บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 (2)

เธอถามเสียงงัวเงีย ยกมือปิดปากที่กำลังหาวหวอดๆ

“จะสี่โมงเย็นแล้วละ เตรียมของเอาไว้ซะเดี๋ยวมันจะลืม”

หญิงวัยกลางคนเตือนซ้ำ ทรรศิกาจึงเอี้ยวตัวไปปรับระดับเก้าอี้ให้เข้าที่ ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้บนชั้นลงมา เพียงไม่นานความเร็วของรถก็ลดระดับลง พร้อมกับมีเสียงประกาศจากนายสถานีที่ดังมาแต่ไกลเตือนผู้โดยสารให้เตรียมตัว ทั้งผู้โดยสารที่กำลังจะลงและผู้โดยสารที่กำลังจะขึ้นใช้บริการ

“ขอบคุณนะคะ ที่แนะนำให้ดูอะไรดีๆ แถมยังเป็นเพื่อนคุยมาตลอดทาง ทำให้หนูหายเหงาไปเยอะเลย...หนูไปก่อนนะคะป้า”

เมื่อรถจอดสนิท ทรรศิกาจึงยกมือไหว้เพื่อนร่วมทางต่างวัย ก่อนจะหันไปหิ้วกระเป๋าเดินไปที่หน้าประตูทางลงแคบๆ แล้วก้าวขาลงอย่างระมัดระวังตามหลังผู้โดยสารคนอื่นๆ เมื่อเท้าเหยียบถึงพื้นเธอจึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ไล่ความหวาดหวั่น ที่วิ่งเข้ามาเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง

ทรรศิกากระชับกระเป๋าในมือไว้แน่น ก่อนจะเดินมายืนบริเวณหน้าสถานี ที่ๆ คิดว่าโล่งและคนมารับสามารถมองเห็นได้ง่าย แต่จวบจนรถไฟขบวนที่เพิ่งลงมาเคลื่อนตัวออกไป เธอก็ยังไม่เห็นมีวี่แววว่าใครจะเดินมาแสดงตัวว่าเป็นคนที่มารับสักคน จะมีแต่คนขับรถรับจ้างเท่านั้นที่เข้ามาแวะเวียนถามว่าต้องการรถไหม หญิงสาวทำได้เพียงแค่ยิ้มแล้วส่ายหน้าเป็นการตอบปฏิเสธ

ร่างสูงของอคิราภ์ยืนกอดอกพิงเสามองดูหญิงสาวหน้าตาสวยหมดจดในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน ที่ดูสุดแสนจะธรรมด๊าธรรมดา ผิดแผกจากที่เขาคิดไว้มาก ว่าอาจจะเจอกับผู้หญิงที่ต้องแต่งตัวเว่อร์เหมือนพวกคุณหญิงคุณนายตามที่เคยเห็นบนหน้าจอโทรทัศน์ แต่เขาก็คิดว่าราคาค่างวดของชุดที่สุดแสนธรรมดานั้นมันคงจะไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นแน่นอน

และด้วยหน้าตาที่สวยผิวพรรณผุดผาดแลดูขาวอมชมพูอย่างคุณหนูชาวกรุง ดูโดดเด่นสะดุดตาแตกต่างจากหญิงสาวบ้านนอกทั่วไป ทำให้อคิราภ์สังเกตเห็นเธอตั้งแต่ลงมาจากรถ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังจะไม่เข้าไปแสดงตัวตอนนี้ เพราะรู้สึกอยากจะแกล้งหญิงสาวขึ้นมานิดหน่อย ถือเป็นค่าจ้างที่ทำให้เขาเสียเวลาในการมารับเธอครั้งนี้ก็แล้วกัน

ขณะที่ชายหนุ่มยืนกดยิ้มมุมปาก พร้อมกับพิจารณาหญิงสาวอยู่ห่างๆ ดวงตาสีนิลของเขาก็วาวโรจน์ขึ้น เมื่อคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างคนหนึ่งพยายามตามตื๊อหญิงสาวตลอด แม้เธอจะยิ้มแล้วส่ายหน้าตอบปฏิเสธเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล ชายคนนั้นยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจและยังพยายามจะยื้อแขนหญิงสาวให้เดินตาม เมื่อเห็นดังนั้นอคิราภ์จึงไม่รอช้ารีบเข้าไปแสดงตัวทันที

“ขอโทษนะครับ ผู้หญิงคนนี้เป็นญาติผมกรุณาปล่อยแขนเธอด้วยครับ”

เสียงทุ้มพูดอย่างสุภาพ แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ทำให้ชายคนขับรถรับจ้างเงยหน้าขึ้นมองสายตาคมดุคู่นั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบถอยล่าออกไปอย่างไว

“ขอบคุณนะคะที่เข้ามาช่วย ไม่งั้นฉันคงแย่แน่ๆ”

ทรรศิกายิ้มให้หนุ่มหล่อเข้มชวนใจเต้นตรงหน้า อย่างขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นเรารีบกลับกันเถอะ”

ว่าแล้วมือหนาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเรียวเล็ก แล้วทำท่าจะลากเธอให้เดินตาม ทำให้ทรรศิกาที่กำลังยืนมองใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั้นเพลินๆ ออกอาการตกใจสุดขีด สะบัดแขนเต็มแรงจนหลุดออกจากการเกาะกุม วิ่งไปหลบอยู่หลังเสาต้นที่ใกล้ที่สุด ความรู้สึกชื่นชมเมื่อครู่หายไปในพริบตา พร้อมกับตะโกนด่าชายหนุ่มแปลกหน้าที่คิดว่าหล่อและเป็นคนดี หวังจะให้พลเมืองดีจริงๆ สักคนเข้ามาช่วย

“ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย! ผู้ชายโรคจิตคนนี้จะลากฉันไปทำมิดีมิร้าย”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือสลับกับเสียงด่าทอดังลั่น ทำให้อคิราภ์ถึงกับกุมขมับ เพราะคนที่อยู่แถวนั้นต่างหันมามองเขาและเธอเป็นตาเดียวกัน จากนั้นก็มีพลเมืองดีสามสี่คนเข้ามาสอบถามทั้งเขาและเธออยู่นานสองนาน กว่าจะสรุปได้ว่าชายหนุ่มคือคนที่จะมารับ หลักฐานคือเขาภาพของเธอ และเธอก็มีภาพของเขาอยู่กับตัว ซึ่งเมื่อผลออกมาเช่นนั้นก็ทำให้ทรรศิกาถึงกับหน้าเหวอ รีบขอโทษขอโพยทุกๆ คนที่อยู่บริเวณนั้น รวมไปถึงคนที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้ชายโรคจิตอย่างอคิราภ์ด้วย

“ไงแม่คุณทีตอนนี้ละร้องได้ ก่อนหน้านั้นทำไมไม่ร้องอย่างนี้บ้าง อยู่ๆ ก็ถูกหาว่าเป็นโรคจิตซวยชิบเป๋ง”

อคิราภ์โวยวายหลังจากพาตัวเองและหญิงสาวเดินข้ามฟากมายืนอยู่บริเวณลานจอดรถโล่งกว้าง ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ

“กะ...ก็มันร้องไม่ออกนี่ แล้วใครจะไปรู้ล่ะว่าคุณคือลูกชายของน้าภพภพนะ”

หญิงสาวก้มหน้ามองมือตัวเองที่จับกันไว้แน่น แล้วตอบเสียงแผ่ว รู้สึกผิดและอับอายขายขี้หน้ามากถึงมากที่สุด

“รูป พ่อผมก็ส่งไปให้ ไม่ได้ดูกันเลยหรือไง”

“ดู! แต่มันไม่เหมือนตัวจริงนี่”

หญิงสาวตอบเสียงกระแทกกลับไปบ้าง ถ้าพบกันดีกว่านี้เธอก็อยากจะบอกอยู่หรอกว่าตัวจริงน่ะหล่อคมเข้มกว่าในรูปมาก จนดูคล้ายกับว่าเป็นคนละคนหรืออาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวถ่ายรูปไม่ขึ้นก็ไม่รู้

“เอาละ เอาละ จะเพราะอะไรก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่ากลับบ้านกันดีกว่า ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้วขี้เกียจที่จะต้องมาเถียงอะไรที่มันไร้สาระ”

ชายหนุ่มบอกเสียงห้วน ก่อนจะแย่งกระเป๋าในมือหญิงสาวมาถือ แล้วเดินนำไปที่รถอย่างหัวเสีย

“ไหนล่ะคะรถของคุณ”

หญิงสาวถามขึ้น ขณะเดินเอามือไพล่หลังตามมาด้วยท่าทีสบายอารมณ์

“นี่ไง”

ทรรศิกาเบิกตากว้างพอๆ กับปากที่อ้าค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เมื่อชายหนุ่มตบลงบนหลังคารถกระบะคันเก่าที่เต็มไปด้วยขี้โคลนปนสนิม ที่น่าจะเป็นเศษเหล็กไว้ปลูกสะระแหน่มากกว่าที่จะเป็นพาหนะที่ใช้ในการขับขี่

“นี่...คุณอย่าบอกนะว่าคุณจะให้ฉันนั่งเศษเหล็กคันนี้กลับบ้าน ฉันไม่ไปด้วยหรอกนะ”

หญิงสาวเดินดูรอบๆ ตัวรถ ก่อนจะหยุดยืนกอดอกเบือนหน้าหนีอย่างเอาแต่ใจ

อคิราภ์โยนกระเป๋าใบโตราคาแพงลงบนพื้นใกล้ๆ ปลายเท้าของหญิงสาวอย่างไม่สนใจ ราวกับว่ามันไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมาย ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับและปิดประตูดังปัง! แสดงให้เห็นว่าเขาไม่คิดที่จะตามใจคุณหนูเอาแต่ใจอย่างเธอ

“ตามใจแล้วกัน อยากยืนอยู่ตรงนั้นก็เชิญ ผมจะกลับละไม่ได้มีเวลามานั่งเอาใจคุณหนูอย่างคุณมากขนาดนั้น แค่นี้ก็เสียเวลาทำมาหากินจะแย่อยู่แล้ว”

ทรรศิกาหันขวับไปที่รถอย่างตกใจ เมื่อได้ยินเสียงสตาร์ทดังลั่นจากเครื่องยนต์เก่าๆ อีตาบ้านี่คิดจะทิ้งเธอจริงๆ หรือเนี่ย คิดได้แค่นั้นเธอก็รีบก้มลงคว้ากระเป๋าที่ถูกโยนทิ้งบนพื้น วิ่งอ้อมไปอีกฝั่ง ก่อนจะกระโดดขึ้นนั่งคู่กับชายหนุ่มอย่างไม่อิดออด เหมือนก่อนหน้านั้น

“ใจร้ายที่สุดไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย ใกล้จะมืดแล้วยังกล้าทิ้งผู้หญิงให้อยู่คนเดียว” เธอต่อว่าเสียงเง้างอด

“ที่นี่บ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่มีหรอกผู้ชายที่จะมานั่งเอาอกเอาใจคุณหนูที่เอาแต่ใจอย่างคุณหรอก ไร้สาระสิ้นดี ถ้าต้องการแบบนั้นนู่นสถานีรถไฟไปตีตั๋วกลับกรุงเทพได้เลย ตอนนี้ยังก็ทัน”

“ไม่! เรื่องอะไรฉันต้องกลับไปให้ทุกคนดูถูกฉันด้วย แค่นี้สบายมาก”

หญิงสาวนั่งกอดกระเป๋าเชิดหน้าอย่างถือดี เมื่อเห็นอย่างนั้นริมฝีปากหนาจึงกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างขำๆ

ระหว่างทางที่นั่งรถทรรศิกาดูจะตื่นเต้นกับบรรยากาศที่ดูแตกต่างจากที่เคยเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่น้อย จากตึกสูงระฟ้าเปลี่ยนเป็นท้องทุ่ง ที่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นเรียงรายตลอดแนวถนนทั้งสองฝั่ง สร้างความร่มรื่นและร่มเย็นมาตลอดเส้นทาง

“นี่คุณ อีกนานไหมกว่าจะถึงบ้านของคุณน่ะ”

ทรรศิกาละสายตาจากบรรยากาศด้านนอก หันมาถามชายหนุ่มที่นั่งทำหน้าที่คนขับรถเงียบๆ มาตลอดทาง

“ไม่นาน”

“แล้วเอ่อ...คุณชื่อดินใช่ไหม เห็นคุณพ่อบอกมาอย่างนั้น”

เธอพยายามหาเรื่องชวนคุยหวังสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าบ้าน และหวังลดบรรยากาศที่ชวนอึดอัดลงบ้าง

“อือ”

“ฉันศินะคะ”

เธอแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มหวานเผื่อหน้าบึ้งๆ ของชายหนุ่มจะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบ้าง แต่ความตั้งใจของทรรศิกาก็สูญเปล่า เมื่อมีเพียงคำๆ เดียวที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหนา นั่นก็คือคำว่า

“อือ”

เพียงเท่านั้นรอยยิ้มหวานที่ประดับบนใบหน้าสวยก็หุบฉับ แปรเปลี่ยนเป็นการทำปากยื่นปากยาวพร้อมกับย่นจมูกใส่เขา อย่างขัดใจแทน

“อีตาบ้าเล่นตอบอย่างนี้ แล้วฉันจะพูดอะไรต่อดีล่ะ คนอุตส่าห์ชวนคุย”

หญิงสาวบ่นงึมงำคนเดียวเบาๆ ก่อนจะหันไปเกาะขอบกระจกรถ ที่เปิดให้ลมจากภายนอกพัดเข้าแทนแอร์ที่ใช้การไม่ได้ตามเดิม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel