เจ้าหัวใจแดนเถื่อน

124.0K · จบแล้ว
ไหมขวัญ
40
บท
7.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เพราะเงื่อนไขของบุพการี ‘ทรรศิกา’ จำต้องไปใช้ชีวิตที่บ้านนอกคอกนา เป็นเวลาหนึ่งเดือน และที่นั่นเองเธอก็ได้พบกับ ‘เขา’ หนุ่มหล่อคมเข้ม ที่มีทั้งความเถื่อนและอ่อนโยนจนเริ่มทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหวเพราะคิดว่าเป็นคุณหนูจากเมืองกรุงประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำให้ ‘อคิราภ์’ รู้สึกไม่ชอบ ‘ทรรศิกา’ ตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าแต่ตัวจริงที่สวยราวกับนางฟ้าเดินดิน ทำเอาหัวใจเขาถึงกับหวั่นไหว นานวันยิ่งใกล้ชิดเขาก็ไม่อยากให้เธอจากไป อยากให้มาเป็น เจ้าหัวใจในแดนเถื่อน แห่งนี้ แต่ทว่าเขาจะทำอย่างไร เมื่อสาวเจ้ากลับมีเจ้าของจับจองหัวใจอยู่แล้ว“วันหลังเวลาขอของจากผู้ใหญ่หัดพูดให้มันเพราะๆ หน่อยสิ...เอ้า เอาไปไม่เห็นน่าพิศวาสตรงไหนไซส์อนุบาลซะขนาดนั้น”หลังจากแกล้งจนพอใจ มือหนาจึงวางเสื้อชั้นในตัวน้อยพาดลงบนบ่าของหญิงสาว ที่ยืนหน้าตูมหายใจฟืดฟาด ก่อนจะพาร่างสูงของตัวเองเดินหายเข้าห้องน้ำไปอย่างไม่สนใจคนที่ยืนตัวสั่น เพราะโกรธและอายที่โดนดูถูก“อะ...ไอ้บ้า! ไซส์อนุบาลบ้านคุณนะสิคัพบี จำไว้เลยนะ...โธ่เอ๊ย! ตัวเองเหมือนกับหนอนใบชาล่ะสิถึงได้มาว่าคนอื่นทุเรศ”มือหนาที่กำลังจะดึงผ้าเช็ดตัวออกจากเอว เปลี่ยนมายืนถอนหายใจหนักๆ เอากับเขาสิยัยคุณหนูผู้ไม่รู้จักแพ้ เดี๋ยวได้รู้สึก ชายหนุ่มคิดอย่าหมั่นเขี้ยว“ดูถูกใช่ไหม หนอนใบชาใช่ไหม...ได้...อย่างนี้มันต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตา”

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันรักหวานๆโรแมนติก

ตอนที่ 1 (1)

1

คฤหาสน์หลังใหญ่ราคาร่วมสิบล้านตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเนื้อที่หลายสิบไร่ ภายนอกถูกล้อมด้วยรั้วอัลลอยราคาแพง ส่วนภายในบริเวณสวนหน้าบ้านและรอบๆ ถูกปกคลุมด้วยผืนหญ้าเขียวขจีที่ตัดตกแต่งไว้อย่างดี ต้นไม้ดอกไม้สวยงามนานาพันธุ์ ที่ปลูกไว้แข่งกันเบ่งบานรับแสงรุ่งอรุณของยามเช้า สร้างความร่มรื่นและบรรยากาศที่สดชื่นให้กับผู้อาศัยได้ไม่น้อย

ถึงภายนอกคฤหาสน์หลังงามนี้จะมีบรรยากาศดีสักเพียงไหน แต่ภายในกลับมีบรรยากาศที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เมื่อนายทัดเทพคนเป็นพ่อยังทำการตกลงกับลูกสาวสุดที่รักอย่างทรรศิกาไม่ได้

“คุณพ่อคะ ทำไมคุณพ่อต้องห้ามศิด้วย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ศิโตแล้วนะคะไม่ใช่เด็กๆ” ทรรศิกาบอกเสียงเง้างอดพลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างไม่พอใจ

บิดามักจะเคารพในการตัดสินใจของเธอเสมอ ไม่ถึงกับตามใจแต่จะดูที่เหตุและผลมากกว่าว่าสมควรหรือไม่ ทุกครั้งก็เหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่คราวนี้กลับไม่เหมือนที่ผ่านมา

เมื่อเธอจะขอไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ บิดากลับไม่เห็นด้วยและค้านหัวชนฝา ทั้งที่คิดว่าเหตุผลที่เธอมีให้นั้นมีน้ำหนักมากพอที่จะได้รับการอนุญาต

“ทำไมเรียนที่เมืองไทยกับเมืองนอกมันต่างกันตรงไหน หรือเป็นเพราะไอ้...ไอ้หมอนั่น มันมาเกลี้ยกล่อมศิให้ไปกับมันใช่ไหม” นายทัดเทพเอ่ยถึงเพื่อนชายคนปัจจุบันของลูกสาวอย่างไม่ชอบใจ

“คุณพ่อ! ศิบอกกี่ครั้งแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่ธร ศิอยากไปเอง อยากไปหาประสบการณ์และฝึกภาษาให้เก่งกว่านี้ มันไม่เกี่ยวกับพี่ธรอย่างที่พ่อว่าสักหน่อย” หญิงสาวทำหน้าเบื่อหน่าย เมื่อต้องมาอธิบายเรื่องเดิมซ้ำๆ ซากๆ

“ศิ...ฟังนะลูก ลูกยังไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ดีพอ การไปเรียนต่อครั้งนี้อาจมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่ก็เป็นได้ พ่อไม่เชื่อหรอกว่าเสือผู้หญิงอย่างนายธรจะยอมถอดเขี้ยวเล็บเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว”

นายทัดเทพพยายามสกัดกั้นอารมณ์ที่กำลังเดือดดาลให้เย็นลง พร้อมกับยกเหตุผลต่างๆ นานา มาอ้าง เผื่อจะทำให้ลูกสาวตาสว่างขึ้นมาบ้าง แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อทรรศิกาพูดแก้ต่างให้แฟนหนุ่มทุกข้อกล่าวหา

“พ่อคะ พี่ธรเขาทั้งหล่อและรวย มันก็มีบ้างที่ผู้หญิงวิ่งเข้ามาหา แต่เชื่อเถอะค่ะว่าพี่ธรเขาไม่ได้สนใจ เพราะศิคบกับพี่เขามานาน รู้จักนิสัยพี่เขาดี”

“เฮ้อ...ยัยศิเอ๊ย ลูกจะรู้ไหมว่าเสือมันกำลังล่อลูกกวางน้อยเข้าถ้ำ ทุกอย่างที่แสดงออกมาล้วนเป็นการสร้างภาพทั้งนั้น ถ้าไปอยู่ที่โน่นไม่มีใครคอยดูแล เสือร้ายตัวนั้นก็จะเผยธาตุแท้ออกมา” คำคาดการณ์ของบิดาทำให้ทรรศิกาถึงกับนิ่งเงียบ

เธอเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นเป็นอย่างดี และที่พ่อของเธอพูดมาก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง เพราะเมื่อหลายวันก่อนเธอได้พูดคุยเรื่องที่พักกับแฟนหนุ่ม ว่าเธอต้องการแยกกันอยู่คนละที่ แต่เดชาธรกลับไม่คิดอย่างนั้นเขาต้องการพักที่เดียวกัน และซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือต้องเป็นห้องพักเดียวกันด้วย ซึ่งเธอก็ได้ตอบปฏิเสธไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ชายหนุ่มดูจะไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ แต่เธอก็เชื่อว่าเดชาธรคงมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอ ที่จะไม่ทำอะไรเกินเลยหากเธอไม่เต็มใจ

“พ่อคะ ศิโตแล้วดูแลตัวเองได้ ศิสัญญานะคะว่าจะไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ อันเป็นที่รักของลูกคนนี้เสียใจ และจะไม่ทำให้วงศ์ตระกูลของเราต้องเสื่อมเสีย” หญิงสาวย้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะหันไปหากองหนุน ที่เชื่อว่าถ้าคนคนนี้ได้เอ่ยปากขึ้น ไม่มีใครในบ้านกล้าขัด แม้แต่คนที่เป็นประมุขของบ้านอย่างพ่อของเธอ

“คุณแม่ขา...ช่วยพูดกับคุณพ่อให้ศิหน่อยสิคะ นะๆ ศิอยากไปจริงๆ ด้วยเกียรติหัวหน้าเนตรนารีคนนี้ ขอสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี อยู่ในกฎในระเบียบไม่นอกลู่นอกทางโดยเด็ดขาด และจะหอบใบปริญญามาฝากคุณพ่อกับคุณแม่ให้ได้ภายในสองปี” ได้ฟังคำออดอ้อนของลูกสาว นางศวิตาจึงวางหนังสือในมือลง ก่อนจะหันมายิ้ม ยกมือขึ้นลูบศีรษะมนได้รูปที่ปกคลุมไปด้วยผมดำยาวสลวยของลูกสาวอย่างเอ็นดู นางนั่งฟังสองพ่อลูกเถียงกันไปมานานนับชั่วโมง ต่างคนก็ต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเองหักล้างกันไม่ลง นางซึ่งเป็นคนกลางจึงลำบากใจอยู่ไม่น้อย คนหนึ่งก็สามี ส่วนอีกคนก็ลูกสาว

“ว่ายังไงพ่อ ยัยศิเขาให้คำมั่นสัญญาหนักแน่นเสียขนาดนี้ พ่อจะเอาไง ถ้าเป็นห่วงมาก ก็หาใครสักคนตามไปคุมซะสิ” นางศวิตาแนะนำพร้อมกับส่งสายตามีความนัยให้กับสามี ตอนแรกนายทัดเทพก็ทำหน้างงๆ แต่พอภรรยาทำหน้าหงุดหงิดแล้วทำปากขมุบขมิบเป็นใครชื่อคนบางคนช้าๆ นั่นทำให้นายทัดเทพเบิกตากว้างแล้วฉีกยิ้มพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก

“ก็ได้ แต่...” ร่างสมส่วนที่กำลังจะโผเข้ากอดบิดาด้วยความดีใจ ต้องหยุดชะงักทันที เมื่อได้ยินคำว่า แต่ ต่อจากคำว่า ก็ได้ นายทัดเทพมองลูกสาว ที่นั่งงอนแก้มป่องนิดหนึ่ง แล้วพูดต่อ “ก่อนที่จะไปใช้ชีวิตที่เมืองนอก พ่ออยากให้ศิลองไปใช้ชีวิตที่บ้านนอกสักเดือนก่อนเป็นไง ถ้าศิสามารถพิสูจน์ให้พ่อเห็นได้ว่าสามารถใช้ชีวิตลำบากได้ พ่อก็จะอนุญาตให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษได้ ศิจะไปกับใครพ่อก็จะไม่ห้ามอีกต่อไป”

“บ้านนนอก!” ทรรศิกาลุกพรวดอุทานออกมาอย่างตกใจ หันไปมองบิดาทีมารดาที เหมือนจะย้ำถามว่าเธอฟังไม่ผิดใช่ไหม เมื่อท่านทั้งสองพยักหน้า เธอถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง

บ้านนอกในความคิดของเธอมันคือที่ที่ห่างไกลคำว่าสะดวกสบายเสียเหลือเกิน ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่เธอต้องไปคนเดียว โดดเดี่ยวเดียวดายจะพบเจออะไรบ้างก็ไม่รู้ แล้วเธอจะอดทนอยู่จนครบเดือนไหมนี่

“ว่าไงยัยศิ บอกไว้ก่อนนะว่าห้ามมีข้อต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น”

“คุณแม่...” หญิงสาวคราง มองมารดาตาละห้อย

“ว่าไงลูก กล้าพิสูจน์ความตั้งใจให้พ่อเขาเห็นหรือเปล่า” แทนที่นางศวิตาจะพูดปลอบหรือให้กำลังใจลูกสาวเหมือนทุกครั้ง กลับกลายเป็นว่านางพูดเหมือนท้าทาย นั่นทำให้ไฟในใจของทรรศิกาที่กำลังจะมอดดับโหมลุกขึ้นมาอีกครั้ง

“กล้าค่ะ! ศิจะพิสูจน์ให้คุณพ่อคุณแม่เห็นว่าลูกสาวคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหน” ท่าทางฮึกเหิมของหญิงสาวทำให้สองสามีภรรยาหันมาสบตากัน แล้วอมยิ้ม คนไม่ชอบให้ใครมาท้าอย่างทรรศิกาต้องใช้ไม้นี้ถึงจะสำเร็จ

“ให้มันได้อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าลูกสาวพ่อ ถูกใจจริงๆ มาขอพ่อกอดที” ใบหน้าสวยยิ้มแฉ่ง ก่อนจะโถมเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้เป็นพ่อ นายทัดเทพจูบลงกลางกระหม่อมของหญิงสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู พลางโยกตัวไปมาราวกับว่ากำลังเด็กน้อย ก่อนจะส่งสายตาแย้มยิ้มไปให้ภรรยาที่นั่งถัดออกไป

“แล้วศิต้องเดินทางวันไหนล่ะคะ” ทรรศิกาถามเสียงอู้อี้กับอกกว้างของบิดา

“อีกสองวัน” ร่างสมส่วนผละออกจากวงแขนของบิดาแทบจะทันที

“ห๊า! ทำไมมันรวดเร็วอย่างนี้ล่ะคะ ศิยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรเลย”

“เอ้า จะได้รีบไปรีบกลับไงละ” ริมฝีปากบางยื่นออกมาอย่างขัดใจ ก่อนจะชม้ายชายตาไปมองมารดา นางศวิตาจึงพยักหน้าเห็นด้วยกับสามี ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือเป็นเอกฉันท์ว่าเธอต้องเดินทางในอีกสองวันข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“แล้วจะให้ศิไปอยู่กับใครล่ะคะ”

“เอกกับรดาเพื่อนสนิทของพ่อกับแม่เองแหละ”

“หรือคะ แล้วเพื่อนของคุณพ่อคุณแม่คนนี้ศิเคยเห็นหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามอย่างสนใจใคร่รู้

“เคยสิ แต่หนูคงจะจำไม่ได้หรอก เพราะตอนนั้นเราน่ะยังเด็กมาก และล่าสุดที่ทั้งคู่มาที่นี่ คงจะเป็นเมื่อหลายปีก่อน ช่วงที่ตาดินลูกชายของทั้งสองรับปริญญาโท แต่วันนั้นศิไปเรียนเลยไม่ได้เจอกัน”

“อืม...ถ้าเป็นเพื่อนกับคุณพ่อคุณแม่ ศิก็สบายใจขึ้นมาหน่อยหนึ่ง หวังว่าท่านทั้งสองคงจะใจดีเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของศินะคะ” หญิงสาวยิ้มจนตาหยีหันไปกอดประจบมารดาทีบิดาที ก่อนจะเอ่ยย้ำสัญญาที่ท่านได้ให้ไว้กับเธออีกครั้ง

“แต่คุณพ่ออย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับศินะคะ”

“ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น”

“เว้นแต่หนูจะเป็นคนเปลี่ยนใจซะเอง” นางศวิตาพูดสำทับขึ้น ทำให้ทรรศิกาหันไปหรี่ตามองผู้เป็นแม่อย่างสงสัย

“อะไรทำให้คุณแม่คิดอย่างนั้นล่ะคะ”

“สัจธรรมของชีวิตไงจ๊ะ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน”

“สาธุ...” สองพ่อลูกพนมมือขึ้นเหนือหัว แล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน นั่นทำให้นางศวิตาหันมาส่งค้อนให้สองพ่อวงใหญ่ ตีแขนคนละเพี้ยะสองเพี้ยะข้อหาล้อเลียนคนใหญ่ที่สุดในบ้าน

“เดี๋ยวเถอะ เมื่อกี้ยังเถียงกันคอเป็นเอ็น ทีอย่างนี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ”

“ก็คนใหญ่ที่สุดในบ้านลงมติแล้ว เราสองคนก็ต้องสมานฉันท์กันนะสิคะ ใครจะกล้าขัด”

“ดีมากจ้ะ แล้วตกลงวันนี้ไม่มีใครไปไหนใช่ไหมเนี่ย” นางศวิตาถามขึ้น

“พ่อขออยู่บ้านหนึ่งวันจ้ะ”

“ตอนแรกว่าจะไม่ไปไหน แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว ศิขอออกไปหาเพื่อนๆ นะคะ” หญิงสาวพูดเสียงอ้อนเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่อย่างประจบ

“ไปเถอะจ้ะ แต่อย่ากลับดึกนักละ”

“ค่ะ งั้นศิขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกันนะคะ” พูดจบร่างสมส่วนก็วิ่งขึ้นบนห้อง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและโทรนัดเพื่อนสนิทอย่างรุจิกาและพิมพ์ดาว รวมไปถึงคนรักอย่างเดชาธรให้ออกไปเจอกันที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ

นายทัดเทพกับนางศวิตามองตามหลังของลูกสาวไปจนลับสายตา ก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ

“หวังว่าสิ่งที่พวกเราลงทุนทำไปมันจะได้ผลนะแม่”

“เรื่องนั้นเรายังฟันธงไม่ได้หรอก เรามีหน้าที่ทำให้คนสองคนมาพบกัน แต่เมื่อพบกันแล้วมันจะเป็นไปตามที่เรามุ่งหวังหรือเปล่านั้นมันก็สุดแท้แต่เวรแต่กรรมก็แล้วกันนะคะ” คำเอ่ยเหมือนกับไม่อยากหวังอะไรมากของภรรยา ทำให้นายทัดเทพยื่นมือไปบีบมือบางของภรรยาเอาไว้คล้ายให้กำลังใจ ส่วนตัวเขาเองนั้นอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่หวัง ทรรศิกาจะได้หลุดพ้นจากคนเลวๆ นี้เสียที

ทรรศิกาออกจากบ้านมานั่งรอเพื่อน ตามที่ได้นัดกันเอาไว้ เวลาผ่านไปไม่นานคนตรงต่อเวลาที่สุดในกลุ่มอย่างรุจิราก็โผล่มาเป็นคนแรกตามคาด

“ยัยแพมทางนี้ ทางนี้” รุจิกาหันไปตามเสียงเรียกแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะทันที

“เฮ้อ...ร้อนๆ ขอน้ำดื่มหน่อยได้เปล่า” คนขอไม่ได้คิดจะรอคนถูกขออนุญาต ยื่นมือไปยกแก้วน้ำหวานของทรรศิกาขึ้นดื่มอย่างกระหาย

“ชื่นใจ…เธอสั่งมาไว้อีกแก้วเลยนะ ฉันว่าพอยัยดาวมาถึงมันต้องร้องหาน้ำเหมือนกับฉันแน่ๆ” ทรรศิกาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเรียกพนักงานมาสั่งน้ำหวานและขนมมารอ เพราะคนที่จะมาคนต่อไปคงไม่ร้องหาแค่น้ำแน่

“ว่าแต่แกมีเรื่องอะไรถึงนัดพวกฉันมากะทันหันอย่างนี้” รุจิราถามพลางขยับตัวนั่งให้เข้าที่

“เอาไว้มาครบกันทุกคนก่อนฉันจะบอกทีเดียว ขี้เกียจเล่าหลายรอบ เมื่อย”

“แล้วเธอได้นัดอีตาพี่ธรมาด้วยหรือเปล่า”

“ก็แหงละ เพราะเรื่องนี้มันปัจจุบันทันด่วนจริงๆ แม้แต่ฉันยังเพิ่งรู้ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเอง ว่าแต่ถามถึงนี่อยากเจอหรือว่าไม่อยากเจอล่ะ” ทรรศิกาถามพลางอมยิ้ม เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนกินยาขมของรุจิรา

เธอเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเพื่อนของเธอคนนี้ไปจงเกลียดจงชังเดชาธรอะไรนักหนา เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องหน้าบึ้งใส่ราวกับโกรธกันมาเป็นชาติทุกที

“ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากจะเจอนักหรอก แต่ก็เอาเถอะไหนๆ ก็นัดมาแล้ว คิดซะว่าจะได้เจอหน้าเพื่อนเก่า หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน...แต่คนที่ดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้เห็นหน้านายนั่น คงจะหนีไม่พ้นยัยพิมพ์ดาวหรอก”

“นินทาอะไรฉันยะยัยรุจิรา”