บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 (1)

3

ในเวลาพระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสง เสียงเครื่องยนต์ถูกดับลงหน้าบ้านไม้ขนาดกลางหลังหนึ่ง อคิราภ์เปิดประตูก้าวลงจากรถ พร้อมกับบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ โดยไม่คิดที่จะสนใจว่าคนที่นั่งอยู่ข้างในว่าจะลงหรือไม่ลง ส่วนทรรศิกาเองก็เหมือนจะเรียนรู้ในเวลาอันสั้น ว่าต่อให้ตัวเธอนั่งรอจนรากงอก ก็ไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะปฏิบัติตัวเยี่ยงสุภาพบุรุษเดินมาเปิดประตูรถให้เธอ เหมือนกับที่เดชาธรแฟนหนุ่มมักจะปฏิบัติเสมอนั้น

ร่างสมส่วนก้าวลงมายืนอีกฝั่งของตัวรถ ก่อนจะค่อยๆ กวาดสายตาสำรวจไปทั่วบริเวณรอบๆ อย่างสนใจ บ้านไม้ขนาดกลางที่ถูกยกสูงจากพื้นดิน ทำให้ด้านล่างกลายเป็นใต้ถุนโล่งกว้าง ที่มีทั้งแคร่ไม้ไผ่และเปลญวนผูกไว้สำหรับนั่งและนอนพักผ่อน ถัดออกไปไม่ไกลนักหญิงสาวก็สังเกตเห็นโรงรถที่เต็มไปด้วยรถสำหรับการเกษตร จอดเรียงรายอยู่ในนั้นประมาณสามสี่คัน และห่างออกไปจากบริเวณนั้นไม่มาก จะมีบ้านไม้ทรงไทยหลังเล็กน่ารักตั้งอยู่ แต่ที่ถูกใจเธอที่สุดก็เห็นจะเป็นรอบๆ บริเวณบ้านจะมีรั้วไม้กั้น เธอคิดว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการบุกรุกแต่มันคงจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเขตแดนและที่สำคัญมันเป็นรั้วที่กินได้ เพราะตลอดแนวรั้วจะมีตำลึงและมะระขี้นกที่กำลังแข่งกันแตกยอดเขียวชอุ่มเต็มไปหมด

“อ้าว...มาถึงกันแล้วหรือจ๊ะ”

เสียงทักจากผู้ใหญ่ท่าทางใจดีคู่หนึ่งดังขึ้น ทำให้ทรรศิกาที่กำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศแปลกใหม่หันมามอง ก่อนจะยกมือไหว้บุคคลทั้งสองอย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะ”

“ไหว้พระเถอะจ้ะ...หนูศิใช่ไหมจ๊ะ”

“ค่ะ”

“ดูสิคุณภพ ไม่เจอตั้งนานโตเป็นสาวแล้ว...สวยเชียว” นางรดาบอกสามีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนดีใจ

“นี่คงเป็นน้าภพกับน้ารดาใช่ไหมคะ”

“ใช่แล้วจ้ะ”

“เป็นไงพ่อกับแม่หนูสบายดีหรือเปล่า” นายเอกภพถาม ถึงเพื่อนสนิททั้งสอง

“สบายดีค่ะ นี่คุณพ่อกับคุณแม่ยังฝากความคิดถึงมาให้คุณน้าทั้งสองด้วยนะคะ”

หญิงสาวพูดพลางยิ้มหวาน แม้จะเพิ่งเคยพบกันครั้งแรก แต่ทรรศิกาก็รู้สึกถูกชะตากับเพื่อนของบิดาอย่างบอกไม่ถูก

“อ้าว...ตาดินทำไม่ไปยืนอยู่ตรงนั้นล่ะลูก มานี่มา เดี๋ยวดินเอากระเป๋าของน้องไปเก็บข้างบนห้องนะ แล้วอย่าเพิ่งหนีไปไหนล่ะ ลงมาคุยกับแม่และน้องข้างล่างก่อน...หนูศิกระเป๋ามีแค่ใบเดียวใช่ไหมจ๊ะ”

นางรดากำชับลูกชาย ก่อนจะหันมาถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ค่ะ เอ่อ...คุณน้าคะเดี๋ยวศิเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บเองก็ได้มั้งคะ มันจะเป็นการรบกวนเปล่าๆ”

ทรรศิกาบอกอย่างเกรงใจ ยิ่งหันไปเจอหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ของอคิราภ์แล้วยิ่งทำให้เธอลำบากใจขึ้นเป็นเท่าตัว

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่เขาเต็มใจ หน้าพี่เขาเป็นอย่างนั้นตลอดแหละ อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็ชิน น้าว่าเราไปนั่งคุยกันที่แคร่ใต้ถุนบ้านดีกว่านะ”

ว่าแล้วนางรดาก็จูงแขนหญิงสาวให้เดินตามไปที่ใต้ถุนบ้าน ปล่อยให้ลูกชายทำหน้าที่ตามคำสั่ง โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

“เป็นไงบ้างจ๊ะเดินทางเหนื่อยไหม”

“นิดหน่อยค่ะ” ทรรศิกาตอบเสียงใส

“เอ่อ...แล้วรู้จักกับพี่เขาหรือยังล่ะ”

“ค่ะ”

หญิงสาวตอบพลางเหลือบไปมองคนที่กำลังเดินลงมาจากบนบ้าน

“เดี๋ยวน้าจะแนะนำอย่างเป็นทางการก็แล้วกันนะ...นี่ลูกชายน้าชื่อดินอายุห่างจากหนูสักห้าปีได้มั้ง”

หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ชายหนุ่ม ที่เพิ่งมานั่งแหมะลงทันที หลังจากเพิ่งได้รู้ว่าเขานั้นอายุมากกว่า จนทำให้อคิราภ์ยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน

“สวัสดีอย่างเป็นทางการค่ะพี่ดิน”

เสียงใสเอ่ยทัก พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง แต่ในสายตาอคิราภ์ตอนนี้เขาดูเหมือนว่าเธอกำลังยิงฟันมากกว่าเป็นการยิ้ม

“แล้วเราล่ะตาดินรู้จักชื่อน้องเขาหรือยัง” นายเอกภพหันไปถามลูกชายยิ้มๆ

“รู้แล้วครับพ่อ พอดีเอ่อ...น้องเขาแนะนำตัวให้ผมรู้ตั้งแต่อยู่บนรถแล้วครับ”

อคิราภ์เรียกหญิงสาวว่าน้องอย่างไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะรู้สึกกระดากปากชอบกลสำหรับลูกโทนอย่างเขา

“แล้วจะมาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนล่ะจ๊ะ”

“เดือนหนึ่งค่ะ คือคุณพ่อท่านอยากให้ศิลองมาเรียนรู้การใช้ชีวิตที่นี่ดูเผื่อจะนึกชอบ อย่างที่พวกท่านชอบบ้าง เพราะถ้าศิไปเรียนต่อก็คงไม่มีโอกาสได้มาเที่ยวที่นี่แล้วน่ะค่ะ”

ทรรศิกาเลือกที่จะพูดความจริงแค่บางส่วน ไม่กล้าบอกทั้งหมด ว่ามาที่นี่เพราะมีการตกลงเงื่อนไขกับผู้เป็นพ่อไว้ โดยไม่รู้ว่าทั้งนายเอกภพและนางรดาต่างรู้ดีกับเหตุผลที่หญิงสาวต้องเดินทางมาที่นี่ดี

“หรือจ๊ะดีจัง น้าจะมีลูกสาวตั้งเดือนหนึ่งแน่ะ...อยู่ที่นี่ทำตัวตามสบายนะคิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง”

“ค่ะคุณน้า”

“น้าว่าหนูศิไปอาบน้ำอาบท่าแล้วไปพักก่อนสักหน่อยจะดีกว่าไหม เดี๋ยวสักทุ่มหนึ่งน้าจะไปเรียกมาทานข้าวเย็นนะจ๊ะ”

เมื่อได้ยินมารดาพูดอย่างนั้นอคิราภ์ที่นั่งตัวเหนียว เพราะทำงานมาทั้งวัน จึงสบโอกาสเอ่ยปากขึ้นบ้าง

“งั้นผมก็ขอตัวไปอาบน้ำนะครับ รู้สึกเหนียวไปทั้งตัวเหมือนกัน”

“ทุ่มหนึ่งอย่าลืมมาทานข้าวละ” ผู้เป็นพ่อสั่งกำชับ ตบไหล่กว้างของลูกชายเบาๆ

“ครับ”

พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านไม้ทรงไทยหลังเล็ก ที่หญิงสาวเห็นก่อนหน้านั้น

“คุณน้าคะ แล้วศิจะอาบน้ำได้ที่ไหนคะ”

หญิงสาวถามพลางกวาดสายตามองหาสถานที่อาบน้ำ ในใจภาวนาว่าอย่าให้เป็นการอาบน้ำกลางแจ้งประเภทตักอาบในตุ่ม ขอเป็นห้องน้ำเล็กๆ ก็ยังดี

“อ๋อ...ห้องน้ำอยู่ตรงหลังบ้านจ้ะ หรือหนูศิอยากจะลองไปอาบที่ลำห้วยก็ได้นะ เดี๋ยวน้าจะได้ให้พี่เขาพาไปเอาไหม”

“เอ่อ...ศิว่าเอาไว้ก่อนดีกว่าค่ะ วันนี้อาบที่ห้องน้ำไปก่อน ก็ได้ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวยิ้มแหย่ๆ ตบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ให้เสียน้ำใจ

“หรือจ๊ะ เอาเป็นว่าน้าไม่กวนแล้วตามสบายน อ้อ ห้องนอนของหนูอยู่ห้องซ้ายสุดน้าจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อยแล้วขาดเหลืออะไรบอกนะจ๊ะ ตอนนี้น้าขอตัวไปทำกับข้าวก่อน”

พูดจบนางรดาก็ลุกขึ้นเดินตัวปลิวเข้าห้องครัว เพื่อไปเตรียมอาหารต้อนรับสมาชิกใหม่ ที่นางสุดแสนจะเต็มใจต้อนรับ

“อย่าลืมโทรไปบอกไอ้เทพกับวิตาละ เดี๋ยวมันจะเป็นห่วงจนนอนไม่หลับเอา ยิ่งเป็นพวกชอบคิดมากอยู่”

นายเอกภพเตือนหญิงสาว หลังจากปล่อยให้ภรรยา ที่เดินหายเข้าไปในห้องครัวยึดการสนทนากับหญิงสาวไว้แต่เพียงผู้เดียว

“ค่ะ งั้นศิขอตัวนะคะ”

“ตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจหรอกคนกันเองทั้งนั้น”

หญิงสาวพยักหน้าแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย อย่างโล่งใจ การได้รับความเป็นกันเองจากทุกคนในบ้าน ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก แม้จะมาอยู่ต่างถิ่น แต่ถ้าได้รับการต้อนรับที่ดีอย่างนี้ มันคงทำให้การดำเนินชีวิตตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนต่อจากนี้คงราบรื่นและมีความสุขไม่น้อย

เสียงฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ของทรรศิกาที่อยู่ในห้องน้ำ ไม่ได้สร้างความรื่นรมย์ให้กับคนที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกอย่างอคิราภ์เลยสักนิด แต่ตรงกันข้ามมันกลับสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก ที่ต้องมานั่งรอยืนรอจนขาแข็งอยู่นานเกือบชั่วโมง สาวเจ้ายังไม่โผล่ออกมา

“อะไรวะเข้าไปเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ออกมาอีก อาบน้ำหรือลอกคราบวะเนี่ย ทำไมมันถึงได้นานขนาดนี้ รู้งี้มาอาบก่อนซะก็ดี...นี่เร็วๆ หน่อยคนอื่นเขารออยู่รู้ไหม”

ชายหนุ่มบ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะตะโกนเสียงดังในท้ายประโยค เพื่อกระตุ้นต่อมความเร็วให้กับคนที่อยู่ด้านในให้ทำงาน

“ค่าๆ”

ทรรศิกาขานรับ จากที่อาบแบบเรื่อยๆ เอื่อยเฉื่อยตามความเคยชิน ก็เปลี่ยนเป็นเร่งรีบในทุกขั้นตอน จวบจนครึ่งชั่วโมงผ่านไป ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสมส่วนที่หอมกรุ่นของทรรศิกาก็เดินออกมา แต่เพราะมัวยุ่งอยู่กับเสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนออกในอ้อมแขนกลัวมันจะหลุดลุ่ยลงพื้น ทำให้หญิงสาวไม่ทันได้มองว่ามีใครยืนขวางทางอยู่ เธอจึงเดินไปชนเข้าเต็มแรง

“ว๊าย!”

เสียงแหลมหวีดร้องด้วยความตกใจ ไม่ได้ทำให้คนโดนชนสะทกสะท้าน เขายังคงสงบนิ่งมีเพียงสายตาดุที่หลุบต่ำมอง หญิงสาวที่ลนลานคว้าทั้งชุดชั้นในและชั้นนอก ที่กำลังจะร่วงเป็นพัลวัน โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ามือบางนั้นได้ไปคว้าเอาชายผ้าเช็ดตัวที่ตัวเขานุ่งไว้เพียงลวกๆ ติดมือมาด้วย เพียงแค่กระชากเบาๆ มันก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย

“เฮ้ย!”

อคิราภ์ร้องเสียงหลง พร้อมกับหนีบต้นขาเข้าหากันยกมือกุมเป้าตามสันชาตญาณ เมื่ออยู่ๆ ผ้าเช็ดตัวที่เขานุ่งก็ถูกดึงออก จนท่อนล่างเย็นโล่งโปร่งสบาย เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียวเท่านั้น

“กรี๊ดดด! ไอ้บ้า! ไอ้โรคจิตชอบโชว์ ยี้! ทุเรศสายตาที่สุด”

เสียงใสกรีดร้องขึ้นอีกครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอสิ่งที่โชว์หราอยู่ตรงหน้า ก่อนจะรีบยกมือปิดหน้าหันหลังหนีภาพอุจาดตานั้น ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“คุณนะสิโรคจิตดึงผ้าผมจนหลุด ผมไม่ได้แก้เองสักหน่อย แล้วอย่างนี้ใครกันแน่ที่โรคจิต รีบๆ คืนผ้าเช็ดตัวมาเดี๋ยวนี้เลย”

เมื่อได้ยินคำกล่าวหา ทรรศิกาก็ชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่ตัวเองกำไว้แน่นในมือ แล้วดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างและอ้าปากค้างอย่างตกใจ เมื่อหันไปมองชัดๆ มันคือผ้าเช็ดตัวสีแดงเลือดหมูผืนใหญ่ มาได้ยังไงวะเนี่ย! แล้วเสื้อผ้าเธอล่ะ แน่นอนมันกองแอ้งแม้งรวมกันอยู่บนพื้นแทบเท้าของเธอ

“เอ้า แม่คุณจะคืนหรือไม่คืนยืนมองอยู่นั่นแหละ ไม่เคยเห็นผ้าเช็ดตัวหรือไง เดี๋ยวปั๊ดแก้ผ้าให้ดูจริงๆ เลยนี่”

อคิราภ์ยืนเท้าเอวมองท่าทางของหญิงสาวอย่างขำๆ ตอนนี้เขาไม่ยี่หระกับสภาพตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะเคยใส่อย่างนี้บ่อยจนชิน แม้ในตอนแรกจะตกใจและเขินอยู่บ้าง ที่ต้องมายืนโชว์หุ่นต่อหน้าผู้หญิงที่เจอกันครั้งแรก แต่ความอยากแกล้งภายในใจมันมีมากกว่าความอาย

“เอาคืนไปเลย ใครอยากจะดูนายแก้ผ้ากัน แค่นี้ฉันก็คงนอนฝันร้ายทั้งคืนแน่ๆ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาจะเป็นตากุ้งยิงหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel