บทที่ 5
ค่ำคืนนั้น เซี่ยหลิ่งเฟยนอนไม่หลับ หากพูดกันตามตรง ตั้งแต่วันนั้นเมื่อเจ็ดปีก่อนก็ไม่มีค่ำคืนใดที่เขาจะหลับลงได้อย่างสนิทใจ
ชายหนุ่มลุกลงจากเตียงเพื่อออกไปเดินเล่นด้านนอก
ดวงจันทร์ไม่เต็มดวง แต่บนท้องนภากลับมีดวงดาวพร่างพราว งดงามเหมือนดวงตาของใครบางคนที่เขาเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว
กระทั่งเดินมาถึงข้างเรือนนอนของเจียงจิวอิน ประจวบเหมาะ หน้าต่างห้องของนางไม่ได้ปิด และนางนั่งริมหน้าต่าง มองดวงจันทร์บนท้องนภา เขาจึงเดินไปหยุดยืนที่ริมหน้าต่าง เงยหน้าขึ้นทักทายนาง
“เหตุใดไม่หลับไม่นอน”
นางสะดุ้ง ก่อนจะก้มมองตามเสียงของเขา ทว่าไม่ตอบคำ
“ดึกขนาดนี้แล้ว เหตุใดไม่เข้านอนเสียที” เซี่ยหลิ่งเฟยเอ่ยถามนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาเหมือนผู้ใหญ่สอบถามเด็กเล็กๆ
นางกะพริบตา ก่อนตอบกลับว่า “ข้านอนไม่หลับ”
“เหตุใดถึงนอนไม่หลับ” เขาถามอีก อยากรู้ให้ได้ว่าสาเหตุนั้นเป็นเพราะเขาหรือไม่
เจียงจิวอินจ้องมองเขานิ่งเช่นเดียวกับที่เขากำลังจ้องมองนาง นางมิได้ตอบ แต่ถามกลับมาว่า “ท่านต้องการแต่งงานกับข้าจริงๆ หรือ”
เซี่ยหลิ่งเฟยตอบกลับอย่างไม่ลังเล “จริง”
นางถามกลับอีกครั้ง “เป็นเพราะคำสั่งของผู้ใหญ่หรือเพราะท่านรักข้า อย่างไหนคือความรู้สึกของท่าน”
เซี่ยหลิ่งเฟยเม้มปากยืนนิ่ง เขาไม่ได้ตอบคำถามของนาง นั่นเพราะเขาไม่รู้ว่าการมีความรักต่อใครสักคนเป็นเช่นไร รู้เพียงแค่ตลอดมาเขาไม่นึกรังเกียจนาง ตอนที่ท่านอาวุโสซ่งเถียนมีคำสั่งให้เขาหาภรรยา ตอนนั้นในใจเขาก็คิดถึงเพียงเจียงจิวอิน และยิ่งได้พบนางตอนโตเขาก็ยิ่งมีความรู้สึกว่า ‘ต้องการนาง’ มากขึ้น
นางยิ้มขมขืน พูดขึ้นว่า “หากท่านต้องการให้ข้าแต่งให้ท่านจริงๆ ล่ะก็ ท่านช่วยบอกรักข้าได้หรือไม่ จะเป็นคำโกหกก็ได้ ขอเพียงท่านพูด ข้าล้วนยินยอมแต่งให้ท่าน”
เซี่ยหลิ่งเฟยมองดวงหน้าสวยหวานของเจียงจิวอินนิ่ง ทั้งแววตาและสีหน้าคาดเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เนิ่นนาน ค่อยพูดขึ้นว่า “ข้ารักเจ้า”
ต่อเมื่อคำนั้นหลุดจากปากของเขา ทั้งเขาและนางเกิดความรู้สึกไหววูบในอก ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่านั่นคือความรู้สึกใด และเพราะอะไรพวกเขาถึงรู้สึกเช่นนั้น
แต่สุดท้าย เจียงจิวอินยิ้มตอบว่า “เช่นนั้นข้ายินยอม”
ในเช้าวันถัดมา อากาศสดชื่น ท้องฟ้าแจ่มใส
เจียงจิวอินซึ่งอยู่ในชุดสีฟ้าอ่อน ก้าวเท้าด้วยฝีเท้าที่มั่นคงตรงไปยังห้องโถง เมื่อมาถึง นางพบว่าเซี่ยหลิ่งเฟยมารอก่อนแล้ว
เจียงซูเจ๋อบอกธิดาคนงามของตนว่า “จิวอิน เข้ามาแล้วก็นั่งลงข้างๆ หลิ่งเฟย พ่อมีอะไรจะพูดคุยกับพวกเจ้าทั้งสองคน”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
เจียงจิวอินตอบรับ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้างเซี่ยหลิ่งเฟย ซึ่งบนโต๊ะมีจอกชาสองจอกอันเป็นของเขาและนาง
เจียงซูเจ๋อเริ่มพูด “จิวอิน การแต่งงานของเจ้าค่อนข้างฉุกละหุกเกินไป พ่อกับแม่จึงไม่ได้เตรียมสินเดิมไว้ให้ ซ้ำยังไม่มีแม้แต่ขบวนเจ้าสาวที่สมเกียรติ แต่เรื่องนั้นอย่าได้น้อยใจไปเลยนะ เพราะไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าเรื่องน่ายินดีเช่นนี้อีกแล้ว”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” นางยิ้มรับด้วยเข้าใจความหมายของบิดาดี เพราะไม่เพียงแค่เรื่องมงคลที่น่ายินดี การที่เซี่ยหลิ่งเฟยกลับมาหาพวกเราก็เป็นอีกเรื่องเช่นกัน
เจียงฮูหยินบอก “จิวอิน นับจากนี้เจ้าก็เป็นคนของสกุลเซี่ยแล้ว ทิ้งนิสัยเด็กๆ ของเจ้า และตั้งใจปรนนิบัติสามีให้ดี ส่วนเรื่องสินเดิมแม่จะส่งตามไปให้ทีหลังนะ”
เจียงจิวอินยิ้มให้กับมารดา “เจ้าค่ะ ท่านแม่”
เซี่ยหลิ่งเฟยที่นั่งเงียบนานแล้ว พูดขึ้นว่า “เรื่องสินเดิมท่านอาหญิงไม่ต้องกังวล ที่สำนักคุ้มภัยเตรียมทุกอย่างไว้ให้นางเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เจียงฮูหยินยิ้มบอกชายหนุ่ม “ข้ารู้ว่าที่สำนักคุ้มภัยวิหคเหินมีทุกอย่างพร้อมสรรพ แต่ให้ข้าได้เตรียมอะไรให้ลูกสาวสักหน่อยเถอะ”
เซี่ยหลิ่งเฟยพยักหน้า “ขอรับท่านอาหญิง หากท่านอาทั้งสองคิดถึงจิวอิน ที่สำนักคุ้มภัยวิหคเหินยินดีต้อนรับขอรับ”
เจียงฮูหยินบอก “ดี”
คนทั้งสี่เงียบกันอีกพักหนึ่ง บรรยากาศรอบตัวก็เงียบตาม
ตอนนี้เอง เจียงซูเจ๋อพูดขึ้นว่า “เอาละ ดื่มชาอวยพรกันเถอะ”
สิ้นคำพูดของเจียงซูเจ๋อ คนทั้งสี่ยกถ้วยชาขึ้นจิบพร้อมเพรียงเป็นอันเสร็จการอวยพร ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ โดยมีเจียงซูเจ๋อและฮูหยินของเขาเดินนำชายหนุ่มหญิงสาวออกมาจนถึงหน้าประตูบ้าน
เจียงฮูหยินหันมองบุตรสาวด้วยดวงตาแสนรัก ซ้ำยังลูบหน้าลูบศีรษะของนางพลางพูดว่า “แล้วแม่จะไปเยี่ยมเจ้านะ จิวอิน”
เจียงจิวอินยิ้ม ตอนที่นางกำลังจะโผกอดมารดา
ตอนนั้นเอง เสียงกีบเท้าม้าดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ชายหนุ่มในชุดแม่ทัพคนหนึ่งจะบังคับบังเหียนให้หยุดลงที่หน้าประตูบ้านสกุลเจียง
ชายคนนั้นเมื่อตวัดตัวลงจากหลังม้า เขาก็เรียกชื่อหญิงสาวทันที
“จิวอิน!”
หญิงสาวหันไปมองตามเสียงนั้น พบว่าเป็นหนิ่วเจิ้งหั่วก็นิ่วหน้า
หนิ่วเจิ้งหั่วไม่ทักทายผู้อาวุโสทั้งสอง แต่เขามองสถานการณ์ตรงหน้า และรีบเอ่ยถามว่า “นั่นเจ้าจะไปไหนหรือ”
เซี่ยหลิ่งเฟยมองหนิ่วเจิ้งหั่วตั้งแต่ฝ่ายนั้นตวัดตัวลงจากหลังม้าแล้ว ยิ่งตอนที่ฝ่ายนั้นเรียกชื่อเจียงจิวอินอย่างสนิทสนม อารมณ์กรุ่นโกรธก็ยิ่งปะทุขึ้นในอกโดยไม่รู้ตัว จนต้องเดินเข้ามายืนขวางหน้า
หญิงสาว บอกฝ่ายนั้นว่า “นางจะไปอยู่กับข้าในฐานะเจ้าสาว”
ได้ยินคำพูดนั้น หนิ่วเจิ้งหั่วย่นหัวคิ้ว ไม่เหลือบแลเจ้าของเสียง แต่มองหาหญิงสาวที่ถูกเจ้ายักษ์นั่นบดบัง พร้อมพูดว่า “จิวอิน เจ้าไม่ยินยอมแต่งงานกับข้า แต่ยอมแต่งให้กับคนเถื่อนแบบนี้หรือ ตาต่ำไปหน่อยหรือไม่”
“ยินยอมหรือไม่สำคัญด้วยหรือ รู้เพียงว่านางเป็นของข้าก็พอแล้ว” เซี่ยหลิ่งเฟยโต้กลับ เสียงทุ้มห้าวกว่าเดิม
หนิ่วเจิ้งหั่วขมวดคิ้ว คราวนี้เขาไม่เหลือบตามองผู้ชายหยาบกระด้างซึ่งแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของเจียงจิวอินไม่ได้ ทว่าพอได้พิจารณาผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนขวางหน้าเจียงจิวอิน มองดูหุ่นที่ใกล้เคียงกับตน และดูเหมือนคนคนนี้ยังมีอายุที่น่าจะไล่เลี่ยกับตนอีกด้วย หนิ่วเจิ้งหั่วยิ่งรู้สึกว่าคุ้นเคยมาก
เขาหรี่ตาถาม “เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรพูดกับข้าเช่นนี้”
เซี่ยหลิ่งเฟยแค่นหัวเราะในลำคอ ท่าทางหยาบกระด้างกว่าเดิม “แม้แต่สหายเก่าเจ้าก็ลืมแล้วหรือ”
พอได้ยินคำว่า ‘สหายเก่า’ หนิ่วเจิ้งหั่วเพ่งตามองชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง เขาเงียบคิด
ชั่วครู่ผ่านไป ในที่สุด หนิ่วเจิ้งหั่วก็เบิกตาโต พูดขึ้นว่า “เป็นเจ้าเองหรือ เซี่ยหลิ่งเฟย!”
พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สายตาของหนิ่วเจิ้งหั่วยิ่งแสดงออกว่าอยากเชือดให้ฝ่ายนั้นตายๆ ไปเสีย
เซี่ยหลิ่งเฟยก็เช่นกัน เขาไม่เคยหวั่นกลัวท่าทางกดดันของใครมาก่อน ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะมียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตสักแค่ไหน ชายหนุ่มจ้องมองหนิ่วเจิ้งหั่วกลับอย่างไม่เกรงกลัว
บัดนี้ สายตาของชายหนุ่มทั้งสองแสดงออกว่าอยากฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย
เจียงซูเจ๋อส่ายหน้า ห้ามศึกระหว่างสหายเก่าทั้งสอง “พอเถอะๆ วัยหนุ่มนี่เลือดร้อนกันจังเลยนะ”
หนิ่วเจิ้งหั่วพูดขึ้นก่อน “ท่านอาเจียง ท่านปฏิเสธแม่สื่อของข้าที่มาสู่ขอจิวอิน แต่กลับอนุญาตให้นางแต่งงานกับเซี่ยหลิ่งเฟยที่มีบิดาคดโกงแบบนี้ ข้าขอคำอธิบาย”
เจียงซูเจ๋อตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ “แม่ทัพหนิ่ว อย่าพูดเช่นนี้เลย แม่ทัพเซี่ยเป็นสหายของข้า คดโกงหรือไม่ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี ส่วนเรื่องของจิวอินนั้น นางเป็นคู่หมายของหลิ่งเฟยมานานแล้ว ข้าพูดเช่นนี้ แม่ทัพ
หนิ่วคงเข้าใจดีนะ”
“ข้าไม่เข้าใจ และยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้” หนิ่วเจิ้งหั่วดื้อรั้น ดึงดันจะเอาในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน “ท่านอาเจียง ข้าชอบจิวอินมาตั้งแต่เด็ก อีกอย่างตลอดเจ็ดปีมานี้ ข้าเกี้ยวพานางมาตลอด แต่เซี่ยหลิ่งเฟยเล่า ไปอยู่เสียที่ไหน”
เซี่ยหลิ่งเฟยขบกรามแน่น ย้ำว่า “นางเป็นของข้า” มีเรื่องนี้เท่านั้นที่เขามีสิทธิ์
หนิ่วเจิ้งหั่วมือกุมด้ามดาบที่เหน็บข้างเอว
เจียงซูเจ๋อคาดเดาบรรยากาศเช่นนั้นออก จึงรีบพูดขึ้นว่า “จิวอินเป็นคู่หมายของหลิ่งเฟย เรื่องนี้ไม่เปลี่ยนแปลง และเห็นแก่ที่ข้ากับบิดาเจ้าเป็นสหายกัน ขอแม่ทัพหนิ่วตัดใจเสียเถอะ”
หนิ่วเจิ้งหั่วส่ายหน้า ลดมือจากด้ามดาบประกาศว่า “ข้าไม่ตัดใจจากจิวอิน” พูดจบ เขาตวัดตัวขึ้นหลังม้า และควบขี่ออกไป