ตอนที่ 2 (1)
2
ลงจากรถแท็กซี่ทรรศิกาก็เดินหน้ามุ่ยตามหลังบุพการีทั้งสอง ที่เดินยิ้มหน้าบานนำไปที่สถานีรถไฟหัวลำโพงอย่างอารมณ์ดี พานทำให้หงุดหงิดคิดไปถึงตอนก่อนออกจากบ้านมา เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว
“คุณแม่คะ ศิต้องเดินทางไฟลท์กี่โมงคะเนี่ย ถึงต้องออกจากบ้านแต่เช้าเชียว” ทรรศิกาที่เดินลงบันไดมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง ถามมารดาที่นั่งเปิดหนังสืออ่านระหว่างรอเธอกับบิดาแต่งตัว
“หกโมงเช้าจ้ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะมองหาประมุขของบ้าน
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ”
“มาโน้น...แล้วจ้ะ“
“ว่าไงสาวๆ เตรียมตัวเสร็จกันแล้วใช่ไหม งั้นออกเดินทางกันได้เลยเดี๋ยวจะไม่ทัน...ไปลูกไป แท็กซี่จอดรอหน้าบ้านแล้ว”
“แท็กซี่! ทำไมเราต้องไปแท็กซี่ด้วยคะ” ทรรศิกาถามบิดาอย่างสงสัย
“มันหาที่จอดรถยาก เชื่อพ่อไปแท็กซี่นะดีแล้ว” คิ้วโก่งโค้งที่ประดับอยู่บนใบหน้าสวยขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องบอกว่าหาที่จอดรถยากทั้งๆ ที่ลานจอดรถของสนามบินออกจะใหญ่โต
“แต่พ่อคะศิว่า...”
“เฮ้ย...ไปได้แล้วมีอะไรค่อยคุยกันบนรถ” นายทัดเทพตัดบท เดินเข้ามาโอบไหล่ลูกสาว พยักหน้าเรียกภรรยาให้ตามออกมาหน้าบ้าน ที่มีรถแท็กซี่ที่โทรเรียกมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อผู้โดยสารขึ้นเรียบร้อยคนขับจึงค่อยๆ เคลื่อนรถออกจากหน้าคฤหาสถ์หลังงาม มุ่งหน้าไปยังสถานที่ ที่ผู้ว่าจ้างแจ้งตั้งแต่โทรไปเรียกใช้บริการ โดยไม่ต้องถามซ้ำให้รบกวนใจลูกค้า
“เราจะไปที่ไหนกันคะเนี่ย” หลังจากรถวิ่งออกมาได้พักใหญ่ ทรรศิกาก็ถามขึ้น พร้อมกับทำหน้าเลิกลักมองคนเป็นพ่อทีคนเป็นแม่ทีอย่างสงสัย เพราะเส้นทางที่เธอเคยใช้จำได้ว่ามันไม่ใช่เส้นนี้นี่
“หึๆ สถานีรถไฟ” นายทัดเทพหันมาตอบเสียงกลั้วหัวเราะอย่างกับเป็นเรื่องขบขัน แต่คนฟังอย่างทรรศิกากลับขำไม่ออก
“ห๊า! สถานีรถไฟ! ปะ...ไปทำไมกันคะ เดี๋ยวก็ไม่ทันเครื่องหรอก” เธอถามพร้อมกับปรายตามองบิดาอย่างหวาดๆ รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของเธอกำลังจะเล่นตลกอะไรอีกหรือเปล่า
“เอ้า ถามแปลกก็ไปส่งหนูขึ้นรถ เพื่อเดินทางไปบ้านของน้าภพเพื่อนของพ่อยังไงละ”
นายทัดเทพตีหน้าซื่อตอบออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไม่มีใครบอกทรรศิกาสักคนว่าจะให้เธอเดินทาง โดยพาหนะชนิดไหน
“นี่มันหมายความว่ายังไงคะ จะให้ศินั่งรถไฟไปบ้านของเพื่อนคุณพ่ออย่างนั้นหรือคะ ศิไม่เอาด้วยหรอก...น้าคะกลับรถกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
ทรรศิกาโวยวายดังลั่นรถ ก่อนจะสั่งคนขับแท็กซี่ให้เลี้ยวรถกลับ คนขับไม่ได้ทำตามในทันที แต่เลือกที่จะตีไฟเลี้ยวแวะเข้าไปจอดข้างทาง ให้ลูกค้าทำการตกลงกันให้ได้ก่อนว่าจะไปต่อหรือจะให้กลับ
“เรื่องกลับบ้านพ่อไม่มีปัญหา แต่ถ้ากลับก็หมายถึงศิก็ต้องไม่ไปเรียนต่อเมืองนอก โอเค๊“
นายทัดเทพซึ่งคาดการไว้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นอย่างแน่นอน จึงยื่นข้อเสนอที่ตัวเองได้เปรียบทั้งขึ้นทั้งล่องให้กับผู้เป็นลูกสาวอย่างใจเย็น
ด้านทรรศิกาเมื่อได้ยินข้อเสนอก็หันมาทำตาละห้อยอ้อนผู้เป็นแม่หวังจะหาตัวช่วย แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อตัวช่วยสุดท้ายของเธอพยักหน้ายิ้มหวานอย่างเห็นด้วยกับบิดา เมื่อทำอะไรไม่ได้หญิงสาวจึงทำได้เพียงนั่งกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างไม่มีทางเลือก
“โอเคค่ะ รถไฟก็รถไฟ แล้วนี่ก็คือเหตุผลที่ไม่ให้น้าจันขับรถมาส่งด้วยใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้วล่ะ มันหาที่จอดรถลำบาก พ่อก็เลยคิดว่ามาแท็กซี่มันเป็นอะไรที่สะดวกที่สุดแล้ว...อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ที่พ่อกับแม่ทำอย่างนี้เพราะมีเหตุผลน่า”
นายทัดเทพว่า พลางหันไปพยักหน้าให้คนขับออกรถได้
“ว่ามาสิคะ”
ทรรศิกาพูดเสียงเรียบไม่แสดงอาการขัดแย้งใดๆ ออกมา แต่สำหรับผู้เป็นพ่อรู้ดีว่าท่าทางอย่างนี้ของลูกสาวพวกเขาคือกำลังงอนมาก
“นี่ถือเป็นด่านแรกที่หนูจะได้เจอ การนั่งรถไฟมันไม่ได้ลำบากนักหรอกพ่อกับแม่ก็เคยนั่งมาแล้ว ถ้าความลำบากแค่นี้ศิยังรับมันไม่ได้ ไปเจอความลำบาก ที่โน่นจะไม่วิ่งแจ้นกลับบ้านตั้งแต่วันแรกหรือ”
นายทัดเทพให้เหตุผลในข้อแรก ส่วนเหตุผลข้อต่อมาศรีภรรยาของเขาจึงรับหน้าที่ ที่จะพูดต่อ
“และเหตุผลต่อมาที่พ่อกับแม่ต้องให้หนูนั่งรถไฟเพราะที่นั่นไม่มีสนามบิน รถทัวร์ไม่วิ่งผ่าน มีแค่รถไฟนี่แหละ”
“โอเคค่ะ เหตุผลพอฟังได้ แต่ก็น่าจะบอกล่วงหน้าสักนิด...นะคะ”
ทรรศิกาหันมายิ้มยิงฟันให้กับบุพการีทั้งสองคนละทีสองที อย่างประชดประชัน สองสามีภรรยามองหน้ากันแล้วอมยิ้มขัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากให้ลูกสาวต้องลำบาก แต่อยากให้เรียนรู้และรู้จักความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี ถึงทรรศิกาจะไม่ใช่คุณหนูจ๋าแต่ก็มีความสุขสบายตามประสาครอบครัวมีอันจะกิน ได้ไปใช้ชีวิตบ้านๆ ติดดินอย่างชาวไร่ชาวนาเสียบ้างชีวิตจะได้มีรสชาติ คุ้มค่าที่เกิดมาเป็นคน
“เอานี่ตั๋วเก็บไว้กับตัวนะระวังอย่าให้หายล่ะ เดี๋ยวพอขึ้นรถจะมีเจ้าหน้าที่มาขอตรวจ”
ทรรศิกาที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองถึงกับสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อบิดาสะกิดแล้วยื่นตั๋วรถไฟมาให้
“ขอบคุณค่ะ ...ว่าแต่รถจะออกกี่โมงล่ะคะ”
หญิงสาวรับตั๋วมาพลิกดูคร่าวๆ อย่างไม่ได้สนใจมากนัก ก่อนจะยัดมันลงในกระเป๋ากางเกงยีนตัวเก่ง
“ใกล้แล้วละ พ่อว่าเราไปนั่งรอบนรถเลยดีกว่า อีกไม่นานรถก็คงจะออก”
นายทัดเทพยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก่อนจะเดินนำลูกเมียไปที่ชานชาลา
“ตู้นี้เลยถ้าพ่อจำไม่ผิดนะ ไหนศิเอาตั๋วมาให้พ่อดูอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจซิ”
ทรรศิกาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวเดิม ก่อนจะดึงตั๋วออกมายื่นให้กับบิดา
“โอเค ตู้นี้แหละ ไปเราขึ้นไปหาที่นั่งกันดีกว่า”
ว่าแล้วร่างสูงของนายทัดเทพก็เดินนำขึ้นไป ก่อนจะตามด้วยร่างสมส่วนของทรรศิกา ที่ก้าวขาขึ้นบันไดด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ เพราะทางขึ้นค่อนข้างแคบ ทำให้กระเป๋าใบใหญ่ติดแหงกกับประตู นางศวิตาที่ยืนรอขึ้นเป็นคนสุดท้ายต้องช่วยถือกระเป๋าเอาไว้ ก่อนจะส่งมันให้กับลูกสาวทีหลัง
“ศิมาตรงนี้ลูก นี่คือที่นั่งของศินะ เอากระเป๋ามาพ่อจะเก็บให้ เวลาลงอย่าลืมหยิบลงไปด้วยละ”
ร่างสมส่วนเดินมานั่งลงบนเก้าอี้สีเขียวริมหน้าต่าง โดยมีมารดาเบาะข้างๆ ที่ยังไม่มีเจ้าของจับจอง ส่วนบิดาเมื่อเก็บกระเป๋าเข้าที่เรียบร้อย ก็เดินไปยืนพิงที่ขอบหน้าต่าง แล้วหันมาถามลูกสาวด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไงพอนั่งได้ไหม”
“ก็โอเคค่ะ เบาะสามารถปรับนอนได้ แต่คงจะร้อนน่าดูเลยนะคะ ดูสิตรงนี้มีพัดลมแค่ตัวเดียวเปิดส่ายไปส่ายมาเอง” หญิงสาวพูดพลางทำหน้ามุ่ย
“นี่น่ะ ชั้นดีสุดแล้วนะจะบอกให้ ตอนนี้ร้อนแต่พอรถวิ่งละก็เย็นสบายอย่าบอกใครเชียวละ”
นายทัดเทพพูดอย่างนำเสนอ ราวกับว่ามันดีเลิศที่สุด จนทำให้นางศวิตาที่รู้ว่าสามีกำลังโกหกคำโต ถึงกลับหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ เป็นเหตุให้ทรรศิกาถามขึ้นอย่างสงสัย
“หัวเราะอะไรคะคุณแม่”
“ไม่มีอะไรหรอกลูก แม่เขาแค่คิดถึงความหลังเฉยๆ ใช่ไหมแม่”
คนถูกถามไม่ได้ตอบ แต่คนตอบคือคนปั้นเรื่องอย่างนายทัดเทพ ส่วนนางศวิตาทำได้เพียงแค่พยักหน้าเพราะยังหยุดขำไม่ได้ และยังไม่อยากทำลายแผนการของสามี
“เรื่องมันตลกขนาดนั้นเลยหรือคะ”
ทรรศิกาหันไปถามมารดาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับอดีตที่สุดแสนจะตลกของบุพการีมากมายนัก ซึ่งนายทัดเทพเองก็สังเกตเห็นจึงรีบพูดเบี่ยงประเด็นเรียกความสนใจไปเรื่องอื่นทันที
“ไปถึงแล้ว อย่าลืมโทรมาบอกพ่อกับแม่บ้างนะ เอ้อ พ่อลืมบอกไปว่าตาดินลูกชายของน้าภพเพื่อนของพ่อเขาจะเป็นคนมารับนะ”
“แล้วศิจะรู้ได้ไงคะว่าเขาคนนั้นคือคนไหน” คิ้วโก่งโค้งขมวดเข้าหากันเงยหน้ามองบิดา
“เอานี่รูปพี่เขาและไม่ต้องห่วงว่าพี่เขาจะไม่รู้จักเรา เพราะพ่อก็ส่งรูปเราไปให้ทางโน้นแล้วเหมือนกัน”
นายทัดเทพหยิบกระดาษที่ถูกพับเก็บไว้อย่างดีในกระเป๋าเสื้อมายื่นให้กับลูกสาว
มือบางรับกระดาษมาคลี่ออก ก่อนจะเลิกคิ้วมองภาพ ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้ม ในชุดเสื้อยืดสีดำเก่าๆ กับกางเกงยีนขาดๆ ยืนเท้าเอวมองกล้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง ดูอีหรอบนี้สงสัยคงจะโดนบังคับให้ถ่ายรูปเสียละมั้งนี่ตลกจัง ทรรศิกาคิดพลางหัวเราะในลำคอ
“เอาละ เจ้าหน้าที่ประกาศเตือนว่ารถใกล้ออกแล้ว เห็นทีแม่กับพ่อคงต้องกลับก่อน โชคดีนะศิไปถึงบ้านของน้าภพแล้ว อย่าลืมโทรมารายงานตัวกับแม่และพ่อตามที่สั่งด้วยละ อ้อ ฝากบอกพวกมันด้วยว่าพ่อกับแม่คิดถึง”
หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นเข้าไปสวมกอดและหอมแก้มทั้งสองข้างของมารดา แล้วหันมาทำเช่นเดียวกันกับบิดา ด้วยท่าทีที่สลดเล็กน้อย
“พ่อกับแม่ไปก่อนนะ”
“ค่ะ”
หญิงสาวเดินไปเกาะตรงขอบหน้าต่าง มองบุพการีทั้งสองตาละห้อย ก่อนจะโบกมือลาด้วยรอยยิ้มแต่ภายในใจนั้นกลับรู้สึกใจหาย เมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ และเพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ จนคงที่ มุ่งหน้าไปตามเส้นทางเดินรถสายตะวันออกเฉียงเหนือ
ทรรศิกายืนทอดอารมณ์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกับถอนหายใจออกมาหนักๆ ความหงอยเหงาว้าเหว่วิ่งเข้าจู่โจมหัวใจ เธอไม่เคยต้องไกลบ้านอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างนี้มาก่อน ถ้าต้องไปก็ไปกับกลุ่มเพื่อนๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่กับคราวนี้ต้องโชว์เดี่ยวแถมต้องอยู่นานมากถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ ตามข้อตกลงระหว่างเธอกับบิดา เฮ้อ! คิดแล้วมันช่างหดหู่ใจเสียเหลือเกิน
“เป็นอะไรนังหนู ถอนหายใจซะดังเชียว”
หญิงวัยกลางคนที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งลงตรงเบาะนั่งข้างๆ ได้ไม่นานถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นทรรศิกาทำหน้าอย่างกับแบกโลกไว้ทั้งใบ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้า หนูแค่เหงาๆ ที่ต้องจากบ้านจากพ่อจากแม่ และเพื่อนฝูงไปอยู่ในที่ที่เราไม่คุ้นเคยเท่านั้นเองค่ะ”
“จะไปไหนล่ะ”
“เดี๋ยวหนูขอดูที่ตั๋วก่อนนะคะ หนูก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน นี่ไงคะ”
หญิงสาวยื่นตั๋ว ที่เก็บไว้อย่างดีตามคำที่บิดาบอกมายื่นให้กับคนถาม
“ถึงก่อนป้าด้วย ป้านะนั่งสุดสายที่อุบลโน้นแน่ะ”
หญิงวัยกลางบอกด้วยรอยยิ้ม หลังจากคลี่ตั๋วออกดู ก่อนจะส่งมันกลับคืนไปให้เจ้าของ และเป็นจังหวะเดียวกับเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วพอดี ทรรศิกาจึงยื่นมันให้เจ้าหน้าที่ ก่อนจะรับกลับมาเก็บในกระเป๋ากางเกงตามเดิม เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจเสร็จ
“ป้าเดินทางด้วยรถไฟบ่อยหรือคะ” ทรรศิกาเริ่มชวนคุย
“ขาประจำเลยละ เพราะมันราคาถูกและป้าคิดว่ามันสะดวกสบายดีด้วย”
“หรือคะ…ป้าคะอย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย คนพวกนี้เขามาทำอะไรกันหรือคะ”
ทรรศิกาก้มไปกระซิบถามพลางพยักพยิดหน้าไปที่คนเดินถือของสวนกันไปมาบนรถไฟอย่างสงสัย คนถูกถามขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะหันไปมองคนพวกนี้ตามที่หญิงสาวบอก แล้วเสียงหัวเราะของหญิงสาววัยกลางคนก็หลุดออกมาอย่างอดไม่ได้
“ฮ่าๆๆ นี่อย่าบอกว่าไม่รู้จริงๆ นะนังหนู”
ทรรศิกาไม่พูดอะไร แต่มองหน้าคนที่กำลังหัวเราะเธอท้องขดท้องแข็งหน้าเหลอหลา แล้วส่ายศีรษะจนผมกระจาย
“คนพวกนี้ก็คือพ่อค้าแม่ค้าที่ขึ้นมาขายของบนรถไฟจ้ะ และจะมีขึ้นๆ ลงๆ ทุกสถานีที่รถจอดสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แต่ก็มีบ้างบางคนที่ขายไปจนสุดสายไม่ได้แวะลงที่ไหนเลยก็มี...ถามอย่างนี้แสดงว่าเพิ่งเคยนั่งรถไฟเป็นครั้งแรกล่ะสิเนี่ย”
“แฮะๆ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แล้วอย่างนี้ตอนกินข้าว...”
“ก็ชื้อกินตามที่เขาเดินขายนี่แหละ เห็นไหมว่ามีทุกอย่างเลย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทรรศิกาถึงเริ่มสังเกต และก็เห็นอย่างที่หญิงวัยกลางคนบอก ว่าพ่อค้าแม่ค้าเดินขายของพร้อมกับตะโกนบอกลูกค้า ที่ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แข่งกับเสียงวิ่งของรถไฟ อย่างน้อยเท่าที่เห็นก็สี่ห้าคน และของที่ขายก็จะมีตั้งแต่อาหารหลักอย่างข้าวกับน้ำ และอาหารว่างอย่างผลไม้ขนมขบเคี้ยว รวมไปถึงยาแก้ปวดลดไข้ ยาอม ยาดม ยาหม่อง เรียกได้ว่าแทบจะยกร้านค้ามาไว้บนรถกันเลยทีเดียว
“เนี่ยนะที่คุณพ่อบอกว่าเป็นชั้นที่ดีที่สุด ไอ้เราก็นึกว่าจะมีบริการแบบเฟิร์สคลาสซะอีก”
ทรรศิกาบ่นพึมพำเสียงดัง ทำให้เพื่อนร่วมทางต่างวัยต้องหัวเราะขึ้นมาสุดเสียงพร้อมกับส่ายหน้าอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ นี่นังหนู ป้าไม่รู้หรอกนะว่าพ่อของหนูเขาบอกอะไรหนูไปบ้าง แต่ที่ป้าบอกได้ก็คือชั้นนี้ไม่ได้เป็นชั้นที่ดีที่สุดหรอกนะ ป้าว่าหนูโดนหลอกแล้วละ”
“ใช่ค่ะโดนหลอกตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ คุณป้ารู้ไหมคะว่าที่หนูได้นั่งรถไฟก็เพราะคุณพ่อและคุณแม่นี่แหละค่ะไม่ยอมบอกหนูเลย ปล่อยให้คิดไปเองว่าจะได้นั่งเครื่องบิน มารู้ตัวอีกทีท่านทั้งสองก็พานั่งแท็กซี่มาที่หัวลำโพงแล้ว”
“ป้าว่านั่งรถไฟมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพลินดีออกได้เห็นทิวทัศน์ธรรมชาติไปตลอดทาง ถ้าหนูนั่งเครื่องบินป้าว่าคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นบรรยากาศแบบนี้หรอกใช่ไหม”
ทรรศิกาหันไปมองตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมทางต่างวัย ก็ได้เห็นบรรยากาศริมทางรถไฟที่เริ่มจากบ้านเรือนของผู้คน และยิ่งรถวิ่งออกมาไกลมากเท่าไหร่ก็จะเห็นแม้กระทั่งภูเขาเลากา ที่มีให้เห็นใกล้บ้างไกลบ้างแล้วแต่ภูมิศาสตร์ของจังหวัดนั้นๆ ทรรศิกาใช้คางเกยกับขอบหน้าต่างมองบรรยากาศภายนอกและปล่อยให้ลมตีหน้าจนผมหลุดลุ่ยอยู่หลายชั่วโมง ก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวานให้กับคนแนะนำอย่างรู้สึกขอบคุณ และความรู้สึกนี้เธอยังเผื่อแผ่ไปให้กับบิดากับมารดาอีกด้วย ที่ทำให้เธอได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น
จากเวลาเช้าผ่านไปเป็นสายแล้วเปลี่ยนไปเป็นบ่ายและล่วงเลยมาถึงช่วงเย็น หญิงสาวที่เคยนั่งคุยเจื้อยแจ้วพร้อมกับนั่งมองบรรยากาศด้านนอกไปตลอดเส้นทาง บัดนี้ได้นอนหลับปุ๋ยคาเก้าอี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกที เมื่อป้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ปลุกเธอให้ตื่น
“นังหนู...นังหนู ตื่นได้แล้วมันใกล้จะถึงสถานีที่หนูจะลงแล้วนะ”
ร่างสมส่วนที่กำลังหลับสบาย ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ ยกมือขยี้ตาไปมา ก่อนหันซ้ายหันขวาอย่างคนที่ยังเบลอๆ
“นี่มันกี่โมงแล้วคะป้า”