บทที่ 5 วางรากวางฐาน
บทที่ 3
วางรากวางฐาน
วันรุ่งขึ้น ฮูหยินมาเยือนโรงทำอาวุธอีกครั้งแต่ครานี้
ไร้ผู้ติดตาม
นายช่างซางหรูพยายามไล่ฮูหยินกลับไปอย่างอ่อนโยนแต่ก็ไม่เป็นผล
ฮูหยินจับนั้นจับนี่ทั้งสอบถามคนนั้นคนนี้ไปด้วย ถามได้ครบ รู้ทุกอันก็มาพินิจอาวุธและลงมือซ่อม สร้างความฉงนให้ทุกคนในโรงทำอาวุธแม้แต่ผู้เป็นนายช่างเองก็ด้วย
นายช่างซางหรูจะระเบิดลงอยู่หลายรอบแต่โชคยังดีที่เหล่าคนงานห้ามปรามไว้ได้ ไม่เช่นนั้น ศีรษะนายช่างอาจจะหลุดออกจากบ่าถ้าเผลอทำอะไรรุนแรงกับองค์หญิงแสนประหลาดผู้นี้
"นายช่างซางหรู ท่านว่าข้าซ่อมเป็นเช่นไร?"
แต่ฮูหยินประหลาดดูเหมือนจะไม่รู้ตัวหรือไม่สังเกต หนักไปทางไม่สนใจอารมณ์ของนายช่างหรูเลยสักนิด ถึงคอยเวียนมาสอบถาม มาหยิบอาวุธไปซ่อม พอนายช่างซางจะหมดความอดทนแต่พอได้เห็นอาวุธที่ฮูหยินนำไปซ่อมอารมณ์ก็เย็นลงเสียทุกครั้ง หลังๆทั้งสองกลายเป็นที่ปรึกษาคอยให้ความเห็นกันไปเสียนี่
หลายวันมานี้ซินซีขลุกอยู่แต่โรงทำอาวุธไม่สนใจจะอยู่ในเรือนแม้แต่น้อย กลับมาถึงก็มัวแต่วาดรูปอะไรไม่รู้แล้วนำไปให้โรงทำอาวุธ เป็นเช่นนี้อยู่เดือนหนึ่งแล้ว สร้างความหนักใจให้สาวใช้คนสนิททั้งสองยิ่งนัก
ซินซีอยู่ในโรงทำอาวุธจนเริ่มสนิทกับทุกคนในโรงรวมทั้งนายช่างซางหรู คราแรกทุกคนในโรงผลิตอาวุธตกใจระคนแปลกใจจนนำไปตั้งชื่อเรียกนางเล่นๆว่า 'ฮูหยินวิปลาส' และกลายเป็นเรื่องสนุกเอาไว้เล่าในหมู่ชายยามพักจากทำงาน เรื่องนี้ดังไกลไปถึงหูของ 'ซางเหล่ย' รองแม่ทัพที่ยังอยู่ในจวนแม่ทัพไม่ได้ออกไปอยู่ชายแดนกับซางเริ่น
ซางเหล่ยเป็นคุณชายรองของจวนแม่ทัพ เป็นหนุ่มรูปงามแสนเลือดร้อนที่มีความสามารถไม่แพ้ใครแต่อายุยังไม่มากประสบการณ์จึงยังน้อย
ในวันหนึ่งที่เขาฝึกทหารของช่วงพักกลางวัน พลันได้ยินเรื่องที่ทหารนำมาเล่าเกี่ยวกับฮูหยินว่า นางวิปลาส อยู่ท่ามกลางบุรุษอย่างไม่นึกอายและยังช่วยสร้างอาวุธ เป็นคนที่นายช่างหรูให้ความสนิทยิ่ง ได้ยินเช่นนั้น รองแม่ทัพเหล่ยก็พานหงุดหงิดทั้งประหลาดใจว่าเหตุใดองค์หญิงที่เป็นพี่สะใภ้ตนผู้นั้นถึงเข้ามาวุ่นวายที่ค่ายทหาร หาใช่สิ่งที่พระองค์ควรกระทำไม่ และ รู้สึกว่าซางหรูช่างเหลวไหลนักเห็นทีเขาต้องไปอบรมเสียหน่อย
คืนนั้น ซางหรูถูกเรียกตัวไปพบที่ เรือนเหล่ย แท้จริงซางหรูคือ บุตรชายคนที่สี่ของตระกูลซาง ตระกูลซางนั้นมีบุตรชายที่มากความสามารถและสง่างาม 4 คน คนที่ 1 ซางเริ่น พี่ใหญ่ ท่านแม่ทัพสะท้านสี่แคว้น คนที่ 2 ซางเหล่ย พี่รอง รองแม่ทัพ และคู่แฝด ซางหลิง ซางหรู ซางหลิงมีตำแหน่งเป็นถึงกุนซือ แม้ใบหน้าทั้งสองจะเหมือนกัน แต่นิสัยและความคิดช่างแตกต่างกันอย่างมาก ซางหรูนั้นไม่สนใจรับราชการแต่ขอเป็นนายช่างโรงทำอาวุธ และอาวุธที่เขาผลิตมานั้นก็เป็นที่ยอมรับของทุกคนแม้แต่ฝ่าบาท
ซางเหล่ยเห็นผู้เป็นน้องชายแล้วรู้สึกให้ปวดขมับ น้องชายคนสุดท้องของเขานั้นแท้จริงอายุเพียง 19 ปี แต่เจ้าตัวกับไว้หนวดไว้เครารุงรังทำตัวราวกับคนอายุสี่สิบก็ไม่ปาน เสียชื่อ ซางหรู คุณชายสี่ผู้สง่างามราวกับเทพเซียนหมด
"คำนับท่านพี่รอง"
ซางหรูทำความเคารพซางเหล่ยเสร็จจึงนั่งลงตรงข้าม พลางหยิบกามารินน้ำชาใส่จอกแล้วยกขึ้นดื่ม ไม่ได้สนใจผู้เป็นพี่ชายมากนัก
ซางเหล่ยก็ไม่นึกอยากใส่ใจท่าทางของผู้เป็นน้องจึงเอ่ยเข้าเรื่องที่เรียกตัวน้องชายมาวันนี้
"ที่พี่เรียกเจ้ามานี่ เพราะเห็นว่าเจ้าทำตัวเหลวไหลนัก การที่ให้สตรีเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอาวุธนั้นเป็นสิ่งไม่สมควร แม้นางจะเป็นองค์หญิง พี่รู้ว่าไม่เกี่ยวหรอก ต่อให้สูงส่งเพียงใดถ้าเจ้าไม่ให้เข้ามายุ่ง ใครก็เข้ามายุ่งไม่ได้"
"ขอรับ"
ซางเหล่ยที่กล่าวไปยืดยาวกลับได้รับเพียงคำว่า 'ขอรับ' จากน้อยชาย ทำให้เขาอยากเอาหนังสือทุบหัวตนยิ่งนัก
อาหรูนั้นเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยพูดค่อยจากับผู้ใด มีโลกส่วนตัวสูงและก็พูดไม่รู้เรื่องเช่นกัน คนที่ดูจะเข้าใจอาหรูที่สุดก็เห็นแต่จะเป็นพี่ใหญ่ แต่ ณ ขณะนี้พี่ใหญ่ไม่อยู่ อาหลิงก็ตามพี่ใหญ่ไปชายแดน เหลือแต่เขาที่อยู่จวน ต่อให้ไม่รู้เรื่องก็คงต้องพูดกันให้รู้เรื่อง
"อาหรู…เจ้าต้องเข้าใจ ที่นี่หาใช่สวนอุทยานดอกไม้ในวังไม่ แต่นี่คือจวนแม่ทัพ คือค่ายทหาร เจ้าไม่ควรนำสตรีมายุ่มย่ามในนี้"
"นางเก่ง"
ซางเหล่ยแทบอยากจะสำลักน้ำลายตนหลังได้ยิน
แม้เขาจะรู้ว่าอาหรูเป็นคนที่คิดไม่เหมือนผู้ใด แต่ไม่คิดว่าน้องเล็กจะไม่สนใจกฎถึงเพียงนี้
ในขณะที่คิดหาเหตุผลให้ซางหรูยอมเข้าใจมากล่าว น้องเล็กสุดท้องก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
"หากท่านพี่ไม่เชื่อ วันรุ่งท่านพี่ไปดูนางที่โรงทำอาวุธได้นะขอรับ แต่หากอยากจะให้นางออกไป ท่านพี่คงต้องจัดการเอาเอง"
ซางเหล่ยรู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับคำกล่าวของน้องชาย
'หรูจะให้เขาไปดูองค์หญิงผู้นั้น นี่คิดว่าเขาว่างนักหรือไร'
แม้ใจจะไม่อยากมาสักเท่าไหร่แต่สายตาท้าทายของน้องชายก็นำพาเขามาที่โรงทำอาวุธนี้เสียได้
เหล่าคนงานในโรงทำอาวุธล้วนทำงานอย่างขะมักเขม้นแต่พอเห็นว่าผู้ใดมาเยือนก็พร้อมใจพากันหยุดมือ ยืนตัวตรงทำความเคารพเสียงดัง
"คำนับท่านรองแม่ทัพซางเหล่ยขับรับ!"
อยู่ๆก็เกิดเสียงดังขึ้นทำให้ซินซีต้องหยุดมือวางสิ่งที่ทำลงแล้วหันไปสนใจยังทิศทางของเสียง
เมื่อหันมาก็เห็นผู้ชายวัยยี่สิบกว่าปี แต่มีร่างกายสูงใหญ่กำยำใบหน้าหล่อเหลาอย่างกับดาราหนังจีนที่แสดงเป็นพระเอก
เด็กหนุ่มคนนี้อยู่ในชุดขุนศึกราวกับจะไปรบ หน้าตาละม้ายคล้ายท่านแม่ทัพอยู่หลายส่วน ที่แตกต่างกันเห็นจะเป็นแววตาที่ยังไม่เยือกเย็นเท่า เขากำลังก้าวเข้ามาหาตนและยืนมองนางตาไม่กระพริบอีกต่างหาก เป็นเช่นนั้นซินซีจึงจ้องตอบกลับไป
หัวใจบุรุษที่เคยแข็งแกร่งเห็นสตรีใดก็ไม่เคยหวั่นไหวแต่เหตุใดเพียงพบหน้าองค์หญิงสี่ผู้นี้กลับทำให้รู้สึกแปลกๆยิ่งนัก
องค์หญิงสี่สวมชุดสีเข้มเรียบง่าย ผมยาวถูกมัดรวบขึ้นด้วยผ้าสีเข้ม ไร้เครื่องประดับศีรษะ ใบหน้านวลเกลี้ยงเกลาขึ้นสีแดงนิดๆอาจเป็นเพราะอากาศร้อนแต่นั่นทำให้พระองค์ยิ่งดูงดงามมีเสน่ห์จนยากที่จักละสายตาไปได้ ดวงตาสีดำดุจรัตติกาลนั้นจดจ้องตอบเขาอย่างไม่เกรงกลัวและไม่เขินอาย เป็นเขาเสียเองที่รู้สึกเขินอายกับการจ้องมองนั้น
"ซินซี ข้าสงสัยเกี่ยวกับตรงส่วนที่ใช้ยิงนี้"
เสียงของซางหรูดึงสติให้ซางเหล่ยและทำให้ซินซีละสายตาจากรองแม่ทัพไปหาซางหรูแทน นางมองภาพเล็กน้อยแล้วเริ่มอธิบาย ท่าทางนั้นดูสุขุมเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยพลังจนยากจะละสายตาออกไป
"ข้าเข้าใจแล้ว"
กล่าวเสร็จซางหรูก็เดินกลับไปในที่ของตนเองโดยไม่คิดจะสนใจใครทั้งสิ้น
ซินซีเองก็เช่นกันนางหันกลับไปสนใจอาวุธในมือและเริ่มทำงานต่อ
ซางเหล่ยที่สติพึ่งคืนกลับมาและนึกได้ว่าตนมาทำอะไรจึงเอ่ยปากเรียกซินซี
"องค์หญิง"
ผู้ถูกเรียกหยุดมือหันมาสนใจคนเรียก ทั้งสงสัยในใจ
'เด็กหนุ่มคนนี้มีธุระกับเธอรึ'
"กระหม่อมขอทูลกับพระองค์สักประเดี๋ยวได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
'อ๋อ เด็กนี่มี่เรื่องจะคุยกับเธอนั่นเอง'
ซินซีพยักหน้าแล้วเดินนำไป ซินซีเลือกต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นเป็นสถานที่สนทนา เมื่อเดินมาถึงแล้วจึงหยุดลงตรงนั้นพลางหันมาถามกับผู้ที่เดินตามมา
"ท่านมีอันใดจะกล่าวกับข้าหรือ?"
ซินซีเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ดูเหม่อๆเหมือนคนจิตหลุด
‘หมอนี่ไม่ได้เป็นโรคเอ๋อ ใช่ไหม?’
นางถามกับตนเองในใจ กลัวเหลือเกินว่าเจ้าเด็กคนนี้จะทำให้ต้องเสียเวลางาน ผู้ถูกเรียกว่าเป็น 'เด็กหนุ่ม' พยายามควบคุมสติของตนให้อยู่กับเนื้อกับตัวเพื่อที่จะได้คุยธุระให้เสร็จสิ้นเร็วไว
"กระหม่อมมีนามว่า ซางเหล่ย เป็นรองแม่ทัพแห่งทัพตระกูลซางพ่ะย่ะค่ะ"
"อ๋อ....แล้วทำไมหรือ?"
ซางเหล่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกตัวตนของเขากลับคืนมา
'ตัวเขาเคยเป็นคนชัดแจ้งชัดเจน มีความมั่นใจในตนเอง จะมารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอะไรกับเพียงแค่…องค์หญิงน้อยผู้นี้'
เมื่อเรียกสติตัวเองกลับมาได้แล้ว ซางเหล่ยจึงเริ่มพูดออกมาและคราวนี้เสียงดังฟังชัดสมเป็นรองแม่ทัพผู้ห้าวหาญ
"ต้องขอทูลองค์หญิงก่อนว่า ที่นี่มีกฎว่าสตรีมิควรเข้ามาในค่ายทหารหรือยุ่งเกี่ยวกับการฝึกทางทหาร"
"ทำไมล่ะ?"
ซางเหล่ยตะลึงไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำถามเช่นนี้จากผู้ที่เป็นสตรี
"เอ่อ...เพราะว่า สตรีนั้นอ่อนแอ จึงไม่เหมาะกับอาวุธ"
ซางเหล่ยตอบตะกุกตะกัก เพราะไม่เคยนึกถึงเหตุผลที่แท้จริง เป็นเพราะพี่ใหญ่ไม่ชมชอบสตรี ทุกคนในค่ายจึงเข้าใจตรงกันว่าสตรีไม่ควรย่างกรายเข้ามาในค่ายทหาร
"งั้นหรือ แล้วในค่ายทหารนี่ไม่มีทหารที่เป็นสตรี หรือฝ่ายข้าศึกที่เป็นสตรีหรือ"
ซางเหล่ยคล้ายพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะเมื่อเจอคำถามเช่นนี้ ก็จริงว่าสตรีนั้นไม่ใช่อ่อนแอเสียทุกคน อาทิ ท่านแม่เขาก็เป็นสตรีที่เก่งกาจ วรยุทธก็สูงส่งเกินหญิง แต่ว่าองค์หญิงนั้น…….
"ถึงอย่างไรก็ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ"
เด็กหนุ่มผู้นี้ยังยืนยันคำเดิม จนซินซีรู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุดกับการต้องมาคุยอะไรแบบนี้ งานที่ตนต้องทำก็มีแต่ต้องมาเสียเวลาถกเถียงเรื่องไร้สาระอะไรนี้อีก
"เอาล่ะท่านรองแม่ทัพซาง ข้าจะพูดรอบเดียวนะ เพราะมีงานที่ต้องสะสางไม่มีเวลามาถกเถียงเรื่องไร้สาระ หญิงๆชายๆอะไรของท่าน"
'เรื่องไร้สาระ นี่นางเห็นว่าเรื่องที่เขายกมาพูดนี้ไร้สาระรึ'
ซางเหล่ยได้แต่คิดในใจอย่างหงุดหงิด ทั้งที่เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญกว่าสิ่งใดหากไม่สำคัญ พี่ใหญ่คงไม่ตั้งกฎขึ้นมาเช่นนี้ พี่ใหญ่เขาไม่มีทางทำเรื่องเล็กน้อยให้เป็นเรื่องใหญ่เป็นแน่ แต่นางกลับว่ามัน ไร้สาระ เหอะองค์หญิงสี่ก็แค่สตรีแท้ๆ'
'หมอนี่ กำลังด่าฉันในหัวอยู่สินะ ให้ตายเถอะ ยุคโบราณนี้'
"ถ้าท่านจะบอกว่าสตรีอ่อนแอ อย่างนั้นข้าก็จะไม่อ่อนแอ ข้าจะร่วมฝึกกับทหารใหม่ ทหารใหม่ทุกนายต้องวิ่งรอบจวนทุกยามอิ๋น* ฝึกใช้อาวุธทุกยามเหม่า* และยามเฉิน* ข้าจะทานอาหารพร้อมทหารทุกนาย แต่ยามซื่อ* ข้าจะขอมาทำงานในโรงทำอาวุธจนถึงยามอิ่ว* เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มาดูกันว่าพอครบเดือนหนึ่งแล้วข้ายังจะอ่อนแออยู่หรือไม่"
ซางเหล่ยได้ฟังจบก็โมโหหนัก ใบหน้าเริ่มดำสลับเขียวมีไอร้อนๆลอยออกมาจากหูทั้งสองข้าง ทหารหลายนายที่แอบฟังก็อดจะเป็นห่วงฮูหยินน้อยไม่ได้ว่าจะโดนท่านรองแม่ทัพฆ่าหรือไม่
'ฮูหยินน้อย ท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ ถึงได้กล่าวออกมาเช่นนี้'
ฝ่ายซางเหล่ยไฟโทสะกำลังวิ่งพล่านอยู่ในอกอยากจะปะทุออกมาเต็มแก่ใส่องค์หญิงตรงหน้า แต่จิตสำนึกยังคงบอกอยู่ว่าคนตรงหน้าคือสตรี
'นี่นาง กล้าสำรวจการฝึกทหารของพวกเขาเชียวหรือ กล้านัก ดี! อยากฝึกมากนักใช่หรือไม่ เขาก็จะให้ฝึก หากนางล้มเลิกไปเมื่อไหร่จะไม่ให้นางแม้แต่เหยียบเข้ามาในค่ายนี้เด็ดขาด!'
"ก็ได้ องค์หญิง ตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ แต่มีข้อแม้เมื่อใดที่พระองค์คิดจะล้มเลิกโดยยังไม่ครบหนึ่งเดือนหรือไม่พัฒนาขึ้น พระองค์ห้ามย่างกรายเข้ามาในค่ายนี้เป็นอันขาด!"
"O.Kข้าตกลง"
'อะไรคือโอ-คะ-เค?'
ซินซีตอบตรงลงในทันที
‘เธอไม่คิดว่าจะแพ้เจ้าเด็กนี่ เจ้าเด็กหนุ่มเอ๋ย ข้านั้นแก่กว่าเจ้าเยอะ ผ่านโลกมารึก็มากกว่า สิ่งไหนที่ข้าไม่มั่นใจ ร้อยเปอร์เซ็น มีหรือจะกล้าเดิมพัน ฮ่าๆ'
แท้จริงแล้วซินซีคิดวางแผนเรื่องการฝึกนี้ไว้แล้ว ก็รอให้แต่เหยื่อติดเบ็ด และก็เป็นดังคาดแถมยังไวกว่าที่คิดเสียด้วยซ้ำ
ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ตัวนางไม่ได้เอาแต่นั่งๆนอนอยู่ในจวนหรอกนะ จากโลกที่แล้วตนนั้นประมาทเกินไป เพราะไม่คิดว่าใครจะจับการแปลงโฉมได้ จึงไม่ได้ฝึกฝนตนเองให้เก่งกาจและไม่ได้จ้างบอดี้การ์ดมาคอยดูแล
ซินซีนั้นแม้จะเป็นนักวิจัยและสร้างอาวุธ แต่ตัวนางก็ควบตำแหน่งนักค้าอาวุธไปด้วย เพราะมันท้าทายดี ทุกครั้งที่มีลูกค้าสั่งมานางก็จะไปด้วยตัวเองโดยการปลอมตัวเป็นคนนั้นคนนี้ หรือปลอมทั้งหญิงและชาย จนได้รับสมญานามว่า 'cc08พันหน้า' น้อยคนนักที่จะรู้ใบหน้าที่แท้จริง และการที่ตนโดนเปิดโปงเช่นนี้ก็คงจะมีหนอนบ่อนไส้ในสถานวิจัยเป็นแน่ แม้รู้ว่าใครทำแต่ก็กลับไปแก้แค้นไม่ได้ ดังนั้น ในโลกใหม่ชีวิตใหม่นี้ นางต้องแข็งแกร่งพอที่จะไม่ให้ใครมาฆ่าได้ โชคดีที่มีพ่อเป็นทหารจนถูกฝึกเคี่ยวกรำมานับไม่ถ้วนแต่พอแก่ตัวก็เลิก เข้าแต่ฟิตเนสและสนามยิงปืน ถึงแม้ว่าหากอยู่แต่ในจวนนี้ ตนอาจจะโชคดีแล้วก็จะปลอดภัยคงจะไม่มีใครกล้ามาทำร้ายเพราะตำแหน่งฮูหยินและองค์หญิงที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน แต่อนาคตไม่แน่ไม่นอน
ซินซีต้องหาพรรคพวกและเงินเผื่อวันไหนท่านแม่ทัพมีคนรักแล้วจัดการฆ่านางเพื่อจะได้แต่งคนรักเข้ามาแทนที่ ซินซีจะได้มีเกาะป้องกันและเงินทุน อะไรก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น เพื่อไม่ต้องตายในวัยยังสาว ตนจะต้องมีครบทุกสิ่ง เงินทอง บริวารและความแข็งแกร่งส่วนตัว
"นายกองหาน!"
ซางเหล่ยเรียกหานายกองหานสือเสียงดัง ผู้เป็นนายกองพอได้ยินท่านรองแม่ทัพซางเรียกหาก็รีบวิ่งมาทันที
"ขอรับท่านรองแม่ทัพ!"
ซางเหล่ยปรายตามององค์หญิงเจ้าปัญหาด้วยหางตาก่อนจะสั่งการเสียงดังพอให้ได้ยินกันทั้งค่ายทหาร
"นับจากวันรุ่งขึ้นองค์หญิงจะร่วมฝึกทหารในช่วงเช้ากับ พลทหารใหม่ ข้าฝากเจ้าดูแลองค์หญิงด้วย"
นายกองหานสือไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ก็ได้แต่ทำหน้างง ไม่ได้รับคำสั่งออกไปจนซางเหล่ยต้องถามย้ำอีกครั้ง
"รับทราบหรือไม่?!"
"รับทราบขอรับ!"
นายกองหานสือตอบรับเสียงดัง ซางเหล่ยพยักหน้าเสร็จก็หันหลังเดินจากไป นายกองหานสือเมื่อเหลือแค่ตนกับองค์หญิงก็หันมาสอบถามเผื่อจะได้ความมากกว่านี้ แต่กลายเป็นว่า ฮูหยินน้อยกลับกล่าวกับตนว่า
"ฝากด้วยนะ นายกองหาน"
จากนั้นจึงพาร่างระหงของตนเดินกลับไปยังโรงทำอาวุธไม่ดูทุกร้อนอันใดเลยแม้แต่นิด
'เรื่องเจ้านาย เขาล้วนไม่เข้าใจ'
นายกองหานคิดอย่างปลงตก
ตกเย็นนี่กวงหลิงได้ยินข่าวว่านายหญิงจะไปฝึกทหารก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ด้วยความสงสารและเสียดายผมที่ทรงตัด ผมยาวถึงสะโพกยามนี้ถูกตัดเหลือเพียงกลางหลังเท่านั้น
"นายหญิงเจ้าคะ เหตุใดต้องทำเช่นนี้ สตรีเราผมนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนักทั้งเป็นสิ่งที่มารดาบิดามอบให้ไม่ควรทำเช่นนี้ แล้วยังจะไปตกระกำลำบากอีก"
นี่กวงหลิงร้องไห้ไปพลาง พูดไปพลาง
"กวงหลิงเจ้าจะร้องไห้ไปทำไม ข้าไปฝึกทหารไม่ได้ไปตายเสียหน่อย มีแต่ข้อดี ข้าจะได้มีวรยุทธ ทั้งยังแข็งแรง มีงานทำ ไม่ดีหรอกหรือ ส่วนผม ข้าเพียงไม่ชอบ มันยาวเกินไปจึงตัด"
"แล้วนายหญิงอยากจะมีวรยุทธไปเพื่ออะไรเล่าเจ้าคะ สตรีเรานั้นอยู่เย้าเฝ้าเรือนให้สามีมาปกป้องก็เพียงพอแล้ว หาต้องไปจับดาบจับอาวุธไม่"
ซินซีได้ฟังก็อารมณ์ขึ้นต่อว่านี่กวงหลิงที่คิดเช่นนี้
"ก็เพราะสตรีคิดเช่นเจ้าน่ะสิ พวกบุรุษถึงได้แต่กำหนดกรอบให้เราไม่มีสิทธิ์มีเสียง แท้จริงบุรุษสตรีล้วนเท่าเทียมกัน มันสมองเท่ากัน ร่างกายก็มีครบเท่ากับ ความสามารถก็มีเท่ากัน จะแตกต่างก็แค่อวัยวะในร่างกายและสรีระเท่านั้น ถ้าเรามีวรยุทธไปเจอคนไม่ดีหรือพบเจออันตรายเราก็ยังปกป้องตัวเราได้ คนเราต้องคิดการข้างหน้าไม่ใช่คิดแค่วันนี้"
"เช่นนั้นข้าขอร่วมฝึกได้หรือไม่เจ้าคะ?"
อี้หนิงที่เงียบตั้งแต่ได้ยินข่าวอยู่ๆก็กล่าวขึ้นมา คำของเด็กคนนี้ถูกใจซินซีนัก อี้หนิงแม้เป็นคนเงียบๆไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่จากสายตาของซินซี สตรีผู้นี้แกร่งนัก ในภายภาคหน้า น่าจะใช้งานนางได้แน่
"ได้! ดีมากความคิดเจ้าดียิ่งอี้หนิง"
นี่กวงหลิงหน้ามุ่ยเอ่ยขัด
"แต่ข้าน้อยไม่เอาด้วยหรอกนะเจ้าคะ ถ้านายหญิงกับอี้หนิงจะฝึก ข้าก็จะเป็นฝ่ายดูแลพวกท่านเอง"
ซินซีมองหน้างอๆของนี่กวงหลิงด้วยความเอ็นดู แม้นี่กวงหลิงจะชอบเอ่ยขัดใจนางแต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดจากความห่วงใยทั้งสิ้น
"ขอบใจเจ้ามากนะ หลิงเอ๋อร์ของข้า เจ้าน่ารักที่สุด"
ซินซีกล่าวกับนี่กวงหลิงอย่างเอาใจ เมื่อโดนลูกอ้อนของผู้เป็นนายแล้ว มีหรือที่นี่กวงหลิงจะทนปั้นปึงต่อไปได้ ก็ต้องใจอ่อนยอมตามใจนายหญิงของนางในที่สุด
ค่ำคืนนั้น ซินซีฝันถึงคนผู้นั้นอีกครั้ง เขายังคงมาในรูปแบบเดิมเหมือนเช่นทุกคืน
ยืนมองจันทร์อยู่ที่หน้าต่างห้องนอนที่เดิม ใส่ชุดสีดำเหมือนเดิม แต่วันนี้ต่างกว่าทุกวันเล็กน้อย เมื่อมือข้างขวาของเขาถือกิ่งไม้ที่มีดอกประดับตัวกิ่งอยู่เต็มก้าน เป็นดอกสีชมพูอ่อนห้าแฉก มีเกสรสีชมพูเข้มอยู่ตรงกลางปลายของเกสรเป็นจุดสีเหลืองๆ ดอกไม้นี้สวยงามยิ่งนัก แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆลอยออกมาให้ความรู้สึกดียามได้กลิ่น รอบๆตัวเขาก็มีกลิ่นเช่นนี้อบอวลอยู่เต็มกาย
"นี่ดอกอะไรหรือ?"
ซินซีเอ่ยถามออกไปยามมายืนอยู่ข้างเขาแล้ว เสียงของนางอ่อนโยนอย่างมาก จนดูไม่เหมือนเสียงตน แต่ที่น่าตกใจมากกว่าคือ ชายคนนั้นตอบคำถามซินซี
"ดอกท้อ"
"ให้ฉันเหรอ?"
“…..”
ซินซีถามต่ออีกครั้งด้วยโทนเสียงเช่นเดิม แต่คราวนี้เขากลับไม่ตอบอะไร แต่ใช้กายแสดงมันออกมาแทน
ชายในฝันขยับมือเล็กน้อยให้ดอกไม้นั้นหันทิศทางมายังนาง ซินซีรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังยิ้ม ยิ้มกว้างมากด้วย
ตนยื่นมือไปหยิบกิ่งดอกท้อที่ชายในฝันให้ ขึ้นมา
เมื่อมันอยู่ในมือแล้วจึงยกขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอมนั้นอย่างถูกใจพลางเอ่ยบอกเขา
"ฉันชอบ ขอบคุณนะ"
นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีผู้ชายให้ดอกไม้ถึงแม้จะเป็นเพียงในฝันซินซีก็ขอนับ
สายลมอ่อนๆพัดเอากลีบดอกท้อลอยออกจากหน้าต่างขึ้นสูงไปยังดวงจันทร์ซินซีมองตามแล้วให้คิด
'คืนนี้หวานยิ่งนัก'