บทที่ 4 ฮูหยินซางผู้อาภัพ (2)
บทที่ 2
ฮูหยินซางผู้อาภัพ
'จะอ่านไม่อ่านแล้วแต่ท่าน แต่อ่านได้จะเป็นอันดี รักษาตัวด้วยเพคะ'
เซวี่ยอวี้หนี่ย์ชั่งใจอยู่สักพัก ก็ตัดสินใจเปิดอ่าน เนื้อหาภายในเขียนด้วยตัวอักษรงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของเซวี่ยซินซีในนั้นมีเนื้อความเขียนไว้ว่า
'พี่หญิง ถ้าท่านได้อ่านจดหมายของหม่อมฉันแล้ว ก็หมายความว่าหม่อมฉันได้จากเมืองหลวงมาไกลมากจนจะถึงเมืองนินแล้วกระมัง หม่อมฉันต้องขออภัยด้วยที่ฝ่าบาทตัดสินพระทัยให้หม่อมฉันแต่งให้ท่านแม่ทัพ ถึงหม่อมฉันจะดีใจเพียงใด แต่ก็ล้วนรู้ว่าท่านแม่ทัพไม่เคยมีใจให้หม่อมฉัน และถึงหม่อมฉันจะแต่งเข้าจวนแม่ทัพไป หม่อมฉันก็คงทำให้ท่านแม่ทัพมีใจให้หม่อมฉันไม่ได้ หม่อมฉันรู้ว่าพี่หญิงก็มีใจให้ท่านแม่ทัพเช่นกัน ดังนั้นตัวน้องเองจะเป็นผู้เสียสละ ไม่กี่วันข้างหน้าน้องจะกินยาพิษชนิดหนึ่งที่ให้หลับไปเป็นเวลายาวนาน พอถึงเวลานั้น เสด็จพี่ซินหยางคงยกเลิกงานแต่งเอง พอตื่นแล้วซีเอ๋อจะขอไปอยู่ที่วัดประจำตระกูลที่เมืองนิน พี่หญิงก็ทรงหาทางครองหัวใจท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ ซีเอ๋อร์รักพี่ๆทุกคน ถึงแม้เราจะไม่ได้มีบารดาเดียวกัน แต่ซีเอ๋อร์ก็เคารพองค์ไทเฮาหลี่เสมือนมารดาแท้ๆ ซีเอ๋อร์จำมารดาของตนเองมิได้ดังนั้นขอให้ซีเอ๋อร์เป็นลูกของไทเฮาหลี่อีกคนนะเพคะ หวังว่าจะมีสักวันที่พี่หญิงจะมาให้ซีเอ๋อร์วาดภาพให้เช่นตอนเรายังเด็ก
รัก
เซวี่ยซินซี'
เมื่ออ่านจบอวี้หนี่ย์ก็ร้องไห้ออกมาราวจะขาดใจ ใบหน้างามซบลงกับแผ่นจดหมายสีขาว น้ำตาไหลเปรอะเปื้อนแผ่นกระดาษจนเปียก ตามด้วยเสียงพูดที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นแผ่วเบาว่า
"เจ้าเด็กโง่ เจ้ามันโง่ ตัวข้าก็โง่ ถ้าเจ้าไม่สามารถครองใจท่านแม่ทัพได้ ข้านี่หรือจะสามารถ ข้าขอโทษ ขอโทษ ซีเอ๋อร์”
เมืองหลวง ตลอดทางที่ลาดยาวไปข้างหน้ายังทางกลับจวนแม่ทัพ ซินซีนั่งคิดวนเวียนอยู่กับโศกนาฏกรรมนี้ หลังข้าวของจากวังมาส่งจนครบตนก็จัดการเก็บของจัดห้อง แล้วดันไปพบเข้ากับซองจดหมายแผ่นหนึ่งที่คาดไว้กับหน้าหนังสือเล่มหนึ่ง พอเปิดอ่านก็ถึงกลับต้องตะลึง
แท้จริงแล้วร่างนี้ตั้งใจจะล้มงานแต่งอยู่แล้วจึงเขียนจดหมายไว้อย่างดีและเก็บซ่อนไว้ แต่ไม่นึกว่าตนจะถูกวางยาพิษก่อนโดยฝีมือพี่สาว เนื้อความในจดหมายนั้นเขียนถึงองค์หญิงสามเดาว่าถ้าเป็นไปตามแผนที่องค์หญิงสี่วางไว้และองค์หญิงสามไม่ชิงฆ่านางก่อน เด็กคนนี้ก็คงจะส่งให้องค์หญิงสามก่อนไปเมืองนินเป็นแน่
'เฮ้อ ช่างน่าสงสาร เด็กน้อย'
ซินซีคิดในใจอย่างหดหู่พลางยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าอย่างเศร้าสลดด้วยความสงสารและเสียใจอย่างยิ่ง
'ที่ไหนกันล่ะ'
มือเรียวสวยงดงามราวกับสลักเอานั้นลดลงวางไว้ข้างตัว ใบหน้างามที่ดูอมเศร้าเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเย็นชา ดวงตาดุจหงส์เหินนั้นหรี่ลงเยียบเย็นแฝงความหงุดหงิดไว้หลายส่วน
"โง่เง่า!. คนดีขนาดนี้มีในโลกด้วยรึไง ความดีที่ได้ผลควรแสดงให้พอควร ก็แค่คนที่หนีปัญหาด้วยอะไรโง่ๆ ควรรู้ว่าควรแคร์ใครและไม่ควรแคร์ใคร มีพี่ชายเป็นถึงฮ่องเต้ แต่ไม่รักษาหน้าพี่เลยสักนิด ก็แค่ความรัก ถ้าผิดหวังแล้วอยู่ไม่ได้ก็ตายเถอะ ไม่คิดเลยว่าคนที่ปวดใจคือใคร ฮ่องเต้ที่รักน้องดุจดวงใจตนเช่นนั้นคงทรมานดั่งตายทั้งเป็น นี่ล่ะนะเด็กหนอเด็ก ความคิดโง่เขลาตัดสินปัญหาด้วยอารมณ์ความรู้สึก ใช่ว่าที่เธอยอมแต่งานนี่เพราะอารมณ์เสียหน่อย เหอะ"
'แต่เอาเถอะ จะด่าคนตายไปแล้วก็ไม่ได้อะไร เมื่อร่างนี้เป็นของเธอแล้ว เธอก็จะทำสิ่งที่ควรที่เหมาะตามความคิดของเธอเอง'
กลางดึก จวนแม่ทัพซาง เรือนประดับดาว
สายลมอ่อนๆพัดเอาความเย็นและกลิ่นหอมบางอย่างลอยเข้ามาภายในห้องนอนของซินซี ร่างบางที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงขยับเล็กน้อย จมูกก็สูดดมความหอมที่คุ้นเคยเข้าปลอดเฮือกใหญ่ตามมาด้วยความอบอุ่นที่ห่อหุ้มร่างกายไว้ ความร้อนอ่อนๆพัดผ่านผิวเนื้อแก้มขวาทำให้นางรู้สึกตัวตื่น ขนตายาวเป็นแพรขยับเล็กน้อยตามด้วยดวงตาสวยสีดำเข้มดุจรัตติกาลค่อยๆลืมขึ้น
แสงจันทร์คืนนี้สะท้อนนัยน์ตาหงส์จนเกิดประกายแสงวับวาวดูคล้ายดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน สิ่งแรกที่เข้ามาอยู่ในม่านตาคือชายร่างสูงกำยำวัยยี่สิบกว่าปี ยืนเอามือไพล่หลังหันหลังให้นางอยู่ตรงหน้าต่างที่เปิดอยู่ ผมยาวของผู้ชายคนนั้นดำขลับเงางามปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง เขาสวมอาภรณ์สีดำสนิทกลิ่นอายของชายผู้นั้นคล้ายจะกลืนไปกับความงดงามในค่ำคืนนี้ แสงจันทร์ที่ลอดผ่านมาทางหน้าต่างกำลังอาบไล้ร่างกายของเขาราวกับห่อหุ้มให้ชายตรงหน้าคล้ายเทพเซียนเข้าไปอีกครา
"ท่าน......"
ซินซีเอ่ยเรียกอย่างแผ่วเบา คล้ายกลัวว่าเขาจะหายไป บุรุษที่ถูกเรียกยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง เห็นเช่นนั้น ซินซีจึงค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นช้าๆ ไม่อยากทำลายบรรยากาศที่ดูโรแมนติกนี้ ร่างระหงหย่อนขาลงจากเตียงพลางก้าวเดินไปที่หน้าต่างและหยุดยืนข้างๆชายผู้นี้ นางหันใบหน้าไปมองเสี้ยวด้านข้างของชายหนุ่มเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองพระจันทร์ตามเขามือเล็กค่อยๆสอดเข้ากับมือใหญ่ที่ทิ้งไว้ข้างตัวเมื่อไหร่นั้นก็ไม่อาจทราบ
ซินซีอมยิ้มน้อยๆพลางคิดในใจ
'คืนนี้อีกไม่กี่ชั่วโมงที่เธอจะตื่น เธอจะยืนมองจันทร์เป็นเพื่อนเขา'
รุ่งเช้า แสงแดดสาดส่องลงมาจากท้องฟ้า สายลมพัดผ่านใบไม้ไหวและดอกไม้ให้เอนตามคล้ายกำลังเริงระบำ เสียงเสียดสีกันของธรรมชาติเมื่อฟังดีๆจะให้ความรู้สึกเหมือนเสียงบรรเลงของเครื่องดนตรี ซินซีกำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือ หันหน้าไปทางสวนดอกไม้ที่อยู่ตรงระเบียง ร่างเด็กสาววัยสิบหกปีในชุดสีอ่อนผ้าเนื้อบางแนบเนื้อไม่ให้ดูรุ่มร่ามนัก ผมยาวสีดำถูกรวบขึ้นเป็นมวยครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งปล่อยสยายเต็มแผ่นหลังงาม บนศีรษะมีเครื่องประดับปิ่นยกรูปหงส์สีเงินเพียงสิ่งเดียว แต่กลับทำให้หญิงสาวดูงดงามสูงส่งราวกับนางฟ้าบนชั้นเซียนที่แตะต้องมิได้ ในมือข้างขวาถือพู่กันกำลังจรดปลายตวัดลายเส้นบนผืนผ้าอย่างชำนาญ ลายเส้นที่วาดโค้งตามรูปต่างๆล้วนดูงดงามนิ่งสงบเย็นชื่นสลับกับอ่อนหวานและแข็งแกร่งแม้จะเป็นลายเส้นที่ไม่คงที่นัก แต่รวมๆแล้วทำให้รูปบนผ้าสีขาวงดงามราวกับมิใช้ฝีมือมนุษย์
ซินซีวางพู่กันลงเมื่อวาดเสร็จพลางรับผ้าสีขาวที่นี่กวงหลิงยื่นให้มาเช็ดมือ เสร็จแล้วก็รับชาอุ่นๆจากอี้หนิงขึ้นมาจิบ กลิ่นชาสมุนไพรหอมหวานพานให้นึกถึง ชาดาร์จีลิ่งใส่นมที่ตนชอบดื่มทุกเช้าๆ นี่กวงหลิงชะโงกหน้ามาดูภาพที่ซินซีวาดพลางเอ่ยชม
"งามยิ่งเจ้าค่ะว่าแต่นายหญิงวาดผู้ใดหรือเจ้าคะ?"
คนถูกถามมองภาพสีน้ำบนผืนผ้าใบที่เป็นรูปบุรุษสวมชุดสีดำกำลังเหม่อมองดวงจันทร์กับสตรีนางหนึ่ง ทั้งสองกอบกุมมือกันไว้อย่างรักใคร่ ซินซีอมยิ้มคิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็ทำให้อารมณ์ดียิ่งนักจึงยอมเอ่ยตอบนี่กวงหลิงไป
"ชายผู้ชอบมาปรากฏในฝัน"
สาวรับใช้ทั้งสองนางมึนงงกับคำตอบที่ได้รับ จะหันไปถามนายหญิงอีกครั้งให้เข้าใจ ตัวนายหญิงก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเดินจากไปแล้ว เห็นแบบนั้นทั้งสองนางก็รีบร้อนเอ่ยถาม
"นายหญิงจะไปไหนเจ้าคะ?"
"เดินเล่นในจวน"
พอได้คำตอบทั้งสองนางก็พากันเก็บของทุกสิ่งยื่นให้สาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆนำไปเก็บและรีบตามฮูหยินน้อยไปทันที
ที่ว่าเดินเล่นนั้น กล่าวให้ถูกต้องก็คือการเดินสำรวจนั่นเอง
บ่าวรับใช้ทั้งสองเหงื่อท่วมกายเมื่อต้องเดินไปที่นั้น หยุดที่นี่ หยุดได้เพียงนิดก็ต้องไปต่อ เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดแต่ก็ไม่สามารถบ่นได้เพราะนายหญิงยังไม่บอกว่าจะกลับ แถมยังดูสนุกเสียมากมาย
จวนแม่ทัพนั้นก็กว้างแสนกว้าง แค่ในเขตที่พักจวนนั้นจวนนี้ก็กว้างขวางอย่างกับเมืองเมืองหนึ่งแล้ว แต่นายหญิงก็ยังไม่พอใจ ยังคิดเดินมาในส่วนที่เป็นค่ายทหารที่ทหารใหม่ใช้ฝึกกันอีก
ที่ผู้ใดก็ว่าจวนแม่ทัพร่ำรวยที่ดินนั้นไม่ผิดกับความจริงเลยแม้แต่น้อย กวงหลิงและอี้หนิง อยากกอดคอกันร้องไห้ยิ่งนัก ที่ต้องมาเห็นเหล่าทหารเปลือยร่างท่อนบน พาให้ใจสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนทั้งสองเต้น ตุ๊มๆต่อมๆ ทั้งเขินทั้งอายและหวั่นกลัว แต่นายหญิงกับไม่รู้สึกอะไรสักนิด เพียงมองชายเปลือยกายเหล่านั้นและพยักหน้าไปด้วยเท่านั้น ฝ่ายซินซีแม้รู้ความลำบากใจของผู้ติดตามทั้งสอง นางก็ไม่คิดจะสนใจ ด้วยตนตั้งใจจะสำรวจจวนแม่ทัพมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่มาอยู่ในยุคนี้ ตนก็มักจะขลุกอยู่ในตำหนัก พอมาอยู่ที่จวนแม่ทัพก็อยู่แต่ที่เรือน นั่งๆนอนๆมาหลายวันจนจะเป็นง่อยอยู่แล้ว ถึงเวลาที่จะหางานทำเสียที ก่อนอื่นก็ต้องสำรวจฐานทัพเสียก่อน พอได้มาสำรวจก็อดจะหงุดหงิดไม่ได้ที่คนผู้นั้นตั้งใจแบ่งแยกชัดเจน ฝ่ายส่วนที่พักที่เป็นเรือนของนางแม้ว่าจะใกล้กับเรือนของเขา แต่ค่อนข้างอยู่ในมุมห่างไกลกับทุกๆสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นประตูจวน เรือนของคนอื่นๆ หรือค่ายฝึกทหาร เรือนตนนั้นก็กว้างขวางเกินไปและยังมีทุกสิ่งทุกอย่างครบครันราวกับจะไม่ให้ออกไปไหนหรือไปยุ่งกับใครพอสอบถามกับอี้หนิงก็บอกว่า
''ท่านแม่ทัพใส่ใจนายหญิงมากเจ้าค่ะ สั่งให้คนขยายพื้นที่เพิ่มให้นายหญิงอยู่สุขสบายเรือนนายหญิงจึงกว้างขวางที่สุด''
'เหอะ ขังเสียมากกว่า'
‘เอาเถอะ กับอะไรแค่นี้หยุดซินซีไม่ได้หรอกท่านแม่ทัพ’
ในจวนแห่งนี้ จากที่สังเกตคนในจวนส่วนมากเป็นผู้ชาย มีแค่เรือนประดับดาวเท่านั้นที่มีผู้หญิง สมเป็นจวนแม่ทัพเสียจริง ทหารทุกนายที่กำลังฝึกหรือพักกันอยู่นั้นพากันงวยงง เมื่อเห็นสตรีสามนางเข้ามาในสถานที่ฝึกทหารที่มีกฎว่า สตรีที่ไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้ามาในอาณาเขตของค่ายฝึกทหาร ทหารนายหนึ่งจึงจะเข้าไปบอกล่าวกฎนี้แต่พอเข้าไปแล้วกลับเป็นเขามากกว่าที่โดนใช้เป็นแผนที่ไปแบบงงๆ
"แม่นางที่นี่มีกฎว่า......."
"อ้าวเจ้ามาพอดีเลยพ่อหนุ่ม ข้าอยากจะทราบว่า โรงทำอาวุธของจวนไปทางไหนหรือ?"
นายทหารผู้ผ่านการฝึกและร่วมรบมาหลายศึกจำต้องหน้าแดงเมื่อมาเห็นร่างดรุณีน้อยใกล้ๆ
'นางช่างงามยิ่งนัก เสียงนางก็ไพเราะอ่อนโยนราวกับสายน้ำในวสันตฤดู เย็นใสชุ่มชื่น'
"แม่นางเดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาที่เป็นโรงใหญ่ๆ เป็นซุ้มเพิง"
"ขอบใจนะ"
แม่นางฟ้าน้อยฉีกยิ้มให้อย่างงดงาม จากนั้นก็เดินจากไป ทิ้งนายทหารหนุ่มที่ยืนเหม่อหลงวนเข้ากับเสียงและรอยยิ้มงดงามนั้นอย่างไม่สามารถหันกลับ
ซินซีรู้สึกชอบใจร่างน้อยนี้นัก นางช่างงามราวกับไม่ใช่มนุษย์ ส่วนนี้นำไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ใครที่จิตอ่อนแอหน่อยก็สามารถหลงเสน่ห์ที่มากมายนี้ ได้อย่างง่ายดาย
'ข้าเริ่มชอบเจ้าแล้วสิองค์หญิงสี่ หึๆ'
ในที่สุดก็ถึงโรงทำอาวุธ ซินซีฉีกยิ้มดีใจราวได้เจอเพื่อนเก่า
'นั่นสินะ เธอบอกจะเลิกจากมัน ถ้าเลิกจริงๆแล้วเธอจะไม่อดคิดถึงได้เหรอ เพราะทั้งชีวิตเธอมีพวกมันอยู่ทุกความทรงจำ ทั้งแผ่นเหล็ก ทอง ไฟ เตาหลอม อาวุธมากมายที่เรียงรายกันอยู่ตรงหน้ากำลังเปล่งแสงคล้ายเรียกร้องเชิญชวนให้เธอไปสัมผัสมัน พวกแกก็คิดถึงฉันเหมือนกันใช่ไหม?'
"นางหนู เจ้าเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไรที่นี่ไม่ใช่ที่เล่นสำหรับเด็กหญิงออกไป!"
เสียงตวาดราวเสียงสายฟ้าฟาดของบุรุษดังขึ้น ดึงสติของซินซีให้กลับมา นางหันไปสนใจคนผู้นั้น เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่กำยำอย่างกับยักษ์ แต่งกายมอซอ เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ ผมเผ้ารุงรังไรหนวดยาวเฟื้อยรกๆ น่ากลัว ดูแล้วคงจะอายุประมาณ 40 กว่าๆ สภาพไม่ต่างอะไรกับขอทานนักแต่แววตาเขากลับดูฉลาดแหลมคม
ซินซีก้มมองนิ้วมือทั้งสองข้างก่อนจะยิ้มออกมา
'คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือในการสร้างอาวุธยิ่ง'
ไม่เพียงแต่ซินซีเท่านั้นที่ใช้สายตาพิจารณาคนตรงหน้า บุรุษรูปลักษณ์น่ากลัวก็ใช้สายตาพิจารณาซินซีอยู่เงียบๆเช่นกัน
ซางหรู หัวหน้าโรงทำอาวุธพินิจดูร่างเด็กสาวตรงหน้าในใจเงียบๆ เขาเห็นนางคนนี้เดินมาแต่ไกลแล้ว แปลกใจเช่นกันที่มีสตรีอยู่ที่นี่ เด็กคนนี้งดงามสง่าโดดเด่น ยามนางขยับกายคล้ายมีแสงสว่างเปล่งประกายจากตัว การแต่งกายและลักษณะภายนอกไม่ต่างอะไรกับลูกคุณหนูขุนนางสูงศักดิ์ในห้องหอ แต่มีเพียงแววตาของนางที่ดูจะขัดกับบุคลิกภายนอก หากมองเผินๆก็ปกติไม่แตกต่างอันใดจากสตรีทั่วไป แต่การที่ได้มาสบตากันเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เหมือนนางมีอะไรที่มากกว่ารูปลักษณ์สวยงาม นางดูมี ไอ้สิ่งที่เรียกว่า 'กึ๋น'
"บังอาจ!. เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้กับเชื้อพระวงศ์ได้อย่างไร นี่คือ องค์หญิงสี่ เซวี่ยซินซี หรือฮูหยินใหญ่ในจวนแห่งนี้ พวกเจ้าไม่รู้หรอกรึ"
นี่กวงหลิงกล่าวเสียงดังดึงคนทั้งสองให้ละสายตาจากกัน และยังพาให้ผู้ที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินกันด้วย
ชายฉกรรจ์ทั้งหลายเมื่อได้ทราบว่าดรุณีน้อยผู้นี้เป็นใครก็พากันวางอาวุธรีบถวายบังคมกันอย่างพร้อมเพรียง
"ถวายบังคมองค์หญิงสี่พ่ะย่ะค่ะ!!"
ซินซีลอบกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่ายอดจะหันไปตำหนินี่กวงหลิงทางสายตามิได้ นี่กวงหลิงเมื่อถูกผู้เป็นนายตำหนิก็ก้มหน้าลงหงอยๆแล้วถอยไปยืนอยู่ข้างหลังอย่างรู้หน้าที่
ซินซีเมื่อเห็นคนติดตามรู้ความผิดแล้วจึงหันกลับมากล่าวกับทุกคนในที่นี้
"พี่ชายทั้งหลายอย่าได้มากพิธี ขณะนี้ข้าอยู่นอกวังและอยู่ในจวนของท่านแม่ทัพล้วนนับทุกท่านเป็นครอบครัว"
'พี่ชาย' ที่ถูกนับญาติกับองค์หญิงล้วนตกใจ
'พวกเขาจะเป็นครอบครัวขององค์หญิงได้อย่างไร'
ยังมีอีกสองคนที่ตกใจ เมื่อได้ยินคำว่า 'พี่ชาย' จากปากองค์หญิงก็รู้สึกกลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก
‘ชายเหล่านี้ห่างกับคำว่า 'พี่ชาย' มากนัก’
นี่กวงหลิง และอี้หนิงเพียงแย้งในใจ ไม่กล้าเอ่ยขัดอันใดออกไป แม้จะรู้สึกว่าสายตานายหญิงช่างมีปัญหายิ่ง
"พวกท่านลุกขึ้นเถิด"
ซินซีบอกทุกคนให้ลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกเขายังคงคุกเข่าอยู่ คราแรกเหล่าชายฉกรรจ์ไม่ยอมลุก แต่เมื่อเห็นนายช่างซางหรูลุกขึ้นจึงลุกตาม
'หัวหน้าโรงทำอาวุธยังลุกแล้วพวกเขาจะไม่ลุกได้อย่างไร'
ซินซีใจชื่นขึ้นมาจากนั้นจึงกล่าวต่อ
"ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าว่าองค์หญิงและไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์กับข้า ข้าอยากให้ทุกท่านปฏิบัติกับข้าเหมือนญาติสนิทมิตรสหายของท่านผู้หนึ่ง"
"ขอรับ"
ทุกคนรับคำเบาๆ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะต้องทำตามที่องค์หญิงว่ามาแต่ซินซีก็พอใจ
"เอาล่ะ ข้าคงรบกวนเวลาพวกพี่ชายมามากแล้ว ข้าขอตัวแล้วกัน"
กล่าวลาเสร็จก็หมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับผู้ติดตามทั้งสอง องค์หญิงสี่ หรือ ฮูหยินซาง ช่างเป็นสตรีที่มาเร็วไปเร็วยิ่งนัก ทิ้งให้พวกเขางุนงงกันไปเป็นแถว