเรา ดังนั้นพวกนางทั้งสองก็เสมือนทหารผู้หนึ่งในกอง จงปฏิบัติเฉกเช่นทหารทุกนายทราบ!!"
"ทราบ!!"
ทหารทุกคนตอบรับคำของนายกองหานอย่างแข็งขัน แม้ภายในใจจะรู้สึกขัดเคืองไม่พอใจแค่ไหนก็ตาม
'องค์หญิงสี่ รูปงามแต่ก็เหมือนๆสตรีทั่วไป คิดจะล้อเล่นกับพวกเขารึ องค์หญิงมาฝึกทหาร น่าขันนัก คิดว่าที่นี่คือที่ไหน อุทยานหลวงหรือ'
ทหารล้วนพากันก่นด่า ซินซีในใจ อย่างแค้นเคือง แม้ซินซีจะรู้ว่าหลังจากนี่คือนรกที่แท้จริง ใครว่าบุรุษเป็นพวกไม่คิดหยุมหยิม ผิดถนัด ชายพวกนี้คิดมากกว่าผู้หญิงเสียอีก ในตอนแรกที่เคยไปฝึกในกองทหารของป๊า นางก็โดนมองด้วยสายตาแบบนี้ โกรธเคือง ดูถูก ค่อยกลั่นแกล้ง เยาะเย้ย จนพอทำได้เหมือนที่พวกเขาทำ ถึงยอมรับในที่สุด ต่อมาทุกคนในที่นั้นล้วนเป็นเพื่อนที่ดีต่อซินซี พอจบการฝึก กลุ่มนายทหารที่ฝึกมาในรุ่นเดียวกันได้ขึ้นเป็นคนใหญ่คนโต พวกเขาก็กลายมาเป็นลูกค้าชั้นดี VIP ของตน
'อ่า~แค่คิดก็เนื้อเต้นแล้ว'
ซินซีคล้ายเห็นทองโปรยลงมารอบๆตัว แว่วได้ยินเสียงนายกองหานสั่งให้วิ่ง สติจึงคืนกลับมา
ซินซีออกวิ่งไปช้าๆ เพื่อปรับตัวและให้ตนเองวิ่งได้นานๆ หันไปดูอี้หนิง สาวน้อยก็วิ่งตามหลังตนมาช้าๆ การฝึกในช่วงเช้าผ่านไปอย่างหฤโหด สำหรับซินซีนั้นถือว่าหนักอยู่ถ้าเทียบกับที่เคยฝึก คงเพราะร่างกายนี้ไม่เคยทำอะไร แต่ก็ยังถือว่าพอได้ แต่สำหรับอี้หนิงนั้น เมื่อฝึกเสร็จนางแทบสลบให้ได้ ไม่เหลือเคล้าความงามเลยสักนิด แต่ซินซีก็รู้สึกนับถืออี้หนิงยิ่งนัก แม้ไม่เคยต้องออกแรงมากขนาดนี้แต่อี้หนิงก็ไม่บ่น ไม่โอดครวญไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร นับว่านางเป็นสตรีที่จิตใจเข้มแข็งมากคนหนึ่ง เห็นอย่างนี้ก็ดีใจ ขอให้สาวน้อยผู้นี้อดทนไปได้จนครบเดือนเถอะ ถ้าถึงตอนนั้น คงใช้การได้ ฮึๆ
ซินซีคิดจะให้อี้หนิงมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของตน คนใหญ่คนโตล้วนต้องมีคนคุ้มครอง คนมีฝีมือจริงไม่จำเป็นต้องออกแรงเอง
'อี้หนิงเอ๋ย ฉันจะทำให้เธอเป็นผู้ติดตามที่เก่งทั้งงานบ้าน ค้าขายและวรยุทธ อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะสาวน้อย'
เวลาผ่านไปจากวัน เป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์จนจะครบเดือน แรกๆทหารในจวนแม่ทัพรวมทั้งซางเหล่ยล้วนคิดว่า องค์หญิงสี่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ล้มเลิกสักวันแน่ จนนำไปเป็นการพนันเล่นๆกันในกลุ่ม มีบ้างที่ลงข้างองค์หญิง ว่าจะอยู่ต่อ แต่ส่วนมากจะลงข้างว่าองค์หญิงจะล้มเลิก เสียส่วนใหญ่
หลายวันต่อมาก็ยังไม่ได้ผลแน่ชัด ผ่านมาเป็นสัปดาห์ทั้งสองฝ่ายก็ยังเป็นต่อ จนยืดเวลามาจะครบเดือนแล้ว องค์หญิงก็ยังคงอยู่ต่อ และพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากแรกๆที่เป็นรองที่โหล่ จนตอนนี้ ขึ้นมาอยู่แถวหน้าและดูจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนน่าตกใจ ดูท่า สมญานามที่ใครๆตั้งให้นั้นเหมาะกับองค์หญิงนัก
'ฮูหยินวิปลาส'
ช่วงยามสามยามสี่ฮูหยินจะร่วมฝึกกับพวกเขา และยังกินอาหารกับพวกเขา เข้าสายหน่อยฮูหยินจะไปทำงานที่โรงทำอาวุธ พอเที่ยงก็จะร่วมกินอาหารกับนายช่างที่นั่นอย่างไม่นึกรังเกียจ ไม่ถือองค์เลยสักนิด ทำตัวราวกับเป็นสามัญชนคนธรรมดา นี่ยังว่าแปลกแล้ว ยังมีเรื่องแปลกอีกมาก วิชาหมัดมวยที่องค์หญิงใช้ก็ไม่เคยพบในสำนักไหน ชื่อเรียกก็แปลกยิ่งกว่า เป็นหมัดมวยที่ไม่มากกระบวนท่าแต่อานุภาพขนาดล้มชายร่างใหญ่ได้เลยก็ว่าได้ ซึ่งพวกเขาเห็นมากับตาตนแล้ว นายทหารร่วมฝึกอีกทั้งนายทหารที่ได้ยินชื่อเสียงทั้งยังเคยเห็น นับรวมนายกองหานสือ ที่เข้ามาขอกระบวนท่าหมัดมวยนี้ไปใช้ จนภายในจวนล้วนฝึกหมัดมวยที่มีชื่อว่า 'ยูโด, คาราเต้, ไอกิโด และ มวยไทย' ชื่อเรียกแต่ละอย่างยากนัก ยิ่ง 'มวยไทย' มีชื่อท่าแยกออกมาอีก ชื่อที่ฮิตใช้และเป็นที่ถูกใจในกลุ่มทหารเห็นจะมี 'จระเข้ฟาดหาง,ไต่เขาพระสุเมรุ,ดับชวาลา และปิดท้ายด้วย หนุมานถวายแหวน'
ฮูหยินนั้นบอกว่ายังมีอีกเยอะ นี่เพียงแค่ไม่กี่ท่าเท่านั้น แต่จะให้จำหมดก็กลัวจะปวดหัว ไมเกรนขึ้น
'ไมเกรนคืออะไร?'
พวกเขาก็เห็นเป็นเช่นนั้นเพราะแต่ละท่าชื่อเรียกยากยิ่งกว่าเพลงดาบชื่อดังของหลายสำนักเสียอีก
วันเวลาผ่านไป ภายในค่ายทหารไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก'ฮูหยินวิปลาส' แห่งจวนแม่ทัพ ผู้คนเริ่มลืมเลือนองค์หญิงสี่ไปเสียแล้ว ที่จำได้ก็เห็นจะมีแต่ ฮูหยินซินซี ที่ นายหญิง วาน(บังคับ) ให้เรียก แม้ในจวนแม่ทัพจะขึ้นชื่อเรื่อง 'ข่าวคนนอกนำเข้ามา แต่ข่าวคนในห้ามแพร่งพราย' แต่ด้วยชื่อเสียงของฮูหยินและการเป็นที่นิยม รวมทั้งอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หรือเก่า ก็ใช้เป็นตรา ชื่อ 'ฮูหยินซาง' เรื่องที่ว่า นางเป็นฮูหยินวิปลาส ที่คนในจวนใช้เรียกเล่นๆในหมู่ทหารนั้นกลับมีเล็ดลอดออกไปให้ผู้คนภายนอกได้ยิน จนเป็นที่ขบขันสำหรับชาวบ้านร้านตลาดรวมไปถึงคุณหนูในห้องหอที่ออกเรือนบ้างยังไม่ออกเรือนบ้าง เมื่อได้ยินข่าวเช่นก็ยิ่งอยากแต่งเข้ามาในจวนแม่ทัพมากขึ้น เพราะคิดว่า
'ฮูหยินวิปลาสเช่นนี้คงทำให้ท่านแม่ทัพพอใจไม่ได้เป็นแน่ นี่คงเป็นสาเหตุที่ท่านแม่ทัพหนีไปชายแดน'
ฝ่ายฮูหยินวิปลาสไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอันใดกับคำครหาที่ถูกกล่าวว่าร้าย และไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับสมญานาม 'ฮูหยินวิปลาส' นั่นเลย กลับกัน นางกลับนึกขบขันไปกับทหารที่เรียกนางเช่นนี้ บัดนี้ฮูหยินวิปลาสที่ใครต่างกล่าวหากัน กำลังทำเรื่องที่วิปลาสเข้าไปอีก นั่นก็คือ นางกำลังออกแบบอาวุธใหม่สำหรับจวนแม่ทัพ และอาจจะนำออกไปขายได้ ถ้านายช่างหรูอนุญาต อาวุธนี้ยังอยู่ในขั้นออกแบบไม่แน่ชัดว่าจะทำได้ ถ้าในโลกเดิมที่วิวัฒนาการกว้างไกลเครื่องมือเครื่องใช้ล้วนทันสมัยก็ทำได้ไม่ยาก แต่สำหรับที่แห่งนี้.......
"นายหญิง นายหญิง เจ้าคะ!"
เสียงร้องเรียกซินซีดังมาแต่ไกลจนนางที่จมอยู่กับสมาธิอดสะดุ้งตกใจไม่ได้
"เอะอะโวยวายอะไรกัน?"
ซินซีเอ่ยถามนี่กวงหลิงที่วิ่งมาถึงก็หอบหายใจรุนแรง เหงื่อไหลโซมกายอย่างน่าสงสาร
นี่กวงหลิงรีบปาดเหงื่อเพื่อแจ้งข่าวเร่งด่วนนี้ให้นายหญิงทราบ
"คือ คือ ว่า องค์ฮ่องเต้ทรงให้ ขันทีมาแจ้งว่าให้องค์หญิงไปเข้าเฝ้าที่วังพรุ่งนี้ยามซื่อเจ้าค่ะ"
เคร้ง! ทันทีที่นี่กวงหลิงกล่าวจบ พู่กันที่ถืออยู่ในมือก็ล่วงหล่นจากมือกระทบกับพื้นเสียงดังก้อง
ซินซีผุดลุกจากที่นั่ง ปรี่เข้าไปหานี่กวงหลิงถามมือไม้สั่น
"ฮะ ฮ่องเต้ เรียกหาข้าเรื่องอะไร?"
นี่กวงหลิงมองนายหญิงที่เสียกิริยาอย่างอ่อนใจ
เหตุที่องค์หญิง ตกใจเช่นนี้เห็นจะเป็นเพราะพระองค์ลืมการวางตัวและการพูดคุยโดยใช้คำราชาศัพท์อย่างที่เคยกล่าว
'นี่ก็ล่วงเลยมาแล้วหลายเดือน ความทรงจำองค์หญิงยังไม่กลับมาอีกหรือ?'
"ไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ บ่าวจะสอนองค์หญิงเอง"
ซินซีพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่ายราวกับเด็กที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ไม่เหลือเคล้าฮูหยินมากความสามารถในจวนแม่ทัพเลยสักนิด
วันรุ่งขึ้น ยามซื่อ รถม้าตระกูลซางเคลื่อนตัวไปตามถนน ปลายทางคือวังหลวง
วันนี้ซินซีแต่งกายเต็มยศ เครื่องประดับมากชิ้นจนรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัว จะล้มก็หลายรอบอยู่ จนนี่กวงหลิง และอี้หนิงต้องเข้ามาช่วยประคององค์หญิงเดิน
"โว้ย ชุดรุ่มร่ามจริง"
นี่คือเสียงบ่นครั้งที่ 40 ของ นายหญิง แม้นี่กวงหลิงจะไม่อยากนับแต่ก็ต้องเผลอนับเสียทุกครั้ง
"นายหญิงสำรวมเจ้าค่ะ จะถึงวังแล้ว"
ซินซีหน้ามุ่ยตอบรับไปส่งๆ
"อ่าๆ"
รถม้าเคลื่อนเข้ามาภายในวังก่อนจะหยุดลง นี่กวงหลิงลงจากรถม้าไปก่อนเพื่อรอรับนายหญิง
ซินซีเมื่อเห็นว่านี่กวงหลิงออกไปแล้วจึงออกมาบ้าง นางวางมือกับฝ่ามือของนี่กวงหลิง เมื่อมายืนอยู่บนพื้นแล้วซินซีจึงเริ่มสำรวจรอบๆข้าง เบื้องหน้า ห่างไปเล็กน้อยมีขันทียืนรอรับนางอยู่ก่อนแล้ว
ซินซีหันมามองกวงหลิงด้วยความกังวล เพราะนับจากนี้ ตนต้องตัวคนเดียว นี่กวงหลิงเข้าไปด้วยไม่ได้ คนสนิทรับรู้ความกังวลขององค์หญิง แต่เมื่ออยู่ในวังไม่อาจสามารถเข้าไปจับมือปลอบองค์หญิงได้ จึงส่งกำลังใจผ่านไปทางสายตาของนางแทน
ซินซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆเรียกกำลังใจและความกล้าพยายามปลอบใจตนเองว่า
'เอาวะ ถึงจะพูดผิด แต่เธอเป็นน้องสาวของพระองค์ของไม่ลงอาญาหรอกมั่ง'
เมื่อให้กำลังใจตนแล้ว ซินซีจึงเดินตามขันทีเพื่อไปยังตำหนักซินหยาง ทางไม่ไกลนักใช้เวลา 15 นาทีก็ถึง เทียบจากครั้งแรกที่ค่อนข้างไกล ที่ซินซีเคยเดินทางจากตำหนักตนไปตำหนักฮ่องเต้ หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ร่างกายแข็งแรงก็เลยไม่เหนื่อยง่าย
‘ก็อย่างว่าวิ่งรอบจวนแม่ทัพยังหนักกว่านี้ แค่นี้ถือว่าสบายหญิง’
"ฝ่าบาท องค์หญิงสี่ มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ขันทีที่ยืนเฝ้าหน้าห้องทรงอักษรทูลบอกฮ่องเต้
"เข้ามา"
ขันทีเมื่อได้รับคำอนุญาตแล้วจึงค่อยๆเปิดประตูพลางหันมาเชิญซินซีให้เข้าไป
"เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง"
ซินซีก้าวเข้าไปในห้องทรงอักษร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางมา แต่ถึงจะมากี่ครั้งก็ยังให้ความรู้สึกกดดันอยู่เสมอ ไม่เปลี่ยน
"ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท"
ซินซีย่อกายถวายบังคับฮ่องเต้เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้ว
ฮ่องเต้เซวี่ยซินหยาง ลุกขึ้นจากที่ประทับเสด็จมาประคองซินซีให้ลุกขึ้นยืน
"ตามสบายอย่างที่เจ้าเคยชินเถิด ซีเอ๋อร์"
ฝ่าบาททรงตรัสพลางประคองซินซีไปนั่งยังที่ทรงเตรียมไว้
เมื่อนั่งลงกันแล้วเรียบร้อย นางกำนัลก็นำชาและของวางทานเล่นเข้ามาจัดโต๊ะถวาย ของทั้งหลายนั้นน่ากิน แต่ซินซีก็เกร็งเกินจะหยิบขึ้นมากิน เซวี่ยซินหยางเห็นพระขนิษฐาไม่เสวยจึงใช้ตะเกียบคีบของหวานชิ้นหนึ่งส่งให้นาง
"กินสิซีเอ๋อร์ของโปรดเจ้าทั้งนั้นเลยนะ"
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่”
ซินซีหยิบตะเกียบคีบของหวานเอาใส่ปาก รสชาติที่ออกมาอร่อยเหมือนครั้งที่เคยกินครั้งก่อน นางสุดแสนจะคิดถึงรสชาตินี้อยู่เหมือนกัน อยากกินแต่ให้คนครัวที่จวนแม่ทัพทำก็รสชาติไม่เหมือน
"อร่อยเหมือนเดิมเลยเพคะ น้องว่า อยากจะได้สูตรไปให้จวนแม่ทัพเสียหน่อยน้องให้เขาทำก็รสชาติไม่เหมือน"
เซวี่ยซินหยางดีใจนัก นานแล้วที่น้องหญิงไม่ได้คุยเล่นสนทนาอย่างเป็นกันเองเช่นนี้กับพระองค์
รู้สึกอารมณ์ดียิ่งกว่าขุนนางทำงานได้ตามประสงค์
"ถ้าอย่างนั้น พี่ให้ คนครัวของตำหนักพี่ไปอยู่ที่จวนแม่ทัพดีหรือไม่?"
ซินซีตกใจไม่คิดว่าฮ่องเต้จะกล่าวเช่นนี้ แม้รู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงรักน้องยิ่ง ล้วนตามใจทุกสิ่ง อยากได้อะไรล้วนให้ได้ แต่ ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้
นี่ขนาดแค่เอ่ยปากว่าอยากได้สูตร ยังจะให้คนไปทำให้กินถึงจวน แล้วนี่ ถ้าเอ่ยขอ ทองคำบริสุทธิ์เพื่อมาผลิตอาวุธแบบใหม่จะให้หรือไม่นะ
'ไม่ๆ ยัยซี คิดไรของแก'
ซินซีสลัดความคิดเลวทรามของตนเองออกไป
"ไม่เป็นไรเพคะ ถ้าอยากจะทานน้องค่อยมาทานที่วังของเสด็จพี่ได้หรือไม่เจ้าคะเอ๊ยเพคะ"
'แหมฉันก็เล่นเป็นองค์หญิงสี่ ได้ดีอยู่นะเนี่ย ถึงเมื่อกี่จะพูดผิดไปนิดหน่อยก็เถอะ'
ฮ่องเต้เซวี่ยซินหยางทรงพระสรวลออกมาอย่างพอพระทัย ยกมือขึ้นลูบหัวซินซีด้วยความเอ็นดู
"ได้สิเจ้าจะมาบ่อยๆก็ยังได้"
"ขอบพระทัยเพคะ"
จบคำกล่าวของซินซี ฮ่องเต้เซวี่ยซินหยางก็ทรงพระสรวลออกมาอีกครั้ง เสียงดังไปถึงข้างนอก ข้าราชบริพารล้วนดีใจที่ฮ่องเต้ทรงมีความสุข
ดีเสียจริงที่องค์หญิงสี่ทรงเสด็จมา