บทย่อ
วาสนาเคียงนิรันดร์ : เขาคือบุรุษม่ายที่มีลูกติด ส่วนนางคือสตรีบ้านป่าแต่เพราะวาสนาด้ายแดงนำพา ทำให้เขาและนางได้พบและร่วมมือแก้ปัญหาในหลายเรื่องด้วยกัน โดยมีบุตรชายตัวน้อยของเขาเป็นคนช่วยถักทอวาสนารักในครั้งนี้ บัณฑิตหนุ่มเอวร้อนรัก : เจ้าไม่ชอบข้าแล้วอย่างไรเล่า ข้าเป็นสามีเจ้า ด่าข้าไปเถิด ข้าหน้าหนา มิอายเสียหรอก เพราะข้าคือ บัณฑิตหนุ่มเอวร้อนรัก ยามเมื่อบุปผาผลิบาน : สตรีน้อย ที่งดงามราวบุปผาแรกแย้ม และสามีแซ่บๆของนาง
บทที่ 1 สูญเสียภรรยา
เมืองหลวงต้าเฉวียน
"คุณชาย ถึงเวลาที่ต้องนำโลงศพของฮูหยินไปฝังแล้วเจ้าค่ะ"
เสียงของสาวใช้นางหนึ่งเอ่ยขึ้น ทำให้เสิ่นอี้ี่ที่ยามนี้เอาแต่ยืนมองโลงศพตรงหน้าพลันได้สติคืนกลับมา เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปจับโลงศพสีดำเบื้องหน้า และเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอาดูร
"ได้ เจ้าให้คนมานำโลงศพของนางไปฝังเถิด”
เอ่ยจบน้ำตาของเขาก็ไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า ชายหนุ่มหลับตาลงพยายามข่มกลั้นความโศกเศร้าภายในจิตใจแต่ทว่ายังคงไม่อาจทำได้
หนิงเอ๋อร์ ข้ารักเจ้านะ
ชายหนุ่มทำได้เพียงร้องรำพันในใจด้วยความปวดร้าว
เขาคือบัณฑิตหนุ่มรูปงาม นามว่าเสิ่นอี้ ตระกูลเสิ่นของเขาเป็นแม่ทัพมาหลายชั่วอายุคน ยามนี้บิดาของเขารั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เสิ่น และยังมียังบรรดาศักดิ์ท่านโหว ส่วนเขาเองก็เป็นทายาทเพียงผู้เดียว แม้จะมีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊แต่กลับมิได้เข้าร่วมกองทัพเพราะชอบอยู่กับตำราตัวอักษรมากกว่า เมื่ออายุได้สิบแปดปีเขาแต่งงานกับเยี่ยนหนิง บุตรสาวของคหบดีผู้หนึ่งที่ร่ำรวยในเมืองหลวง เสิ่นอี้และเยี่ยนหนิงมีใจรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง เขาแต่งนางเข้ามาเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามประเพณี ทว่าหกปีต่อมานางก็ล้มป่วยลงโดยไม่ทราบสาเหตุ สุดท้ายก็จากเขาและบุตรชายไปอย่างไม่มีวันกลับ
เขาเสียใจจนไม่เป็นผู้เป็นคน แต่เมื่อได้มองเห็นหน้าบุตรชายตัวน้อย เสิ่นอี้ก็คิดได้ว่าเขายังต้องมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลบุตรชายต่อไป จึงตัดสินใจว่าหลังจากจบเรื่องงานศพของเยี่ยนหนิงแล้ว เขาจะพาบุตรชายเดินทางไปอยู่ที่เมืองฉางเยว่ด้วย
เมื่อคิดเช่นนั้นเสิ่นอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความเศร้าเสียใจ ก่อนจะเดินออกมานอกเรือน เมื่อมาถึงก็พบกับเสิ่นเป่าที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเขา เสิ่นอี้อุ้มบุตรชายขึ้นมา เสิ่นเป่ายามนี้ร้องไห้จนตาบวมแดง เสิ่นอี้ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยถามบุตรชาย
"อาเป่าของพ่อ เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้เช่นนี้เล่า"
"อาเป่า เจ้ามาหาแม่เร็วเข้า"
เสิ่นเป่ายังไม่ทันตอบ ก็มีเสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน เสิ่นอี้เงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะพบกับซูลี่ที่กำลังวิ่งเข้ามา เมื่อนางเห็นว่าเขากำลังอุ้มเสิ่นเป่าอยู่จึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"พี่อี้ ที่แท้อาเป่าก็วิ่งมาหาท่านเองหรอกหรือ ข้าเป็นหวงแทบแย่ อาเป่า มาหาแม่เร็วเข้า"
เสิ่นเป่าไม่ยินยอมไปหาซูลี่อีกทั้งยังซุกหน้าลงมาบนแขนของบิดาราวกับหวาดกลัว เสิ่นอี้เมื่อได้เห็นเช่นนั้นจึงบอกกับบุตรชายอย่างอ่อนโยน
"อาเป่า เจ้าเป็นอะไร"
เสิ่นเป่าเงยหน้ามามองบิดา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่เจือสะอื้น
"ท่านพ่อ ข้าไม่อยากอยู่กับนาง นางไม่ยอมให้ข้ามาหาท่านแม่ นางบอกว่าหากข้ามาอาจจะนำไออัปมงคลจากศพของท่านแม่ติดตัวมาด้วย ฮือ ท่านพ่อ ข้าจะไปหาท่านแม่"
เสิ่นอี้ปรายตามองซูลี่ด้วยความไม่พอใจทันที ซูลี่ถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น นึกด่าทอเด็กนรกเสิ่นเป่าในใจอย่างเกลียดชัง
ซูลี่ผู้นี้ เป็นหลานสาวของฮูหยินคนใหม่จวนตระกูลเสิ่น น้าสาวของนางเป็นภริยาเอกคนใหม่ของบิดาเสิ่นอี้ ก่อนหน้านี้มารดาของเสิ่นอี้ป่วยตาย จึงแต่งน้าสาวของนางเข้าจวนมา ตระกูลของนางเป็นตระกูลขุนนางเล็กๆ มิได้มีอำนาจใดมากนัก หากคิดจะหาคู่ครองดีดีก็คงนับว่าเป็นเรื่องยาก น้าสาวจึงออกอุบายว่าจะให้นางมาอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลเสิ่น เพื่อใกล้ชิดกับเสิ่นอี้ เล็งเห็นการณ์ไกลเผื่อเขาจะรับนางเป็นภรรยารอง
แต่เสิ่นอี้กลับไม่สนใจนาง แม้กระทั่งเวลานี้ที่ฮูหยินเอกของเขาตายไปแล้ว เขาก็ยังไม่คิดจะปรายตามองนางเสียด้วยซ้ำ
ซูลี่ที่ถูกเสิ่นอี้จ้องมองอย่างไม่พอใจก็วางมือวางไม้ไม่ถูก ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยแก้ตัวอะไร เสิ่นอี้ก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
"เหลวไหลสิ้นดี! อาเป่าเป็นบุตรของหลิงเอ๋อร์ภรรยาของข้า แต่เจ้ากลับห้ามไม่ให้บุตรชายมาอำลามารดา เจ้าจะใจกล้าเกินไปแล้ว ซูลี่!"
"พี่อี้ ไม่ใช่นะเจ้าคะ ข้าเพียงเป็นห่วงอาเป่า อาเป่าเจ้าบอกท่านพ่อไปสิ ว่าแม่ดีต่อเจ้ามากเพียงใด"
"หุบปาก!"
ซูลี่พลันสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเสิ่นอี้ตะคอกอย่างไม่ไว้หน้า เขามองนางอีกครั้ง ก่อนจะตวาดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
"เลิกแทนตนเองว่าแม่เสียที อาเป่าไม่ใช่บุตรเจ้า!"
พูดจบเขาก็อุ้มเสิ่นเป่าจากไปทันที เสิ่นเป่าที่เห็นเช่นนั้นก็หันหน้ามาหาซูลี่ก่อนจะแลบลิ้นใส่นางอย่างยั่วยุ ซูลี่โมโหจัดแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นางยังต้องใช้เด็กนี่เพื่อเข้าหาเสิ่นอี้!
งานศพของเยี่ยนหนิงผ่านพ้นไปด้วยดี เสิ่นอี้ต้องปลอบประโลมเสิ่นเป่าอยู่นานกว่าเขาจะยอมสงบลง
หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไปร่วมเดือน เสิ่นอี้ก็ยื่นฎีกาต่อฮ่องเต้ ขอย้ายตนเองไปอยู่ที่เมืองฉางเยว่เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและปากท้องประชาชน ฮ่องเต้จึงทรงอนุญาต
แต่บิดาของเขาไม่เห็นด้วย บอกว่าเขาจะไปลำบากทุกข์กายห่างไกลเมืองหลวงทำไมกัน อีกทั้งยังสนับสนุนให้เขาแต่งซูลี่เป็นภรรยาใหม่ ทว่าเสิ่นอี้กลับไม่สนใจ เขาเก็บข้าวของเตรียมพร้อมออกเดินทาง ครั้งนี้เขาตัดสินใจว่าจะพาเสิ่นเป่าไปด้วย
เขาไม่ไว้ใจซูลี่และน้าสาวของนาง และไม่อยากให้เสิ่นเป่าต้องโดดเดี่ยว มารดาเพิ่งจากไปบิดาก็ไปอยู่ที่อื่นอีก เสิ่นเป่าอาจจะมีปมด้อยในจิตใจก็เป็นได้
ด้านซูลี่ที่ได้ทราบข่าวว่าเสิ่นอี้จะไปที่เมืองฉางเยว่ อีกทั้งยังไม่มีกำหนดเดินทางกลับที่แน่นอน นางก็ร้อนใจไม่น้อย เดิมทีคิดจะตามเขาไป แต่เขาไม่ได้สนใจนาง อีกทั้งยังออกเดินทางไปเมืองฉางเยว่ตั้งแต่เช้าตรู่เรียบร้อยแล้ว ซูลี่กระทืบเท้าเร่าๆ ตั้งใจเอาไว้ว่า นางจะต้องหาทางไปหาเขาที่เมืองฉางเยว่ นางจะต้องได้แต่งงานกับเขาให้ได้ และจะไม่มีสตรีใดมาแย่งเขาไปจากนางได้อีกแล้ว
เสิ่นอี้ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ระยะทางจากเมืองหลวงไปถึงเมืองฉางเยว่ค่อนข้างไกลไม่น้อยเลย การมาครั้งนี้เขาพาบ่าวรับใช้ชายคนสนิทและสาวใช้มาคนหนึ่ง นางเป็นคนสนิทของเยี่ยนหลิง ร่างกายค่อนข้างบึกบึนเยี่ยงบุรุษ เสิ่นเป่าชอบนางมาก เขาจึงให้นางมาคอยดูแลเสิ่นเป่าที่เมืองฉางเยว่
เสิ่นอี้ควบม้าส่วนเสิ่นเป่านั่งรถม้ากับบ่าวชายและสาวใช้มาตามเส้นทางที่คดเคี้ยว ผ่านป่าเขาหลายลูก ตลอดทางเขาแวะพักบ้างเพื่อให้เสิ่นเป่าได้นอนหลับสบาย ใช้เวลาร่วมสิบห้าวันก็เดินทางมาถึงเมืองฉางเยว่