บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 1 (2)

“ว๊าย! ตาเถรหกตกเก้าอี้ตาย” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหู ทำให้รุจิราถึงกับอุทานออกมาอย่างตกใจ ส่วนคนที่ได้แกล้งอย่างพิมพ์ดาวและทรรศิกาถึงกับหัวเราะชอบใจ กับท่าพิลึกพิลั่นของรุจิรา

“ฮ่าๆๆ คนที่จะตกเก้าอี้ตาย โทษฐานที่นินทาคนอื่นก็คือเธอนั่นแหละยัยแพม เอ๊ย” พิมพ์ดาวสาปแช่งเสียงกลั้วหัวเราะอย่างถูกใจ ก่อนจะพาร่างอวบๆ ของตัวเองนั่งลงข้างๆ ทรรศิกา และไม่ต้องรอให้ใครอนุญาตหรือขออนุญาตใคร พิมพ์ดาวก็จัดการดื่มน้ำหวานแล้วหยิบขนมที่เพิ่งมาวางตรงหน้ามาทานอย่างเอร็ดอร่อย

“ไม่มีมารยาทเลยแกนี่ มาถึงก็กินเอากินเอา เคยอ่านไหมหนังสือมารยาทผู้ดีน่ะ ถ้าไม่เคยฉันจะซื้อให้อ่าน”

“ถ้าจะซื้อจริงๆ ขอสักลังนะ เพราะฉันซื้อต้มกินไปสามเล่มแล้ว ยังไม่รู้สึกว่ามารยาทของฉันมันจะดีขึ้นสักกะติ๊ด”

“ยัยบ้า เขาให้อ่านไม่ได้เอาไว้ต้มกิน” รุจิราบอกกลั้วหัวเราะ

“กินไปเถอะ ศิสั่งมาเพื่อดาวอยู่แล้ว”

“กินป๊ะ ยัยแพมไม่ต้องนั่งเก๊กกลืนน้ำลายหรอก เอาฉันยกให้” ว่าแล้วพิมพ์ดาวก็ยื่นขนมที่กัดไปแล้วคำหนึ่งให้รุจิรา

“ยัยบ้า ไม่เอา” รุจิกาผลักมือของพิมพ์ดาวหนี แล้วแกล้งแย่งจานขนมมาครอบครองซะเลย พิมพ์ดาวย่นจมูกใส่ไม่สนใจเพราะในมือยังมี ก่อนจะหันไปถามทรรศิกา “ว่าแต่นัดออกมานี่มีธุระอะไร”

“รอพ่อเทพบุตรสุดหล่อของเธอก่อนจ้ะยัยดาว แล้วยัยศิจะบอกรอบเดียวเลย” รุจิราตอบแทน

“โอ้ว...ว้าว! จริงหรือกำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย ไม่ได้เจอหน้าตั้งนาน หล่อขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่านะ” พิมพ์ดาวทำตาเหม่อลอยอย่างเพ้อฝันเมื่อเอ่ยถึงรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยอย่างเดชาธรที่แม้จะต่างคนต่างเรียนจบไปแล้ว แต่ยังคบกับเพื่อนของเธอ สร้างความขบขันให้กับรุจิราและทรรศิกาเป็นอย่างมาก

“หล่อเหมือนเดิมหรือเปล่าก็ดูเอาเอง เดินมาโน้นแล้ว” รุจิราพยักพเยิดไปที่ร่างสูงของเดชาธร ที่กำลังเดินตรงมาที่โต๊ะ

“ขอโทษทุกคนด้วยนะครับที่มาช้า พอดีติดธุระนิดหน่อย” ชายหนุ่มเอ่ยคำขอโทษมาแต่ไกล ก่อนจะเดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างข้างๆ รุจิรา

“ไม่เป็นไรคะ ทุกคนก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน...เอาละก็มาครบองค์ประชุมกันแล้ว เดี๋ยวสั่งอะไรทานกันก่อน...ใครอยากกินอะไรก็สั่งได้เต็มที่วันนี้ฉันเลี้ยง” สิ้นเสียงทรรศิกา สองสาวก็แย่งกันสั่งเครื่องดื่มและขนมชนิดไม่บันยะบันยัง มีหันมาถามเดชาธรกับทรรศิกาเป็นครั้งคราว

“แค่นี้แหละค่ะ” พิมพ์ดาวยื่นเมนูคืนให้พนักงาน แล้วหันมาถามเจ้ามือใจป้ำอย่างทรรศิกาต่อ “เอาต่อไปก็เรื่องของเธอยัยศิพูดมาซิ นัดพวกฉันมานี่มีเรื่องด่วนอะไรมิทราบ”

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อีกสองวันฉันจะต้องเดินทางไปทำงานแทนคุณพ่อที่ต่างจังหวัดแถวภาคอีสานเดือนหนึ่งน่ะ มันกะทันหันฉันก็เลยนัดทุกคนมาบอกให้รู้และจะได้เจอกันด้วย เพราะหลังจากวันนี้ฉันก็คงจะยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวเดินทาง” ทรรศิกาเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุผลที่แท้จริงในการเดินทางครั้งนี้ เพราะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คนนอกครอบครัวจะต้องรู้

“น่าอิจฉาจังเลย นี่ถ้าฉันไม่ได้ทำงานเหมือนยัยแพมนะ จะขอติดสอยห้อยตามไปด้วยคน” พิมพ์ดาวผู้หลงใหลกับบรรยากาศลูกทุ่ง บ่นออกมาอย่างเสียดาย

“นี่เธอกำลังจะบอกว่าฉันควรไปอยู่บ้านนอกกับยัยศิงั้นหรือ ไม่เอาหรอกฉันมันพวกชอบแสงสี ไม่ได้หลงกลิ่นโคลนสาบควายเหมือนแกนี่” รุจิราพูดพลางเบ้ปากใส่เพื่อนสนิทอย่างพิมพ์ดาว ซึ่งมีความชอบที่ตรงข้ามกันเกือบทุกอย่าง และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ตั้งแต่คบเป็นเพื่อนกันมา ทั้งสองไม่เคยผิดใจกันเลยสักครั้ง เพราะต่างคนต่างชอบเลยไม่เคยแย่งกัน ไม่ว่าจะเป็นความชอบของสไตล์เสื้อผ้า เครื่องประดับ และที่สำคัญคือผู้ชาย

“ทำไมมันกะทันหันอย่างนี้ล่ะครับ ถ้าไปช้ากว่านี้สักหน่อยพี่จะได้เคลียร์งานไปส่งศิถึงที่เลย” นั่งฟังอยู่นานเดชาธรก็พูดเอาใจแฟนสาวขึ้นมาบ้าง ทั้งที่ภายในใจมันลิงโลดตั้งแต่ได้ยินว่าเธอจะไปอยู่ต่างจังหวัดเดือนหนึ่งแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ศิไปเองได้”

“นี่ยัยศิถ้าไปเจอหนุ่มหล่อๆ ที่โน้นเอามาฝากฉันสักคนนะเธอ หรือถ้าแกเปลี่ยนใจจะไปชอบคนทางโน้น ก็ยกคนทางนี้ให้ฉันก็ได้นะ รับได้ทุกอย่าง” พิมพ์ดาวจีบปากจีบคอพูดพร้อมกับชม้ายชายตามองเดชาธรหวานหยาดเยิ้ม อย่างไม่คิดจะปิดบังจนรุจิราอดหมั่นไส้ไม่ได้

“ขอหน้าด้านๆ เลยนะหล่อน ถามผู้ชายเขาบ้างหรือเปล่า ว่าเขาอยากไปได้แกไหม”

“ทำไมจะไม่อยากได้ ขาวหมวยสวยอึ๋มขนาดนี้ ใช่ไหมคะพี่ธรขา…” พิมพ์ดาวพยายามอ่อยชายหนุ่มเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือสายตา แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ทรรศิกาหึงหวง เพราะนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พิมพ์ดาวทำอย่างนี้ แต่เพื่อนสนิทของเธอคนนี้ทำมาตั้งแต่สมัยเรียน ตั้งแต่เธอเริ่มคบกับเดชาธรใหม่ๆ และบ่อยครั้งถ้าคนไม่รู้จักกันจริงๆ จะเข้าใจผิดว่าพิมพ์ดาวเป็นแฟนกับเดชาธรเสียด้วยซ้ำ

“อ้าวๆ หยุดเถียงกันได้แล้วจ้าสองสาว ขนมที่พวกคุณๆ สั่งมาแล้วนะคะ...วันนี้เจ้ามือคนสวยอย่างคุณหนูทรรศิกาใจดีเป็นพิเศษ หลังจากทานข้าวเสร็จจะเลี้ยงหนังต่ออีกหนึ่งรอบ โอเค๊”

“โอเค!” สองสาวขานรับหน้าบาน ก่อนจะลงมือตักขนมใส่ปากทานอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งต่างกับเดชาธรที่ชักสีหน้าส่งสายตาให้แฟนสาวรู้ว่าเขาอยากอยู่กับเธอตามลำพัง แต่ดูเหมือนทรรศิกาจะแกล้งไม่ใส่ใจยังคงนั่งพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับเพื่อนทั้งสองอย่างสนุก

หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จอคิราภ์ก็ถูกบิดาเรียกให้ไปพบที่สวน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านมากนัก และที่นั่นมีกระท่อมหลังเล็กสร้างเอาไว้หลบแดดหลบฝนเอาไว้หลบแดดหลบฝน บิดาของเขามักจะหลบมานอนกลางวันที่นั่นประจำ เพราะอากาศจะปลอดโปร่งมีลมพัดเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งดีกว่าในหมู่บ้าน

“พ่อมีธุระอะไรจะคุยกับผมหรือครับ” เมื่อไปถึงอคิราภ์ก็ถามบิดาที่นอนตีพุงสบายใจเฉิบ อยู่ภายในกระท่อมทันที

“นั่งก่อนสิ ใจคอแกจะยืนคุยกับพ่ออยู่อย่างนั้นหรือไง” นายเอกภพลุกขึ้นนั่งกวักมือเรียกเจ้าของร่างสูงที่ยืนเอามือจับคานกระท่อม

“พ่อก็รีบพูดมาสิครับ ผมจะได้ไปทำงานต่อ”

“อุบ๊ะ! ไอ้ลูกคนนี้นี่มันจะขยันอะไรนักหนาวะ งานก็งานของเราเองไม่ต้องรีบมากก็ได้ มาๆ มานั่งคุยกับพ่อก่อน” อคิราภ์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะยอมเดินเข้าไปนั่งในกระท่อม

“ว่ามาสิครับ”

“จำน้าเทพเพื่อนของพ่อได้ไหมลูก”

“น้าเทพ...” ชายหนุ่มทวนชื่อเพื่อนของบิดาพลางขมวดคิ้วมุ่น พยามยามทบทวนความจำ

“ใช่คนที่ไปงานรับปริญญาผมหรือเปล่าครับ”

“นั่นแหละ ทั้งสองมีลูกสาวคนหนึ่งและอยากให้มาอยู่ที่นี่สักเดือน เผื่อน้องเขาจะนึกชอบหรือหลงเสน่ห์คนแถวนี้ เอ้ย! บรรยากาศบ้านนอกแบบนี้บ้าง” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน อย่างใช้ความคิด ไม่ได้เอะใจหรือติดใจกับคำพูดของบิดาเลยสักนิด

“จะไหวหรือครับพ่อ คุณหนูเมืองกรุงจะมาใช้ชีวิตระกำลำบากที่บ้านนอก”

“เอาน่า ไหวไม่ไหวก็ให้น้องเขาลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ เขาก็คงหนีกลับไปเองนะแหละน่า” นายเอกภพพูดพลางตบไหล่กว้างของลูกชายเบาๆ

“ตามใจพ่อแล้วกัน พ่อว่าไงผมก็ว่าตามนั้นละ ว่าแต่พ่อเรียกผมมาเพื่อพูดเรื่องแค่นี้หรือครับ เสียเวลาทำมาหากินจริงๆ เลย”

“นี่พ่อควรดีใจหรือเสียใจดีนี่ ที่มีลูกชายขยันอย่างแก” นายเอกภพหัวเราะร่วนพร้อมกับส่ายหัว

“ไม่ดีหรือไงครับ หรือพ่อชอบแบบกินเหล้าเมายาแล้วสีหญิงไปวันๆ” อคิราภ์ถามยิ้มๆ

“อันนั้นยิ่งไม่ชอบใหญ่เลย...และที่พ่อเรียกมาคุยเพราะว่ามะรืนนี้พ่อจะวานให้ดินไปรับหนูศิลูกสาวน้าเทพหน่อยนะ”

“เฮ้อ...ที่ไหนครับ อย่าบอกนะว่าที่สนามบินไกลตายชัก” อคิราภ์บ่นงึมงำไปตามเรื่อง

“ไม่ใช่หรอก ที่สถานีรถไฟนี่แหละ เดี๋ยวน้าเทพเขาจะโทรมาบอกอีกทีว่าน้องเขาจะมารถเที่ยวไหน จะมาถึงที่นี่กี่โมง”

“ถ้าเป็นที่สถานีรถไฟให้ใครไปรับก็ได้นี่ครับ ให้ไอ้วีก็ได้ ผมไม่ค่อยชอบยุ่งกับผู้หญิงเท่าไหร่และยิ่งพวกคุณหนูด้วยล่ะก็ผมขอบาย”

“ไม่ได้พ่อไม่ไว้ใจคนอื่น ต้องเป็นแกเท่านั้น แค่ให้ไปรับแค่นี้มันจะลงแดงตายหรือไง ถือว่าพ่อขอร้องแกแล้วกันนะช่วยพ่อหน่อย”

“เฮ่อ...ก็ได้ๆ ครับ แต่ผมไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเลย แล้วผมจะทราบได้อย่างไรว่าลูกสาวน้าเทพคนไหน”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเย็นนี้น้าเทพจะส่งรูปหนูศิมาให้ทางอีเมล์น่ะ” นายเอกภพตอบลูกชายอย่างสบายใจ ถึงแม้จะอยู่ต่างจังหวัดแต่หมู่บ้านแห่งนี้มีเทคโนโลยีเข้าถึงเกือบจะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต คลื่นมือถือที่ชัดแจ๋วทุกระบบ เพราะทางบริษัทเจ้าของสัญญาณได้มาขอเช่าพื้นที่ของชาวบ้านติดตั้งเสารับสัญญาณ การดำรงชีวิตของคนที่นี่จึงไม่ได้ลำบากหรือกันดารเหมือนสมัยก่อน

แต่ที่ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนก็คือการทำไร่ทำนาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนและคงจะสืบเนื่องต่อๆ กันไปเรื่อยๆ แต่วิธีการทำนั้นอาจจะแตกต่างไปตามยุคตามสมัย ที่สมัยนี้ส่วนใหญ่นำเอาเครื่องทุ่นแรงอย่างรถไถนา มาแทนแรงวัวแรงควายที่นับวันจะน้อยลง เพราะปัจจุบันนี้คนจะเลี้ยงไว้เพื่อการค้าอย่างเดียว ไม่ได้เลี้ยงเพื่อทำไร่ไถนาเหมือนแต่ก่อน

“งั้นพรุ่งนี้พ่อเอารูปน้องศิอะไรนั่นมาให้ผมดูด้วยแล้วกันนะครับ ว่าแต่ธุระที่จะคุยกับผมมีเท่านี้ใช่ไหมครับ ผมจะได้ไปทำงานต่อให้เสร็จ” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินก้มศีรษะให้พ้นจากหลังคาเตี้ยๆ ของกระท่อมออกมายืดตัวเต็มความสูงที่ด้านนอก

“แค่นี้แหละจะไปไหนก็ไปเถอะ พ่อจะนอนพักอีกสักหน่อยก็จะกลับเข้าบ้านเหมือนกัน” นายเอกภพสะบัดมือไล่ลูกชายพร้อมกับเอนตัวลงกลับไปนอนที่เดิม

“งั้นผมไปละ” พูดจบร่างสูงก็ก้าวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่กาย ก่อนจะสตาร์ทแล้วบิดออกไปทิ้งเพียงเสียงและควันจากท่อไอเสียไว้ให้ผู้เป็นพ่อมองตาม

“จะรอดไหมวะเนี่ย” นายเอกภพนอนบ่นพลางส่ายหัว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel