ตอนที่ 3 (2)
หญิงสาวบ่นอุบอิบพลางหลับตาปี๋ ขณะหันกลับมาเพื่อโยนผ้าเช็ดตัวให้กับชายหนุ่ม แต่ด้วยความที่ไม่ทันระวังทำให้เท้าของเธอไปเกี่ยวเอาเสื้อชั้นในลายลูกไม้ตัวสวยที่ร่วงอยู่บนพื้นติดมาด้วย ทำให้ขณะหมุนตัวบราเซียตัวน้อยของเธอกระเด็นไปตกอยู่ตรงปลายเท้าของอคิราภ์พร้อมกับผ้าเช็ดตัวพอดิบพอดี
คิ้วเข้มขมวดเข้ากันแล้วเพ่งมองสิ่งที่ตกอยู่ตรงหน้า ก่อนเขาจะก้มลงหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยอย่างขำๆ ชายหนุ่มใช้ผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวสอบไว้ลวกๆ ตามเดิม แล้วยกเสื้อชั้นในของหญิงสาวขึ้นพิจารณา พร้อมกับแกล้งพูดแหย่เธอเสียงดัง
“อื้อหือ นี่ของแถมหรือเนี่ยคัพบีซะด้วย อืม...ก็พอได้นะ ถ้าจะให้ดีผมขอเป็นคัพซีได้เปล่า”
“คุณพูดอะไรของคุณคัพบี คัพซี”
หญิงสาวถามเบิกตามองสิ่งที่ถูกแกว่งลอยไปลอยมาตรงหน้า ที่สำคัญมันอยู่ในมือของผู้ชายที่เธอเพิ่งกล่าวหาว่าเขาเป็นโรคจิต ทรรศิกาถึงกรีดร้องอย่างตกใจ
“กรี๊ดดด! ไอ้บ้าคุณมันโรคจิตจริงๆ คุณแอบเอามันไปตั้งแต่ตอนไหน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
หญิงสาวตวาดเสียงดังลั่นมองเสื้อชั้นใน ในมือชายหนุ่มด้วยหน้าที่แดงระเรื่อ เกิดมาไม่มีผู้ชายคนไหนเคยได้เห็นได้จับ แม้แต่บิดาของเธอ เธอก็ยังไม่เคยให้เห็น แต่นี้เพิ่งแค่วันแรกเขาก็เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“อ้าว...ก็นึกว่าคุณให้ผมเป็นที่ระลึกซะอีก เห็นมันกระเด็นมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัว” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงยียวน
“ฉันจะให้คุณไปทำไมกัน เอาคืนมานะ”
ทรรศิกาขอเสียงห้วน ก่อนจะเดินเข้าไปหวังจะคว้าเอาของของเธอกลับคืนมาด้วยความอาย แต่ด้วยความสูงที่ต่างกันมากพอสมควรเมื่อคนตัวเล็กยิ่งแย่ง เขาก็ยิ่งชูมันขึ้นสูงสุดแขน ต่อให้เธอพยายามคว้าเท่าไหร่ก็ไม่มีทางได้คืน
“วันหลังเวลาขอของจากผู้ใหญ่หัดพูดให้เพราะๆ หน่อยสิ...เอ้าเอาไปไม่เห็นน่าพิศวาสตรงไหนไซส์อนุบาลซะขนาดนั้น”
หลังจากแกล้งจนพอใจ มือหนาจึงวางเสื้อชั้นในตัวน้อยพาดลงบนบ่าของหญิงสาว ที่ยืนหน้าตูมหายใจฟืดฟาด เพราะเหนื่อยจากการยื้อแย่ง ที่ไม่สำเร็จ ก่อนจะพาร่างสูงของตัวเองเดินหายเข้าห้องน้ำไปอย่างไม่สนใจคนที่ยืนตัวสั่น เพราะโกรธและอายที่โดนดูถูก
“อะ...ไอ้บ้า! ไซส์อนุบาลบ้านคุณนะสิคัพบี จำไว้เลยนะ...โธ่เอ๊ย! ของตัวเองเหมือนกับหนอนใบชาล่ะสิถึงได้มาว่าคนอื่นทุเรศ”
มือหนาที่กำลังจะดึงผ้าเช็ดตัวออกจากเอว เปลี่ยนมายืนถอนหายใจหนักๆ เอากับเขาสิยัยคุณหนูผู้ไม่รู้จักแพ้ เดี๋ยวได้รู้สึก ชายหนุ่มคิดอย่าหมั่นเขี้ยว
“ดูถูกใช่ไหม หนอนใบชาใช่ไหม...ได้...อย่างนี้มันต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตา”
เสียงตะโกนออกมาพร้อมกับเสียงปลดล็อคกลอนประตูดัง คลิ๊ก! ทำเอาหญิงสาวถึงกับหน้าเหวอ กลัวเขาออกมาโชว์หนอนใบชาจริงๆ เธอจึงรีบก้มลงรวบกองเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้นขึ้นมากอดไว้แน่น ก่อนวิ่งเผ่นแน่บไปชนิดที่ว่าไม่คิดจะเหลียวหลังกลับมามองคนที่ยืนกอดอกพิงขอบประตูหัวเราะอย่างชอบใจ
“กลับมาดูก่อนสิจะรีบไปไหนล่ะ โธ่เอ๊ย ยัยคุณหนูอ่อนหัดนึกว่าจะแน่”
ร่างสูงยืนอมยิ้มอยู่ตรงนั้นจนร่างสมส่วนของหญิงสาวหายขึ้นไปบนบ้าน เขาจึงหันหลังกลับเข้าไปข้างในห้องน้ำอีกครั้ง อย่างอารมณ์ดี
การรับประทานอาหารค่ำกับกับข้าวพื้นๆ ไม่ได้เลิศหรูอะไร ทุกคนนั่งล้อมวงกันกินบนแคร่ไม้ สำหรับทรรศิกาแล้วมันช่างเป็นบรรยากาศในการทานข้าวที่ดูอบอุ่นและเป็นกันเองยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้นี่เองมันจึงทำให้เธอเจริญอาหารและไม่รู้สึกเคอะเขินกับการทานข้าวมื้อแรก ร่วมกับคนอื่นนอกเหนือจากบิดามารดาและเพื่อนสนิท
“เป็นไงบ้างอร่อยไหมหนูศิกับข้าวฝีมือน้ารดาเข้าละ”
นายเอกภพเอ่ยอย่างนำเสนอฝีมือศรีภรรยา
“อร่อยมากๆ เลยค่ะคุณน้า อย่างนี้ศิต้องขอเป็นลูกศิษย์ซะแล้วล่ะค่ะ กลับไปจะได้ไปทำให้คุณพ่อและคุณแม่ทาน ท่านจะได้ภูมิใจว่าไม่เสียแรงที่ส่งศิมาเรียนรู้การใช้ชีวิตที่นี่ไงคะ”
หญิงสาวพูดแล้วยิ้มจนตาหยี ก่อนรอยยิ้มนั้นจะหุบฉับลงทันที เมื่อชายหนุ่มอีกคน ที่นั่งก้มหน้าก้มตาทานอย่างไม่สนใจใครเงยหน้าขึ้นมามองเธอเล็กน้อย แล้วก้มลงไปสนใจจานข้าวอย่างเดิม โดยไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา
“นี่ตาดินไม่คิดจะพูดคุยกับใครเขาเลยหรือไง นั่งกินไม่พูดไม่จา หรือกลัวความผิด...นี่แม่ยังไม่ได้คาดโทษเราเลยนะ”
“โทษอะไรครับแม่ ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
อคิราภ์ตีหน้าซื่อเงยหน้าขึ้นมาถามผู้เป็นแม่ ที่นั่งมองเขาตาเขียวอย่างงงๆ
“ก็เมื่อตอนเย็นไงแกล้งน้องใช่ไหมเรา แม่ได้ยินเสียงหนูศิร้องดังลั่นตั้งสองสามครั้งแน่ะ อย่านึกว่าแม่ไม่รู้ไม่เห็นนะ”
อคิราภ์หันไปสบตากับทรรศิกาที่มองมาพอดี ก่อนเขาจะเลิกคิ้วคล้ายกำลังถามเธอว่าจะเอาไง จะให้เขาตอบหรือเธอจะตอบเอง เห็นสายตาวิบวับจากดวงตาคม ทรรศิกาเลยชิงพูดขึ้นก่อนอย่างรู้ความหมาย ขืนให้เขาตอบมีหวังเธอต้องอายจนแทรกแผ่นดินหนีแน่ๆ
“เอ่อ...คุณน้าค่ะ อย่าไปว่าพี่ดินเลยค่ะ พอดีศิเห็นตุ๊กแกมันอยู่ในห้องน้ำเลยตกใจเผลอร้องออกมา...พี่ดินเขาจะมาอาบน้ำพอดี เลยเข้ามาช่วยไล่ตุ๊กแกให้น่ะค่ะ พี่เขาไม่ได้แกล้งอะไรศิเลยจริงๆ นะคะ”
หญิงสาวเน้นเสียงหนักท้ายประโยค อย่างต้องการย้ำคำพูดของตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก
“จริงหรือตาดิน” นางรดาหรี่ตามองบุตรชายอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“มั้งครับ” ชายหนุ่มยักไหล่ตอบแบบขอไปที
“เอ๊ะ! แล้วทำไมเราไม่อาบที่บ้านหลังเล็กของเราล่ะ” นายเอกภพถามอย่างสงสัย
“สงสัยท่อห้องน้ำผมมันจะตันนะครับพ่อ น้ำนองเต็มพื้นเลยถ้าผมอาบน้ำซ้ำลงไปอีก มีหวังน้ำที่อยู่ด้านในคงล้นทะลักออกมาด้านนอกแน่ๆ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น พรุ่งนี้อย่าลืมจัดการให้เรียบร้อยละ”
“ครับ ผมอิ่มแล้วขอตัวก่อนนะครับมีงานต้องไปทำต่อ”
พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นถือจานข้าวของตัวเองที่เหลือเพียงความว่างเปล่า เข้าไปในห้องครัว ก่อนจะเดินกลับออกไปที่บ้านทรงไทยหลังเล็กของตัวเองที่เป็นเหมือนอาณาจักรที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน
ทรรศิกาเหลือบตามองตามแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่ม ที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปอย่างโล่งอก ความอับอายที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานมันทำให้เธอไม่ค่อยอยากเผชิญหน้ากับเขาสักเท่าไหร่ และยิ่งคิดมาถึงตอนนี้หน้าเธอก็แดงซ่านขึ้น เมื่อภาพเหตุการณ์ช่วงเย็นมันวาบเข้ามาในหัวสมองอีกครั้ง เธอสะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อสลัดภาพอันอุจาดตาและน่าอายนั้นให้หลุดออกไป
“มีอะไรกับพี่เขาหรือเปล่าจ๊ะหนูศิ”
คำถามทำลายความเงียบของนางรดา ทำให้คนถูกถามถึงกับสะดุ้งโหย่งดึงสายตาให้กลับมาที่เดิมแทบจะทันที
“ปะ...เปล่าค่ะ คือศิสนใจบ้านพี่เขามันดูสวยดีค่ะ”
หญิงสาวตอบพลางส่งยิ้มแหยๆ ก่อนจะแสร้งก้มหน้าก้มตาตักข้าวใส่ปาก เพื่อหลบสายตาคล้ายจับผิดของผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“อ๋อ...บ้านหลังนั้นพี่เขาออกแบบเองเชียวนะสวยใช่ไหมล่ะ ถ้าสนใจวันหลังน้าจะให้พี่เขาพาไปดู ว่าแต่สนใจแค่บ้านหรือแล้วเจ้าของบ้านล่ะ หนูศิคิดว่าลูกชายน้าเป็นคนยังไง”
“เอ่อ...ก็ดีค่ะ”
แต่ชอบแกล้ง และปากจัดไปหน่อย หญิงสาวต่อประโยคนี้ในใจ
“หรือจ้ะ แล้วดีพอที่จะเป็นแฟนหนูได้หรือเปล่าล่ะ”
คำถามตรงไปตรงมาขวานผ่าซากของนางรดา ทำเอาคนถูกถามและคนนั่งฟัง อย่างทรรศิกากับนายเอกภพ แทบจะสำลักข้าวออกมาพร้อมกัน
“แค่กๆ...แม่ถามอะไรอย่างนั้น หนูศิเขาเพิ่งมาถึงวันนี้วันแรกเองนะ”
“วันแรกแล้วไง ไม่เคยได้ยินคำว่ารักแรกพบหรือไงคุณนี่”
นางรดาพูดพลางส่งค้อนให้สามีวงใหญ่ ก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวานให้กับหญิงสาวที่ตัวเองหมายมั่นปั้นมือจะจับมาเป็นลูกสะใภ้ อย่างรอคำตอบ
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ คุณน้าทั้งสองอาจจะไม่ทราบว่าศิมีแฟนแล้ว และเราก็จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศด้วยกันด้วยค่ะ”
ทรรศิกาตอบด้วยทำสีหน้าลำบากใจ เธอไม่คิดว่าเพื่อนสนิทของผู้เป็นพ่อจะคาดหวังเรื่องระหว่างเธอกับผู้ชายหน้าตาดีแต่ปากจัดคนนั้น
“หรือจ้ะ...น่าเสียดายจังเลย”
นางรดาแสร้งทำหน้าผิดหวัง ส่วนนายเอกภพที่ยังนั่งตักข้าวใส่ปากเรื่อยๆ เหลือบตามองแล้วส่ายหน้าพลางอมยิ้มขำ กับการแสดงละครขั้นเทพของผู้เป็นภรรยาที่สามารถตีบทแตกกระจุย
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะคุณน้า ศิว่ารออีกหน่อยคงจะมีผู้หญิงดีๆ และคู่ควรกับพี่เขาโผล่มาสักคนสองคนมั้งคะ”
“นี่น้าก็รอมาจนพี่เขาอายุจะเข้าเลขสามอยู่แล้วยังไม่มีวี่แววเลย ไม่รู้จะหล่อเลือกได้ไปนานแค่ไหน...นี่น้าก็เห็นว่ายัยวิตาแม่ของหนูเขาโทรมาว่าหนูจะมาที่นี่ นึกว่าจะได้เกี่ยวดองซะแล้ว แต่แหม...พลาดไปนิดเดียวหนูน่าจะมาให้เร็วกว่านี้หน่อย” นางรดาตบเข่าบอกอย่างเจ็บใจ
“เอาน่าแม่ตัดใจซะเถอะ ก็หนูศิเขาบอกว่ามีแฟนแล้ว อย่าไปพูดกดดันและพยายามยัดเยียดเจ้าลูกชายปากจัดให้หนูสิอย่างนั้นสิ ปากอย่างนั้นคงมีคนอยากได้มันหรอก”
นายเอกภพพูดแทรกขึ้น เมื่อเห็นว่ายิ่งภรรยาของตนพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่ ยิ่งจะทำให้หญิงสาววางตัวกับคนในบ้านลำบาก
“น้าขอโทษนะที่ทำให้หนูรู้สึกอย่างนั้น น้าไม่ได้ตั้งใจ เอาเป็นว่าหนูศิลืมๆ เรื่องที่น้าพูดมาเมื่อกี้ให้หมดเลยนะ แล้วเรามาคุยกันเรื่องอื่นดีกว่า”
“ค่ะ” ทรรศิกาตอบด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น เธอไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรเลยเพียงแต่ตกใจและตั้งรับไม่ทันกับคำพูดคำถามที่ตรงซะยิ่งกว่าไม้บรรทัดของน้ารดา ที่ดูท่าว่าอยากจะจับคู่เธอกับลูกชายของตัวเองซะเหลือเกิน
“งั้นน้าถามเลยดีกว่าว่ามาอยู่ที่นี่หนูศิอยากทำอะไร”
“ศิอยากหัดทำทุกอย่างเลยค่ะ ที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าศิไปอยู่คนเดียวแล้วสามารถเอาตัวรอดได้ โดยเฉพาะเรื่องงานบ้านอันนี้สำคัญที่สุด” หญิงสาวบอกความตั้งใจเสียงหนักแน่น
“ตกลง งั้นเริ่มจากจานพวกนี้เลยก็แล้วกันนะ”
“ค่ะ”