บทที่ 3 ฮูหยินซางผู้อาภัพ (1)
บทที่ 2
ฮูหยินซางผู้อาภัพ
'ชายในฝัน'ขยับเคลื่อนกายเข้ามาใกล้และหยุดลงเบื้องหน้าซินซี
พอได้อยู่ใกล้กันได้เห็นรูปร่างชัดเจนเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมรูปลักษณ์ของเขาในใจ
‘ได้สามีคราวนี้ถือว่าถูกใจซินซีมาก ถ้าเป็นโลกเดิมของตน คงเหมือนได้ดาราสุดฮอตมาเป็นสามีเลยก็ว่าได้ คิดมาถึงตรงนี้ก็อดจะนึกถึงคำพรรณนาที่นี่กวงหลิงบอกกับนางเมื่อไม่นานมานี้ว่า’
‘เขาองอาจ ดุดัน เปี่ยมด้วยพลังอำนาจที่น่าเกรงขาม เขาเหมือนพยัคฆ์ร้ายที่พร้อมจะทลายทุกสิ่งไม่ให้เหลือซาก เขาคือ แม่ทัพสะท้านสี่แคว้น ซางเริ่น ชายผู้มากความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ คือบุรุษที่คงความงดงามอย่างบัณฑิตและแข็งกร้าว แข็งแกร่งเยี่ยงชายชาตินักรบ เป็นบุรุษที่น่าหลงใหลยิ่งนัก'
คำพรรณนานั้นไม่เกินจริงเลยสักนิด ตัวนางรู้ดีที่สุด
ตลอดชีวิตจนอายุจะล่วงเข้าเลขสี่ ซินซีก็ไม่เคยพานพบบุรุษเช่นนี้ และยังไม่เคยพานพบจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่ได้เกิดจากความตื่นเต้นเหมือนตอนสร้างอาวุธแบบใหม่ได้ ตื่นเต้นเพราะเห็นเงินก้อนโตหรือหวาดกลัวอันตราย แต่หัวใจที่เต้นอยู่ในขณะนี้ มันรู้สึกวาบหวามแปลกๆ แต่แล้วความรู้สึกและความคิดทั้งหมดก็ต้องสะดุดยามชายในฝันเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค
"ทรงบรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ล่วงเกินอันใดพระองค์แม้แต่ปลายนิ้ว"
เสียงกร้าวแกร่งของซางเริ่นเอ่ยประโยคทำลายความฝันของอิสตรีออกมา ประโยคที่ ซินซีไม่คิดว่าจะดังจากปากของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี หัวใจที่เต้นโลดแล่นเมื่อสักครู่คล้ายหยุดชะงัก ความเย็นเยียบแล่นเข้ามาจับสู่หัวใจ จนรู้สึกปวดหนึบๆ ความเย็นชาในแววตานั้นของท่านแม่ทัพซางได้บอกอะไรหลายอย่างว่าท่านแม่ทัพไม่ได้ต้องการร่างนี้ ไม่ได้ต้องการภรรยาอย่างนาง และไม่ได้รู้สึกพิสมัยใดๆทั้งสิ้น
ซินซีรู้สึกเจ็บปวด ข้างในอกข้างซ้ายปวดหนึบๆจนแยกไม่ออกว่าใครกันแน่ที่เจ็บปวด นางหรือร่างนี้ เมื่อได้ทราบความจริงที่เลวร้าย จะมีอะไรเลวร้ายสำหรับลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่คิดว่าได้แต่งงานกับคนที่ตนรักแต่…คนผู้นั้นกลับไม่ได้รักนางแม้แต่น้อย
‘แล้วยอมแต่งงานทำไม?’
นั่นคือสิ่งที่ซินซีไม่เข้าใจ
‘โหดร้าย โหดร้ายนัก’
ซินซีรู้สึกสงสารเจ้าของร่างนี้พึ่งรู้สึกว่ามันเป็นโชคดีที่เจ้าของไม่ได้มารับรู้ความจริง เพราะถ้าเด็กคนนี้ต้องมารับรู้ล่ะก็เจ้าตัวคงต้องตรอมใจตายอยู่ดี
"ขอบใจเจ้า"
ซินซีเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบากับซางเริ่น พลางทิ้งตัวลงนอน แม้จะไม่เห็นด้วย แม้คนตรงหน้าคือผู้ชายที่รอมาเนิ่นนาน แต่ว่า ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องดื้อรั้นดันทุรังบังคับให้ใครมารัก
‘อย่างไร คนในความฝันก็คือคนในความฝัน’
ในความคิดของซินซี……ก็คิดเพียงแค่นี้
'ถึงแม้ร่างนี้จะรักผู้ชายตรงหน้า และแม้ผู้ชายตรงหน้าจะไม่รักร่างนี้ ซินซีก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้ เพราะเธอไม่ใช่องค์หญิงสี่ แต่เธอคือ ซินซี หญิงแก่ โลกตะลึง!!'
ด้านซางเริ่นเจ้าตัวยืนนิ่งมององค์หญิงที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงอีกฝั่ง คราแรกตนนึกว่าจะได้เห็นการต่อต้านหรือเรียกร้อง พอองค์หญิงยอมง่ายเพียงนี้ก็อดแปลกใจมิได้ แต่อย่างไรก็ดีกับตัวเขามิใช่หรือ แม้ชั่วครู่นั่นแววตาขององค์หญิง ฉายออกมาว่าเจ็บปวด เห็นแล้วทำให้หัวใจท่านแม่ทัพรวดร้าวด้วยความรู้สึกผิดยิ่งนัก แต่มันก็ดีกว่า ถ้าเขาเกิดแตะต้องพระองค์ไปแล้วเขาหนีหายไปอยู่ชายแดน แบบนั้นองค์หญิงจะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่ามาก
'ข้าทำถูกแล้ว' ซางเริ่นบอกตนเอง
"อภัยให้กระหม่อมนะ พ่ะย่ะค่ะ"
ซางเริ่นกล่าวเบาๆทิ้งท้ายก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆองค์หญิง
คืนนั้น แม่ทัพใหญ่นอนไม่หลับเลยแม้แต่น้อย แตกต่างกับองค์หญิงสี่ที่ถูกทำร้ายจิตใจจากผู้เป็นสามี กลับนอนหลับสนิทคล้ายไม่มีเรื่องใดๆให้เจ็บปวด
รุ่งเช้า ซินซีตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องนอนของท่านแม่ทัพ บนเตียงอีกฝั่งว่างเปล่าไร้ร่างกายหนาของคนที่ขึ้นเชื่อว่าเป็นสามี
‘ก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้เท่าไหร่ แล้วอย่างไร’
ซินซียักไหล่อย่างไม่สนใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่ข้างนอกมีเสียงตะโกนของผู้หญิงดังขึ้นว่า
"องค์หญิงหม่อมฉันขออนุญาตเข้าไปเพคะ"
"เข้ามาสิ"
จบคำอนุญาตของซินซี ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับสาวใช้หลายสิบคนเดินเข้ามาหมอบกราบลงเบื้องหน้า เห็นอย่างนั้น เจ้าตัวก็กลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่ายพลางว่า
"พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ นี่ไม่ใช่ในวัง ทำตัวตามปกติ"
สาวรับใช้ที่คัดมาเพื่อรับใช้องค์หญิงโดยเฉพาะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าจะต้องทำตามที่องค์หญิงว่าหรือไม่ แล้วทำแล้วจะดีหรือไม่
ซินซีเห็นสาวใช้ไม่ขยับก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายจึงเปลี่ยนน้ำเสียงพูดให้เข้มขึ้น
"นี่คือคำสั่ง"
"เจ้าค่ะ!"
ทุกเสียงตอบรับพร้อมเพรียง
ซินซีเผยยิ้มพอใจพลางกวาดตามองสาวรับใช้ทุกคนแล้วว่าขึ้นใหม่
"จากนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าองค์หญิง เรียก ฮูหยิน หรือคุณหนูก็แล้วแต่ใจพวกเจ้า"
"เจ้าค่ะ"
สาวรับใช้ไม่กล้าขัดใจองค์หญิงจึงรีบตอบรับ เห็นอย่างนั้นซินซีก็เอ่ยชม
"ดีมาก ว่าง่ายอย่างนี้ล่ะข้าชอบ อะ พวกเจ้าจะทำอะไรก็ไปทำ"
"เจ้าค่ะ ฮูหยิน"
สาวใช้รับคำเสร็จก็พากันแยกย้ายไปทำงานของตน เหลือเพียงสาวรับใช่หนึ่งเดียวที่ยังหมอบคลานอยู่กับที่
"เจ้า….. เงยหน้าขึ้น"
ซินซีบอกสาวรับใช้ตรงหน้า
นางค่อยๆเงยหน้าขึ้นตามคำสั่งของเจ้านาย ใบหน้าของสาวใช้ผู้นี้งดงามเครื่องหน้าโดดเด่นลักษณะท่าทางก็ไม่เหมือนสาวใช้ทั่วไปราวถูกอบรมมาอย่างดี ดูสงบและชาญฉลาด ค่อนข้างถูกใจตนอยู่มากจึงอยากทราบชื่อ
"เจ้าชื่ออะไร?"
"อี้หนิงเจ้าค่ะ"
"อี้หนิง นามเพราะเหมาะกับใบหน้า เอาละต่อจากนี้ไป เจ้าเป็นคนสนิทข้าก็แล้วกัน"
อี้หนิงตกใจไม่คิดว่าตนจะได้รับความโปรดปรานแก่องค์หญิงสี่ แต่ถึงจะตกใจเจ้าตัวก็ยังพอมีสติจึงรีบเอ่ยขอบคุณฮูหยิน
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะฮูหยิน"
ซินซีพยักหน้ารับ เตรียมขยับลุกขึ้นจากที่นอน สายตาก็พานไปเห็นรอยเลือดสีดำที่แห้งติดกับผ้าปูเตียงเข้าพอดี คิ้วงามขมวดเข้าหากันพลางคิด
'เจ้าเล่ห์จริงผู้ชายคนนั้น'
หลังจากอาบน้ำชำระล้างร่างกายและกินมื้อเช้าแล้ว จึงไปพบคนในวังที่มารอพบ พร้อมหีบสมบัติเครื่องแพรพรรณต่างๆสวยงาม ของเหล่านั้นมีของนางส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งเป็นของที่ฮ่องเต้พระราชทานให้พร้อมกับสาวใช้ คนสนิท นี่กวงหลิง เมื่อคนในวังกลับไปแล้วซินซีก็ถูกพามายังเรือนที่อยู่ใกล้ๆเรือน 'เริ่น' ของท่านแม่ทัพ เรือนนี้เป็นเรือนของฮูหยินจวนแม่ทัพทุกรุ่นเห็นเขาว่ากันมาเช่นนั้น มักจะเปลี่ยนชื่อไปตามชื่อฮูหยิน แล้วคราวนี้ก็ใช้ชื่อว่า 'เรือนประดับดาว' พอได้ยินชื่อซินซีก็ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับชื่อนางตรงไหน
'แต่เอาเถอะ เรือนจะชื่ออะไรก็ชื่อไป ซีไม่ซี อยู่แล้ว'
รอบๆตัวเรือนกว้างขวาง รอบล้อมไปด้วยดอกไม้ต้นนานาพรรณจัดไว้อย่างสวยงาม ให้ความรู้สึกร่มรื่นเย็นสบาย ส่วนตัวบ้านถูกสร้างด้วยไม้แท้สีน้ำตาลเข้มทั้งหลัง เห็นแล้วถูกใจซินซีนัก ตัวนางเคยอยากมีบ้านไม้แท้สักหลังมานานแล้ว แต่ยุคสมัยปัจจุบันไม้มันแพง และยังมีน้อย จะสร้างได้นี้ต้องรวยมากๆ เรือนประดับแห่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคฤหาสน์ไม้เลยสักนิด นี่คือผลพวงแห่งความโชคดีที่ทรัพยากรธรรมชาติยังเหลือเฟือสินะ ยืนรับความสวยงามกันอยู่สักพัก ทั้งตัวนางและผู้รับใช้ทั้งสิบกว่าคนรวมคนสนิททั้งสองไปด้วยแล้วจึงพากันเข้าไปในเรือน
ซินซีถูกพามายังห้องพักที่มีเครื่องเรือนตกแต่งไว้อย่างหรูหรา มีโต๊ะเตี้ยๆไว้วางของหรือนั่งเล่นอยู่โต๊ะหนึ่ง พร้อมเบาะนั่งนุ่มสบายสีม่วงปักลวดลายสวยงาม ห้องนั้นมีสวนน้ำตกจำลองอยู่ด้วย บรรยากาศเย็นสบายสดชื่นมาก ยิ่งเข้ามาด้านในยิ่งถูกใจเรือนหลังนี้ไปกันใหญ่ คิดแล้วอยากให้ป๋า กับ ม๋ามาอยู่ด้วยกันจังเลย
'ป๋าม๋า ซีคิดถึง'
ซินซีรีบขับไล่ความรู้สึกเศร้าโศกคำนึงหาเช่นนี้ออกไป แม้คิดถึงก็กลับไปไม่ได้ เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ เมื่อปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติแล้วนางจึงหันมาให้ความสนใจกับคนสนิททั้งสอง เมื่อได้อยู่กันครบสามคน เห็นท่าทางดีใจจนออกนอกหน้าของนี่กวงหลิงซินซีก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งนาง
"อะไรกัน นี่เจ้าตามมาลำบากกับข้าเหรอ กวงหลิง ข้ารึอุตส่าห์ฝากเจ้ากับเสด็จพี่ให้เจ้าไปเป็นหัวหน้านางใน"
"ขอประทานอภัยเพคะที่หม่อมฉันขัดพระประสงค์ขององค์หญิง และขอบพระทัยที่พระองค์ทรงกรุณาแก่หม่อมฉัน แต่ถึงอย่างไรถ้าไม่มีโอกาสได้รับใช้พระองค์หม่อมฉันก็ไม่มีความสุขเพคะ"
ซินซีรู้สึกทราบซึ้งแต่ก็ยังแกล้งกวงหลิงต่อไป
"เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก"
นี่กวงหลิงก้มหน้ากล่าวออกมาด้วยใจภักดีต่อองค์หญิงของตน
"หม่อมฉันยอมโง่ในสายตาผู้อื่น แต่สำหรับหม่อมฉัน การได้รับใช้องค์หญิงนั่นมีค่าสูงส่งแก่วงศ์ตระกูลเพคะ"
"เอาเถอะๆ จะอยู่ก็อยู่ แต่อย่าเอากฎในวังมาใช้ในที่แห่งนี้เด็ดขาด ข้าอยากอยู่อย่างสามัญชน"
นี่กวงหลิงได้ยินดังนั้นจึงก้มหัวทำความเคารพอย่างนอบน้อม
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ"
"อืม...จริงสิ อี้หนิง ท่านแม่ทัพไปไหนหรือ ตั้งแต่เช้ามานี้ ข้ายังไม่เห็นเลย?"
ซินซีเอ่ยถาม อี้หนิงเมื่อนึกขึ้นได้ว่า สามีหนุ่ม (ในนาม) ของตนนั้นหายไป วันนี้ยังไม่ได้เจอเลย แม้จะไม่อยากสนใจนัก แต่อย่างน้อยเขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี
อี้หนิงไม่ตอบในทันที คล้ายกำลังนึกคำพูดเมื่อนึกได้แล้วจึงเอ่ยตอบ
"นายท่านได้รับจดหมายด่วนให้ไปช่วยดูแลที่ชายแดนบูรพาเมืองหวางเจ้าค่ะ"
"อ้อ เช่นนั้นหรือ"
ซินซีรับคำแค่นั้น พลางก้มหน้าลงลอบยิ้ม
'สามีเด็กเธอคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง ไม่อยากเห็นหน้าภรรยาคนนี้จึงหาเรื่องหนีไปชายแดน เยี่ยม เยี่ยม ฉันล่ะชอบนัก'
ฝ่ายสาวรับใช้ทั้งสองไม่รู้ว่าเจ้านายคิดเช่นไร เห็นก้มหน้าจึงนึกว่ากำลังน้อยใจ นี่กวงหลิงจึงรีบเอ่ยปลอบผู้เป็นนายเสียงอ่อน
"ฮูหยินอย่าน้อยใจไปเลยเจ้าค่ะนี่คงเป็นงานเร่งด่วนจริงๆ"
"จริงเจ้าค่ะ ก่อนจะไป ท่านแม่ทัพยังกำชับบ่าวให้ดูแลฮูหยินอย่างดี ท่านแม่ทัพเป็นห่วงฮูหยินมากนะเจ้าคะ"
อี้หนิงรีบเอ่ยสมทบคำกล่าวของนี่กวงหลิง เพื่อไม่อยากให้ฮูหยินต้องเศร้า
'ฮูหยิน' ผู้ถูกเข้าใจว่าน้อยใจสามีเงยหน้ามองข้ารับใช้คนสนิททั้งสองด้วยความงงงวย พอเห็นสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงของทั้งสองก็เข้าใจ จึงเอ่ยขอบคุณ ถึงจะรู้ว่าเป็นคำโกหก
อย่างผู้ชายคนนั้นเหรอจะมาย้ำให้คนรับใช้ดูแลนาง ให้ม้าออกลูกเป็นไก่ก่อนเถอะถึงจะเชื่อ
"งั้นหรือ ขอบใจนะ"
สองข้ารับใช้คนสนิทถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกยินดีที่ องค์หญิงไม่เศร้าหมอง แม้ตนต้องโกหกก็ตาม
"มิได้เจ้าค่ะ เป็นหน้าที่ของบ่าว"
ซินซีมองสองสาวน้อยอย่างเอ็นดู ทำให้รู้สึกอยากแกล้งเล่นยิ่งนัก คิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยแกล้งทั้งสองออกมา
"เจ้าสองคนนี้ดีนัก ข้ารู้สึกอยากแต่งกับพวกเจ้าแล้วสิ"
สองสาวใช้ผู้ถูกแกล้งแต่ไม่รู้ว่าฮูหยินแกล้ง ก็ตกใจเรียกคนแกล้งเสียงหลง
"ฮูหยิน!...พูดอะไรเช่นนั้นเจ้าคะ ผิดผี"
"ฮ่าๆพวกเจ้านี่น่ารักจริงๆ"
"ฮูหยิน!"
ภายในเรือนประดับดาวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้เป็นเจ้าของเรือน และเสียงกระเง้ากระงอดของข้ารับใช้ผู้ถูกเจ้านายหยอกเย้า ช่างดูสงบสุขและเต็มไปด้วยความสดใส
เสียงหัวเราะของฮูหยินน้อยคล้ายไปชโลมดอกไม้ให้ผลิบาน ผีเสื้อบินว่อนเรียงตัวเป็นวงกลมคล้ายกำลังเต้นระบำ ท้องฟ้าช่างสดใส ราวกับยินดีไปกับความสุขของทั้งสาม
หลายวันต่อมา นี่กวงหลิงได้ข่าวจากสหายในวังว่า องค์หญิงสามถูกถอดยศและถูกเนรเทศไปเมืองนิน โดยให้ใช้ชีวิตอยู่ที่วัดของตระกูลห้ามกลับมาเมืองหลวงหรือออกจากเมืองนินแม้แต่ก้าวเดียว สาเหตุเพราะฮ่องเต้ทรงจับได้ว่า องค์หญิงสามเป็นผู้วางยาปลงพระชนม์องค์หญิงสี่ คราแรกนั้นฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก ตัดสินโทษประหารแต่ไทเฮาหลี่มาขอร้องให้ไว้ชีวิต ด้วยเห็นแก่ไทเฮาหลี่ฮ่องเต้จึงละเว้นโทษประหารเปลี่ยนเป็นเนรเทศแทน ข่าวนี้รู้กันเพียงในวังเท่านั้น ซินซีได้ทราบแล้วก็รู้สึกสงสาร ด้วยที่ตนและองค์หญิงสามไม่ได้รู้จักมักจี่หรือมีความแค้นต่อกัน จริงๆถ้าไม่ได้องค์หญิงสาม นางอาจจะตายไปแล้วไม่ได้มาเกิดใหม่ในร่างคนอื่นแบบนี้ แต่จะคิดเช่นนั่นก็ไม่ถูกต้องต่อเจ้าของร่าง ถ้าตนคือองค์หญิงสี่คงรู้สึกโกรธแค้นเป็นแน่ แต่เพราะไม่ใช่ ซินซีจึงได้แต่รู้สึกสงสารเด็กน้อยทั้งสอง หนึ่งคนคือผู้โชคร้ายที่ถูกกระทำ อีกหนึ่งคือผู้หลงกระทำผิดเพียงเพราะปล่อยให้อารมณ์ด้านมืดครอบงำ จนนำไปสู่การทำลายอนาคตของตนเองด้วยมือตน เพราะไม่อยากให้องค์หญิงสามเดินทางผิดอีก ซินซีจึงขอไปพบองค์หญิงในวันที่พระองค์ต้องเดินทางไปเมืองนิน พอได้เห็นพระองค์จริงๆแล้ว องค์หญิงสามเป็นสตรีที่งดงามมากคนหนึ่ง แต่โดนความแค้นเกลียดชังทำให้ใบหน้าหมองหม่นไม่สดใส คราแรกที่นางไปพบ องค์หญิงไม่แม้แต่จะมองหน้า แต่ซินซีก็ไม่ใส่ใจเข้าใจว่าคนเกลียดกันทำแบบนี้ก็ถูกต้อง หากมาปั้นหน้ายิ้มโผเข้ากอดกันคงสยองพิลึก นางเดินไปใกล้องค์หญิงสามพลางเอ่ยขึ้นว่า
"ที่ข้ามานี่ ข้าไม่ได้มาเพื่อเยาะเย้ยท่าน แต่ที่ข้ามาเพื่อมาบอกในสิ่งที่ท่านควรรู้ ฟังข้าเอ่ยสักประโยคเถิดองค์หญิง"
องค์หญิงสามยังไม่หันมามองซินซีแต่ก็รู้ว่าทรงฟังอยู่
"ความสุขที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เราได้ครอบครองทั้งหมด แม้ข้าจะได้แต่งงานกับท่านแม่ทัพแต่ เขาก็หาได้มีใจต่อข้าไม่ ดังนั้นเราทั้งสองล้วนเป็นสตรีที่ถูกความรักทำร้ายไม่ต่างกัน ขอให้ท่านมีความสุข"
กล่าวเสร็จซินซีก็ยัดซองจดหมายสีขาวใส่มือองค์หญิงสาม
"จะอ่านไม่อ่านแล้วแต่ท่านแต่อ่านได้จะเป็นอันดี รักษาตัวด้วยเพคะ"
องค์หญิงสามขึ้นรถม้าไปแล้ว จึงถึงทีที่ซินซีจะขึ้นรถม้ากลับจวนเช่นกัน ในใจก็เพียงภาวนาว่าเด็กผู้นั้นจะเปิดอ่านและคิดได้ก็แล้วกัน
ภายในรถม้าไปเมืองนิน องค์หญิงสามเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ความหดหู่เข้ามาสู่หัวใจยามเห็นรถม้าโผล่พ้นออกมาจากประตูเมืองหลวงแล้ว น้ำตาคนงามไหลนองหน้าอาบแก้มนวล มือกำเข้าหากันแน่นทำให้สัมผัสเข้ากับซองจดหมายที่เซวี่ยซินซียัดใส่มือพระองค์ องค์หญิงสามนามว่า เซวี่ยอวี้หนี่ย์ ก้มมองจดหมายสีขาวในมือพลางนึกถึงคำพูดของซินซี