บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 ฝายชะลอน้ำ

เสิ่นอี้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็รีบรุดตรงไปยังคุกที่คุมขังพวกอันธพาลเอาไว้เมือคืนนี้อย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงก็เป็นดั่งที่หมิงเจ๋อกล่าวเอาไว้ไม่มีผิด พวกอันธพาลยามนี้กลายเป็นบ้าเสียสติไปกันหมดแล้ว ปากก็เอาแต่พร่ำว่าในคุกมีผี ผีหลอกพวกเขา เสิ่นอี้ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนจะให้คนไปตามหมอมาตรวจดูอาการ แต่กลับพบว่าไม่พบความผิดปกติใดๆ เลยแม้แต่น้อย เสิ่นอี้ถึงกับสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เชื่อว่าในคุกแห่งนี้จะมีผี หากว่ามีจริงๆ นักโทษคนอื่นๆ ย่อมจะต้องกลายเป็นบ้าไปตั้งนานแล้ว ทว่านักโทษคนอื่นๆ ก็ยังปกติดี

นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่จะหาสาเหตุอื่นใดย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องนี้คงต้องทำการตรวจสอบอย่างลับๆ เขาจึงสั่งให้หมิงเจ๋อไปสืบให้ละเอียดว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง

ทว่ากลับไม่พบร่องรอยใดเลยแม้แต่เล็กน้อย

ช่างน่าแปลกยิ่งนัก

แม้จะสืบไม่พบร่องรอยใดๆ แต่เสิ่นอี้ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ เขายังคงให้หมิงเจ๋อจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของนายอำเภออู๋และคนรอบตัวอย่างไม่ให้คลาดสายตา

เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหลายวัน เสิ่นอี้มาอยู่ที่เมืองฉางเยว่ได้ร่วมเดือนแล้ว เหล่าชาวบ้านเองก็เริ่มจะคุ้นหน้าคุ้นตาเขามากขึ้น แต่กลับแสดงท่าทางหวาดกลัวและไม่กล้าเข้ามาสนทนากับเขาเท่าใดนัก เสิ่นอี้เองเข้าใจดี เรื่องนี้อย่างไรเสียย่อมต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

เสิ่นอี้ให้คนส่งจดหมายลับไปมอบให้ฮ่องเต้ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปทั้งหมดให้แก่ฮ่องเต้ให้ได้รับรู้ ฮ่องเต้เมื่อทราบเรื่องก็ให้คนนำเงินในท้องพระคลังมามอบให้เสิ่นอี้ที่เมืองฉางเยว่ เพื่อเตรียมการทำฝายชะลอน้ำก่อนที่จะถึงฤดูฝนนี้

เสิ่นอี้สั่งให้หมิงเจ๋อนำป้ายไปประกาศติดทั่วทั้งเมืองฉางเยว่ว่า จะรับสมัครคนงานมาทำฝายชะลอน้ำ หากว่าใครว่างงานก็มาสมัครทำงานได้ โดยให้ค่าแรงวันละห้าสิบอีแปะ เหล่าชายหนุ่มที่ว่างงานจึงรีบมาสมัครงานกันในทันที

ไป๋จินเซียงที่ได้ทราบข่าวนี้ก็ค่อนข้างแปลกใจนิดๆ นางไม่คิดว่าเสิ่นอี้มาถึงเมืองฉางเยว่ได้ไม่นานก็เริ่มจะซ่อมแซมปรับปรุงความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้นเสียแล้ว นางจึงเริ่มจะมั่นใจขึ้นมาบ้างว่าเขาอาจจะไม่เหมือนกับพวกขุนนางไม่ได้เรื่องพวกนั้น

ยามนี้ที่ริมแม่น้ำมีคนงานมากมายกำลังช่วยกันขนหินขนดินและพวกท่อนไม้มาที่ริมแม่น้ำ เสิ่นอี้มองดูด้วยสายตาที่ใคร่ครวญ การลงมือครั้งนี้เขาย่อมมาคุมการทำงานด้วยตนเอง เพราะไม่ไว้ใจคนอื่น

นายอำเภออู๋เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบมาประจบสอพลอ อีกทั้งยังนำสุรามามอบให้เสิ่นอี้ได้ดื่ม เขาทอดสายตามองเด็กชายตัวน้อยวัยห้าหกขวบที่ยืนจับมือเสิ่นอี้แวบหนึ่ง พลางสอบถาม

"ท่านเจ้าเมืองเสิ่น ไม่ทราบว่าคุณชายน้อยท่านนี้คือบุตรชายของท่านหรือขอรับ น่ารักน่าชังจริงเชียว"

เสิ่นเป่ามองดูชายร่างอ้วนตรงหน้าด้วยแววตาไร้เดียงสา เสิ่นอี้กวาดตามองนายอำเภออู๋ ก่อนจะพยักหน้า

"ใช่ เขาเป็นบุตรชายของข้า ชื่อว่าเสิ่นเป่า เขาติดข้ามาก ข้าจึงพาเขามาด้วย"

นายอำเภออู๋ยิ้มตาหยี

"โอว ดียิ่งนักขอรับ บุตรชายรักและเคารพบิดาช่างเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง ไว้คราวหน้าข้าจะมาเล่นกับเขาบ่อยๆ ที่จวนนายอำเภอมีของกินมากมายเลย"

เสิ่นอี้ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวกับนายอำเภออู๋

"ขอบคุณท่านที่เอ็นดูเขา แต่จวนเจ้าเมืองของข้าก็มีของกินไม่น้อยเช่นกัน ไม่กล้ารบกวนท่านให้ต้องมาลำบาก"

"ไม่รบกวนเลย ไม่รบกวนเลยขอรับ"

เมื่อเห็นว่าไม่มีิสิ่งใดแล้ว นายอำเภออู๋จึงขอตัวกลับ ก่อนกลับเขายังหันไปมองเสิ่นเป่าปราดหนึ่งด้วยแววตาเย็นชา แล้วกลับจวนของตนเองไป

ชายหนุ่มก้มหน้าลงมามองบุตรชายและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

"เจ้าอยากกลับจวนหรือไม่ พ่อจะให้จิ้นอิ๋งพาเจ้ากลับไปก่อน"

"ขอรับ ข้าง่วงแล้วก็หิวมากๆ อาหารที่นี่ไม่ถูกปากข้าเลย"

"เสร็จงานแล้ว พ่อจะรีบกลับไปทำอาหารให้เจ้านะ"

"ขอรับท่านพ่อ"

เสิ่นเป่าพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายพร้อมกับหาวออกมา เสิ่นอี้มองบุตรชายด้วยความรักใคร่ แล้วสั่งให้จิ้นอิ๋งพาเสิ่นเป่ากลับจวนเจ้าเมืองไปก่อน เขามองส่งบุตรชายไปจนลับสายตา ก่อนที่เขาจะมองเห็นไป๋จินเซียงที่เดินลงมาจากรถม้าพร้อมกับสาวใช้ของนาง ในมือมีกล่องอาหารมากมายติดมาด้วย เมื่อเห็นเขานางก็ยิ้มแย้มทักทาย พลางเอ่ย

"ท่านเจ้าเมืองเสิ่น บังเอิญว่าท่านพ่อได้ยินว่าท่านกำลังสร้างฝายชะลอน้ำ บิดาข้าชื่นชมขุนนางที่ทำเพื่อราษฎร จึงให้ข้าทำอาหารมาให้ท่านและคนงานเจ้าค่ะ ท่านรับไปสิ หากไม่พอก็มาบอกที่ร้านสุราของข้าได้เลย"

ไป๋จินเซียงพูดคุยอย่างเป็นมิตร อันที่จริงนางไม่อยากจะยุ่งกับขุนนางที่มือไม้ไม่สะอาด ทว่าเสิ่นอี้ไม่เหมือนกัน เขาดูเป็นคนดีคนหนึ่ง ที่ผ่านมาเพราะเมืองฉางเยว่ไม่มีคนดีมานานมาแล้ว ชาวบ้านหวาดกลัวว่าตนเองจะเดือดร้อน จึงไม่อยากสอดมือเข้ามาเกี่ยวพัน แต่เวลานี้ในเมื่อมีคนดีเข้ามา นางเองก็ย่อมยินดีช่วยเขา

ขอให้เขาดีต่อชาวบ้านเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยเถิด

เสิ่นอี้มองดูกล่องอาหารมากมายที่ไป๋จินเซียงสั่งให้คนนำมามอบให้เขาและคนงานแวบหนึ่ง พลางกล่าวขึ้นว่า

"ขอบคุณแม่นางไป๋มาก แต่จะเป็นการสิ้นเปลืองเปล่าๆ ข้าได้จัดอาหารให้คนงานทั้งสองมื้อแล้ว น้ำใจครั้งนี้ข้าจะรับไว้ แต่คราวหน้าเจ้าและบิดาอย่าได้ลำบาก ได้ยินว่าช่วงนี้การค้าขายก็ไม่ค่อยจะดี เจ้าเอาไว้ขายที่ร้านเถอะ"

ไป๋จินเซียงมองเสิ่นอี้ด้วยแววตาที่ชื่นชมครู่หนึ่ง พลางรับปากรับคำ

"เจ้าค่ะ แต่หากท่านขาดเหลือสิ่งใดก็ไปที่ร้านสุราของข้าได้เลย หรือไปที่จวนตระกูลไป๋ก็ได้ ท่านเจ้าเมืองเสิ่น ข้าหวังว่าท่านจะเป็นขุนนางที่มือสะอาดเช่นนี้ไปตลอด หากเป็นเช่นนั้น นับว่าเป็นวาสนาของชาวเมืองฉางเยว่แล้ว"

เสิ่นอี้ยิ้มให้ไป๋จินเซียง และพยักหน้าตอบรับ ไป๋จินเซียงเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดแล้วจึงจะขอตัวกลับ จนกระทั่งคนงานคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา

"แย่แล้ว! มีคนงานกินข้าวแล้วปวดท้องอย่างหนัก หมดสติไปแล้ว"

เสิ่นอี้เมื่อได้ยินดังนั้น ก็รีบไปดูอาการคนงานทันที พบว่ามีคนงานหลายสิบคนร้องโอดครวญ บอกว่ากินอาหารที่ทางการจัดเตรียมมาให้แล้วก็มีอาการปวดท้องทันที เสิ่นอี้รีบสั่งให้หมิงเจ๋อไปตามหมอมาทันที

ด้านไป๋จินเซียงก็นิ่วหน้า แล้วพูดขึ้นมา

"แปลกจริง เหตุใดจึงเป็นพร้อมกันเช่นนี้เล่า ท่านเจ้าเมืองเสิ่น ท่านว่ามันแปลกเกินไปหรือไม่?"

นางคิดเช่นนี้จริงๆ เหตุการณ์ดูจงใจเกินไป

ดังนั้นไป๋จินเซียงจึงเดินเข้าไปหาคนงานที่กำลังนอนร้องครวญคราง และยื่นมือไปจับชีพจร เสิ่นอี้มองหญิงสาวตรงหน้าพลางซักถาม

"ไป๋จินเซียง เจ้ารู้วิชาแพทย์หรือ?"

ไป๋จินเซียงตรวจคนเจ็บไปพลางก็ตอบเขาไปด้วย

"พอรู้อยู่บ้าง ตอนมาอยู่ที่เมืองฉางเยว่ใหม่ๆ ข้าเคยเรียนรู้มาจากท่านหมอผู้หนึ่ง เขานับเป็นอาจารย์ที่ข้าเคารพ"

กล่าวจบนางก็ตรวจคนอย่างละเอียด ยื่นมือไปกดเบาๆ ไปที่บริเวณท้องของคนเจ็บและเอ่ยถาม

"ปวดเกร็งตรงนี้ใช่หรือไม่ และรู้สึกอยากถ่ายท้องและอาเจียนด้วยใช่หรือไม่?"

"ขอรับ"

ไป๋จินเซียงเมื่อได้ยินแล้ว ก็หันมาบอกกับเสิ่นอี้

“เหมือนว่าในอาหารจะมียาถ่ายปะปนมา เรื่องนี้ไม่ร้ายแรงเท่าไร ข้าจะไปที่ร้านขายยาสมุนไพร นำสมุนไพรมาต้มให้พวกเขากิน ไม่นานก็หาย ส่วนท่านหมอที่ท่านให้คนไปตามก็ให้เขามาตรวจคนที่เหลือเถอะ เขามีวิชาแพทย์สูงส่งกว่าข้าอาจจะพบเจอสาเหตุมากกว่านี้ ข้าจะรีบกลับมา"

"ขอบใจเจ้ามาก"

ไป๋จินเซียงพยักหน้า รีบไปที่ร้านยาสมุนไพร ก่อนจะนำยามาต้ม ไม่นานนักก็นำมาให้คนงานดื่ม พวกเขาจึงค่อยๆ มีอาการดีขึ้น ท่านหมอเองก็พลอยได้เบาแรงไปด้วย

ยามที่นางทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ได้ไม่นานนั้น ก็ได้รู้จักท่านหมอผู้หนึ่ง เขาชราภาพมากแล้วแต่ยังสั่งสอนนางได้อย่างใจเย็น ร่างเดิมในภพปัจจุบันนางก็พอจะรู้วิชาแพทย์จากโลกเดิมมาบ้างจึงนำมาประยุกต์ใช้พอจะช่วยเหลือคนได้บ้าง

เมื่อสถาณการณ์สงบลง เสิ่นอี้ก็สั่งให้คนไปตรวจสอบว่ามีใครที่คิดลงมือทำให้การสร้างฝายล่าช้าหรือไม่ แต่ทว่าเมื่อตรวจสอบไปถึงพ่อครัวที่ปรุงอาหารกลับพบว่าเขากลายเป็นศพไปเสียแล้ว เสิ่นอี้แววตาเย็นเยียบ คาดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับนายอำเภอเมืองอู๋เป็นแน่

เหตุใดจึงคิดขัดขวางเขาเช่นนี้กันนะ?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel