บทที่ 3 ความเน่าเหม็นของทางการ
เมื่อไล่คนกลับไปหมดแล้ว เสิ่นอี้ก็เดินไปหาเสิ่นเป่าที่อยู่อีกห้องหนึ่งกับสาวใช้ร่างบึกบึนนามว่าจิ้นอิ๋ง เมื่อมาถึงก็พบว่าเสิ่นเป่านอนหลับไปเสียแล้ว เสิ่นอี้จึงไม่อยากรบกวนเวลานอนของบุตรชาย เขาจึงกำชับให้จิ้นอิ๋งดูแลเสิ่นเป่าให้ดีเพียงเท่านั้น
ยามกลางคืนที่เมืองฉางเยว่มีลมพัดเย็นสบาย ช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่อากาศเย็นกำลังดี เสิ่นอี้เดินทางมาทั้งวันก็รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย แต่เขากลับไม่ยอมพัก ชายหนุ่มจึงออกมาจากจวนเจ้าเมือง เขาไม่ได้นั่งเกี้ยวมา แต่ว่าเดินมาตามทางเรื่อยๆ พร้อมกับองค์รักษ์คนสนิทที่แต่งกายธรรมดาผู้หนึ่ง คนทั้งสองเหมือนพ่อค้าต่างถิ่นที่มาค้าขาย
เพราะเดินทางมาถึงที่นี่ก็ค่ำมืดมากแล้ว จึงยังไม่มีราษฎรในเมืองฉางเยว่เห็นหน้าเขามากนัก นับว่าเป็นเรื่องดี ชายหนุ่มเดินดูของต่างๆไปเรื่อยเปื่อย สิ่งไหนที่ดูแล้วเหมาะกับเสิ่นเป่า เขาก็ซื้อกลับไปฝากบุตรชาย
ที่เมืองฉางเยว่ค่อนข้างคึกคักไม่น้อยเลย มีชาวบ้านมาเดินเล่นกันเยอะแยะ มีร้านสุราและร้านอาหารมากมาย เขามองไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ป้ายร้านเหลาสุราซือจี๋
เสิ่นอี้พลันนึกถึงสุรารสชาติดีที่นายอำเภออู๋นำมามอบให้ได้ จึงเดินเข้าไปทันที ตรงหน้าร้านมีหญิงสาวนางหนึ่งกำลังเก็บเก้าอี้เข้าร้าน เขาจึงเดินเข้าไปสอบถาม
"แม่นาง เหลาสุราจะปิดแล้วหรือ"
ไป๋จินเซียงที่กำลังยกเก้าอี้ พลันหันกลับมามอง ก่อนจะพบกับบุรุษใบหน้าหล่อเหลาคมคายผู้หนึ่งที่เดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้าน ไป๋จินเซียงพินิจมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัย นางไม่คุ้นหน้าเขาเลย หรือว่าเขาจะเป็นพ่อค้าที่เดินทางผ่านทางมาที่ี่นี่และแวะพักกันนะ
คงจะเป็นเช่นนี้แน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงยิ้มแย้มและพูดคุยกับเขา
"เจ้าค่ะ ร้านปิดแล้ว หากท่านต้องการสุราไว้มาพรุ่งนี้เถิด"
"อืม เช่นนั้นขอบใจแม่นางมาก ไว้ข้าจะมาใหม่"
พูดจบเสิ่นอี้ก็คิดจะจากไป ทว่าเขากลับได้ยินนางสนทนากับใครบางคนเข้าเสียก่อน
"จินเซียงเก็บของเสร็จหรือยัง วันนี้เราต้องปิดร้านเร็วน่าเสียดายไม่น้อยเลย"
"ก็ต้องปิดก่อนล่ะ ไม่อย่างนั้นนายอำเภออู๋ได้ส่งคนมาเอาสุราของเราไปประจบประแจงท่านเจ้าเมืองคนใหม่จนหมดร้านเป็นแน่ เขาจ่ายเงินก็แล้วไปเถิด แต่กลับมาเอาไปโดยไม่จ่ายเงินสักอีแปะ ใช้ได้ที่ไหนกัน เหอะ ท่านเจ้าเมืองนั่นก็ช่างกระไร ตอนกลืนสุราลงคอไม่สำลักหรือละอายแก่ใจบ้างหรือ ชิ!"
"จินเซียงเจ้าอย่าปากพล่อยนัก รีบเก็บของเข้าร้าน เกิดมีใครมาได้ยินเข้าพวกเราจะลำบาก"
"เจ้าค่ะ ข้าก็แค่โมโห ท่านพ่อไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ยามนี้ไม่มีคนแล้ว ไม่มีผู้ใดได้ยินที่ข้าบ่นหรอก"
พูดจบนางก็ปิดร้าน เสิ่นอี้หันกลับไปมองก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น ด้านหมิงเจ๋อองค์รักษ์ของเขาที่ยืนอยู่ข้างกายก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"นายท่าน นางแช่งท่านให้สำลักแล้วยังด่าท่านว่าหน้าไม่อายด้วย ท่านไม่ได้ยินหรอกหรือ"
เสิ่นอี้หันมาถลึงตาใส่หมิงเจ๋ออย่างหัวเสีย
"เรื่องสำคัญไม่ฟังแต่กลับไปฟังเรื่องไร้สาระ ระวังเถอะข้าจะสั่งโบยเจ้า"
หมิงเจ๋อหัวเราะแหะๆ ก่อนจะเดินตามเจ้านายกลับจวนท่านเจ้าเมือง เมื่อมาถึงเขาก็ถามเสิ่นอี้ทันที
"นายท่าน ที่แม่นางคนนั้นบอกว่านายอำเภออู๋สั่งคนไปเอาสุราโดยไม่จ่ายเงินมันหมายความอย่างไรกัน"
เสิ่นอี้หันมามองหมิงเจ๋อ ก่อนจะส่งเสียง เหอะออกมา
"ก็หมายความว่านายอำเภออู๋ผู้นี้มักจะรีดไถชาวบ้านจนเป็นนิสัยน่ะสิ เจ้าจับตาดูเขาเอาไว้ จงอย่าทำให้เป็นที่สังเกตุได้ ข้าเชื่อว่าเขาเองก็ต้องจับตาดูข้าอยู่เช่นกัน"
"ขอรับนายท่าน"
หมิงเจ๋อรับคำก่อนจะจากไป เสิ่นอี้ที่เห็นเช่นนั้นจึงเดินเข้าไปพักในห้องนอนของตน เมื่อหลับตาลงเขาก็ฝันเห็นเยี่ยนหนิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในฝันนางเอาแต่ร้องไห้ เขาถามสิ่งใดนางก็ไม่ยอมตอบ
ยามเช้าที่อากาศแจ่มใส ไป๋จินเซียงตื่นนอนแต่เช้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปตลาดเพื่อหาซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารขายในเหลาสุรา ชีวิตประจำวันของไป๋จินเซียงก็เป็นเช่นนี้ทุกวันไม่ได้มีสิ่งใดน่าตื่นเต้นมากนัก นางคุ้นชินเสียแล้ว
หลังจากซื้อของที่ต้องการครบถ้วนแล้ว นางก็ให้ซินซินนำไปเก็บที่เหลาสุรา ล้างของให้สะอาดรอนางไปจัดการ ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังร้านน้ำเต้าหู้
ร้านน้ำเต้าหู้วันนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าใดนัก อาจจะเพราะยังเช้าอยู่มาก
"ลุงหวังเอาน้ำเต้าหู้หนึ่งที่"
"อ้าวจินเซียงวันนี้มาเช้านะ"
"เจ้าค่ะ ต้องรีบมา อีกเดี๋ยวลุงหวังขายหมดพ่อข้าก็อดกินน่ะสิ"
"ได้ๆ วันนี้จะแถมให้มากหน่อย"
ไป๋จินเซียงยิ้มตาหยี ในขณะที่นางกำลังรอน้ำเต้าหู้ ก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา
"ขอน้ำเต้าหู้หนึ่งที่"
ไป๋จินเซียงหันมามองอย่างไม่ได้ใส่ใจ ก่อนจะจำได้ว่าเขาคือคนที่มาถามซื้อสุราของนางเมื่อคืนนี้ นางยิ้มให้เขาเล็กน้อย แล้วจึงทักทาย
"วันนี้เหลาสุราของข้าเปิดถึงยามดึกนะ ท่านมาลองชิมได้ ข้าจะแถมเนื้อตุ๋นให้ท่านสองจานเลย"
เสิ่นอี้มองไป๋จินเซียงแวบหนึ่งก่อนจะพยักหน้าและยิ้มตอบ ใบหน้าหญิงสาวไม่ได้จัดว่าสวยหวานงามล่มเมือง แต่มองแล้วสบายตายิ่ง ยามที่นางยิ้มจะมีลักยิ้มสองข้างแก้มดูน่ารักน่าชัง
แต่ก่อนเยี่ยนหนิงของเขาก็มีรอยยิ้มที่สดใสเช่นนี้
เมื่อคิดถึงภรรยาก็เหมือนมีก้อนน้ำตาจุกอยู่ที่ลำคอ เสิ่นอี้พยามระงับสติ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ไป๋จินเซียงเมื่อได้น้ำเต้าหู้แล้วก็รีบกลับมาที่ร้านของตนทันทีไม่ได้สนใจเสิ่นอี้อีก
เย็นวันนั้นเสิ่นอี้ก็ไปที่เหลาสุราซือจี๋ของไป๋จินเซียงจริงๆ นางแถมเนื้อตุ๋นให้เขาสองจานอย่างที่บอกเอาไว้ไม่มีผิด ไป๋จินเซียงยกสุรามาให้เขา พลางสอบถาม
"พี่ชาย ท่านไม่ใช่คนที่นี่สินะ ข้าไม่คุ้นหน้าท่านเลย ท่านเป็นพ่อค้าที่ผ่านทางมาใช่หรือไม่"
เสิ่นอี้เมื่อได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบ
"ใช่แล้ว ข้าเดินทางมาค้าขาย คาดว่าคงจะผ่านมาทางนี้อีกเรื่อยๆ มีโอกาสจะมาที่เหลาสุราของเจ้าบ่อยๆ"
"ได้เลย ข้ายินดีต้อนรับท่านเสมอ"
"จินเซียง เอาสุรามาเพิ่มทางนี้หน่อย"
"ได้เจ้าค่ะท่านพ่อ"
ไป๋จินเซียงรับคำ ก่อนจะเดินไปจัดการงานของตนเอง เสิ่นอี้มองตามนางไปก่อนจะถอนสายตากลับคืน นางชื่อไป๋จินเซียงหรือนี่ เป็นชื่อที่ดีมากๆ
เมื่อดื่มต่ออีกครู่หนึ่ง เขาก็กลับไปที่จวนของตน เจ้าตัวน้อยเสิ่นเป่าของเขาขี้เซายิ่งนัก ยามนี้จึงนอนหลับไปเสียแล้ว
หลายวันต่อมา เสิ่นอี้ค่อนข้างยุ่งเป็นอันมาก เพราะงานที่ต้องสะสางมีไม่น้อย ทั้งเรื่องอุทกภัยที่ต้องรีบหาทางแก้ไข รวมถึงเขาได้ตรวจสอบพบว่าเจ้าเมืองคนเก่า มีการรับสินบนและขูดรีดภาษีราษฎรอย่างไร้ความปรานี เขาเรียกนายอำเภออู๋มาพบ ก็ได้รับคำตอบเพียงว่า เป็นเพราะเจ้าเมืองคนเก่าไร้ความสามารถ และได้ล้มป่วยและเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อไม่ได้คำตอบอันใด เสิ่นอี้จึงให้นายอำเภออู๋กลับไปเสีย ส่วนเขาก็ไปที่แม่น้ำสายใหญ่ที่อยู่ติดกับเมืองฉางเยว่ เพื่อดูสถาการณ์ความเป็นไปสักเล็กน้อย เพราะถึงหน้าฝนทีไร มักจะเกิดอุทกภัยอยู่บ่อยครั้ง
เขามากับหมิงเจ๋อเพียงสองคน เดิมทีเสิ่นอี้ก็ไม่ชอบให้มีคนตามมามากนัก เพราะยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความ
เมื่อเดินมาถึงริมแม่น้ำก็พบว่าแม่น้ำที่นี่กว้างใหญ่มาก ทั้งยังมีลมพัดเย็นสบายตลอดปี แต่เพราะเมืองฉางเยว่เป็นเมืองที่ราบลุ่มต่ำ จึงทำให้เกิดน้ำท่วมหนักทุกปี เห็นทีคงจะต้องหาทางทำฝายชะลอน้ำเพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วมหนักและสามารถรับมือได้
แม่น้ำสายนี้ตั้งอยู่นอกเมืองฉางเยว่ ชาวบ้านมักจะออกจากเมืองมาหาปลากันอยู่เสมอ เมืองฉางเยว่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เพราะแม่น้ำสายนี้ไม่เคยแห้งเหือดเลย
เสิ่นอวี้มองแม่น้ำตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่หญิงสาวนางหนึ่งซึ่งกำลังยืนเก็บองุ่นป่าใส่ตระกร้าอย่างขะมักเขม้น เขาจำได้ว่านางคือไป๋จินเซียงนั่นเอง
ไป๋จินเซียงวันนี้นางมาเก็บองุ่นป่า คิดว่าจะนำไปหมักเป็นสุราองุ่นเสียหน่อย เก็บมาตั้งนานแล้วก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า จึงคิดจะกลับบ้านแล้ว แต่กลับมาเจอบุรุษผู้นั้นที่ไปดื่มสุราที่ร้านของนางได้ หญิงสาวยิ้มนัยน์ตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว ก่อนจะเดินเข้าไปทักทายเขา
"พี่ชาย ท่านมาเดินเล่นแถวนี้หรือ"
หมิงเจ๋อคิดจะบอกว่าเสิ่นอี้เป็นใคร แต่กลับถูกเจ้านายห้ามเอาไว้เสียก่อน เสิ่นอี้หันมายิ้มให้ไป๋จินเซียงพลางตอบ
"เพียงมาเดินผ่อนคลายน่ะ แม่นางไป๋ ข้ามีเรื่องสงสัยอยากถามเจ้าสักหน่อย เจ้าสะดวกหรือไม่"
"เรื่องใดหรือ"
ไป๋จินเซียงมองเสิ่นอี้ด้วยความสงสัย เสิ่นอี้มองไป๋จินเซียงและเอ่ยถามนาง
"ข้าได้ยินว่าเมืองฉางเยว่มักจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ทุกปี ข้าพักอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันว่าพวกเขาได้รับความลำบาก เพราะทางการไม่ได้ช่วยเหลือเท่าที่ควร นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่"
ไป๋จินเซียงมองเสิ่นอี้แวบหนึ่งและไม่ได้กล่าวคำใดๆ เรื่องนี้นางลำบากใจที่จะพูดเช่นกัน อีกอย่างเขาเป็นคนนอก และมาจากที่ใดนางก็ไม่อาจรู้ได้ เมืองฉางเยว่ฟอนเฟะมานานมากแล้ว มีแต่ชาวบ้านที่ช่วยเหลือกันเอง พวกเขาสิ้นหวังกับคนของทางการไปนานแล้ว
เมื่อเห็นว่านางไม่ตอบ เสิ่นอี้จึงเอ่ยต่อ
"ขออภัยที่ทำให้แม่นางลำบากใจ ข้าเพียงอยากรู้น่ะ ข้าสงสารชาวบ้าน เลยคิดว่าคราวหน้าหากข้าเดินทางมาแล้วมีสิ่งใดพอช่วยได้ข้าก็จะช่วย อีกทั้งยังจะนำของมาบริจาคด้วย นี่ข้าก็ปรึกษากับบิดาว่าจะนำเงินมาบริจาคให้ทางการที่เมืองฉางเยว่ จะได้เอาไว้ช่วยราษฎร"
ไป๋จินเซียงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบบอกทันที
"ให้ทางการหรือ คงไม่ถึงชาวบ้านหรอก พวกเขาก็เก็บใส่กระเป๋าตนเองหมดแล้ว ที่นี่น้ำท่วมทุกปีก็เพราะพวกเขาไม่สนใจราษฎร ได้งบประมาณมาก็เอาไปใช้จ่ายส่วนตัว!"
เพราะความโมโหไป๋จินเซียงจึงโพล่งออกไปอย่างไม่ทันระวังคำพูด กว่าจะรู้ตัวนางก็ร้องในใจว่าแย่แล้ว เดิมทีคิดจะอยู่อย่างสงบ แต่ที่ผ่านมานางก็เจ็บแค้นแทนชาวบ้านจริงๆ
เสิ่นอี้พลันขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่แปลกใจเท่าใดนัก เพราะคนอย่างนายอำเภอเมืองอู๋ก็ดูไม่ใช่คนดีอะไร แต่ไม่น่าเชื่อว่าใต้จมูกของฮ่องเต้ พวกเขากลับกล้ายักยอกเงินที่ส่งมาช่วยเหลือราษฎรเช่นนี้ คงคิดว่าเมืองฉางเยว่อยู่ห่างไกลสายตาฮ่องเต้จึงกล้าลงมือ
เสิ่นอี้คิดจะถามต่อแต่ทว่าไป๋จินเซียงกลับรีบร้อนเดินจากไป เขาคิดจะตะโกนเรียกนาง แต่กลับพบว่าคนจากไปไกลแล้ว อีกทั้งนางยังทำถุงหอมหล่นเอาไว้อีกด้วย เขาเก็บถุงหอมใบนั้นขึ้นมาพบว่ามันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายสมุนไพร
เขาเข้าใจว่านางเกรงกลัวว่าตนเองจะเดือดร้อน แต่ความโกรธแค้นในใจก็มีไม่น้อยเช่นกันจึงหลุดปากพูดมาเช่นนี้
หากว่าเขาเอาถุงหอมไปคืนนาง จะต้องหาทางสอบถามนางอีกครั้ง