บทที่ 4
ต่อเมื่อชายหนุ่มและผู้สูงวัยสนทนาเรื่องสำคัญจบแล้ว เจียงซูเจ๋อก็เดินนำเซี่ยหลิ่งเฟยออกมาจากห้องหนังสือ และตรงไปยังห้องโถง
แต่ทว่า เมื่อพวกเขามาถึงกลับไม่พบเจียงจิวอิน พบเพียงเจียงฮูหยินที่เดินกลับไปกลับมา สีหน้าครุ่นคิดไม่ตก
เจียงฮูหยินเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องโถงก็รีบก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหยุดยืนตรงหน้า มองเขาด้วยสายตาประหนึ่งมารดาคิดถึงบุตร ซ้ำยังลูบใบหน้าสากกระด้างและไหล่แน่นหนั่นของชายหนุ่มไม่หยุด “หลิ่งเฟย ไม่เจอเจ้าถึงเจ็ดปี เจ้าโตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วหรือ ดีเหลือเกินที่เจ้าสบายดี แล้วแม่ของเจ้าเล่า เซี่ยฮูหยิน นางเป็นเช่นไรบ้าง”
เซี่ยหลิ่งเฟยอ้าปากกำลังจะตอบ แต่เจียงซูเจ๋อกระแอมขัดจังหวะเสียก่อน
“ฮูหยิน เรื่องนี้ข้าจะบอกต่อเจ้าเอง ให้หลิ่งเฟยได้พบจิวอินเถิด พวกเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกัน”
เจียงฮูหยินเห็นสีหน้าของสามีก็พอเดาเรื่องราวที่สามีกำลังจะบอกต่อจากนี้ได้ นางขมวดคิ้ว สีหน้าสลดลงกว่าเดิม ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับเซี่ยหลิ่งเฟยและพูดว่า “ข้าจะให้สาวใช้นำทางเจ้าไปหาจิวอิน ตอนนี้นางน่าจะอยู่ที่ห้องของนาง”
เซี่ยหลิ่งเฟยประสานมือค้อมศีรษะให้กับเจียงฮูหยินพร้อมบอกว่า “ขอบคุณท่านอาหญิง”
เจียงฮูหยินหันไปบอกสาวใช้ประจำตัวของนาง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินตามสาวใช้นางนั้นออกจากห้องโถงไป
บ้านสกุลเจียงไม่นับว่ากว้างใหญ่มากและไม่ได้คับแคบเกินไป เพียงเดินออกจากห้องโถง และเดินตัดสวนก็จะพบเรือนหลังเล็ก ที่นั่นก็คือเรือนพักของคุณหนู
หลังจากสาวใช้ของเจียงฮูหยินเดินนำเซี่ยหลิ่งเฟยมาหยุดอยู่หน้าเรือนของเจียงจิวอิน สาวใช้นางนั้นย่อกายคำนับให้เขา ก่อนจะเดินจากมาทันที
เซี่ยหลิ่งเฟยก้าวเท้าไปหยุดอยู่หน้าประตูเรือน เรียกคนด้านในด้วยเสียงทุ้มห้าว “จิวอิน?”
เงียบ...
ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน แต่สัญชาตญาณบอกเซี่ยหลิ่งเฟยว่านางอยู่ในนั้น
เขาพูดต่อ “จิวอิน ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในนั้น หากเจ้าไม่เปิดประตู ข้าจะพังประตูแล้วเข้าไปเดี๋ยวนี้”
นางเงียบ ไม่ตอบคำ
“จิวอิน!”
เสียงเรียกกลายเป็นเสียงคำราม แต่ด้านในก็ยังคงมีแต่ความเงียบ
เซี่ยหลิ่งเฟยไม่ใช่คนชอบข่มขู่ ในเมื่อเขาพูดแล้วว่าจะพังประตูเข้าไปก็คือต้องเข้าไปด้วยวิธีนั้น เขาตัดสินใจแล้วจึงเอื้อมมือออกไปเตรียมผลักประตูไม้
ทว่าประตูไม้ถูกเปิดจากด้านใน
ตอนนี้เอง ชายหนุ่มหญิงสาวจึงเผชิญหน้ากันตรงๆ
ตั้งแต่เด็ก ใบหน้าของเจียงจิวอินก็มีเคร้าโครงความงามอยู่แล้ว ไม่นึกว่าพอโตขึ้น นางจะงดงามจนทำให้เขาไม่สามารถผละสายตาออกไปได้
จ้องมองกันไปมาอยู่พักใหญ่ หญิงสาวได้สติขึ้นมาก่อน นางหลุบตาลงต่ำ ถามชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบเฉย
“เซี่ยหลิ่งเฟย ท่านสบายดีนะ”
เซี่ยหลิ่งเฟยดึงสติกลับ พยักหน้าตอบ “สบายดี แล้วเจ้าเล่า สบายดีหรือไม่”
“ข้าสบายดี”
สิ้นคำตอบของนาง บรรยากาศรอบกายของทั้งสองก็ตกอยู่ในความเงียบ
สายลมเจือกลิ่นบุปผาที่ปลูกรอบเรือนพัดเข้ามากระทบจมูก ชายหนุ่มมีสายตาอ่อนเชื่อมกว่าเดิม ช้านาน เขาถึงเอ่ยชื่อของหญิงสาว
“จิวอิน”
นางคล้ายสะดุ้งเล็กน้อย ส่งเสียงตอบว่า “เจ้าคะ?”
“ข้ามาเพื่อรับเจ้า”
ได้ยินคำนั้น หญิงสาวช้อนตามองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ท่านว่าอะไรนะ”
เซี่ยหลิ่งเฟยพูดย้ำ “ข้ามาเพื่อรับเจ้า”
“ทำไม”
“ข้าจะแต่งงานกับเจ้า”
นางเอียงศีรษะ ขมวดคิ้วมุ่น ยังทำความเข้าใจไม่ทัน
ชายหนุ่มเห็นสีหน้าเช่นนั้นของนางจึงตีความหมายว่านางกำลังดูแคลนเขา จึงแค่นยิ้ม พูดเสียงกระด้างว่า “เจ้าไม่อยากแต่งงานกับคนที่มีมลทินอย่างข้าสินะ แต่นี่เป็นคำสั่งของผู้ใหญ่ เจ้าจะปฏิเสธไม่ได้”
เจียงจิวอินอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเขาจะพูดจาโหดร้ายต่อนางเช่นนี้ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ยามนางเดือดร้อนหรือทุกข์ใจข้างกายของนางจะมีเขาอยู่ด้วยเสมอ ถึงนางและนางจะอายุเท่ากัน แต่ในสายตาของนาง เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่นางสามารถพึ่งพาได้
แต่ทว่า เจ็ดปีมานี้นางคิดถึงเขาทุกวัน แต่สำหรับเขาแล้ว เจ็ดปีที่ผ่านมาอะไรเป็นเหตุทำให้เขาเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้!
โดยไม่รู้เลยสักนิด ภายใต้สีหน้าตกตะลึงของเจียงจิวอิน มีความคะนึงหาซุกซ่อนอยู่
เซี่ยหลิ่งเฟยยังคงเข้าใจผิด คิดว่านางรังเกียจตน ใบหน้าคมเข้มจึงยิ่งกระด้างขึ้น “ถึงเจ้าไม่อยากแต่งกับข้า แต่ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้ว อย่างไรเจ้าก็ต้องแต่ง อีกอย่างข้ามาเพื่อบอกเจ้าว่าวันพรุ่งพวกเราต้องออกเดินทางทันที”
เจียงจิวอินกะพริบตาถี่ ทวนคำพูดของเซี่ยหลิ่งเฟย และย้อนถามว่า “แต่งงาน? วันพรุ่ง? นี่มันอะไรกัน”
ชายหนุ่มไม่ตอบ บอกเพียงแค่ว่า “พรุ่งนี้เจ้าก็จะรู้เอง”
“ข้าไม่รู้” นางโต้กลับ “ท่านหายไปเจ็ดปี ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรข้าล้วนสับสนไปหมด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของวันพรุ่งนี้... วันนี้ ตอนนี้ ท่านจะหายไปจากชีวิตข้าอีกหรือไม่”
คำถามของนางเหมือนค้อนหนักๆ ที่กระแทกใส่กลางอกเขา
จริงสิ คนที่หายไปจากชีวิตของนางก่อนก็คือเขา สมควรอยู่หรอกที่นางจะเกิดความสับสน
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก พยายามทำใจให้เย็นลง จากนั้นอธิบายให้นางฟังตั้งแต่ต้นจบจบ
“จิวอิน ข้ามาที่นี่ก็เพื่อตั้งใจมาสู่ขอเจ้า พิธีการต่างๆ ถูกจัดเตรียมแล้วที่สำนักคุ้มภัยวิหคเหิน แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่านอาเจียงเมื่อครู่ จึงรู้ว่าเจ้ากับข้ามีพันธะหมั้นหมายกันก่อนแล้ว ดังนั้นการแต่งงานของเราเป็นความเห็นชอบของผู้ใหญ่เช่นกัน”
หญิงสาวตาโต อึ้งงันอยู่บ้าง ทว่าวินาทีต่อมา นางกะพริบตาถี่ๆ พร้อมลำดับความเข้าใจของตน “ข้ามีพันธะหมั้นหมายกับท่าน แล้วตอนนี้ ท่านก็มาเพื่อรับข้า เพื่อกลับไปที่สำนักคุ้มภัยวิหคเหิน ข้าเข้าใจถูกต้องหรือไม่”
เขาพยักหน้าตอบ “ถูกต้องทั้งหมด”
นางเงียบ
ชายหนุ่มจึงพูดต่อ “ความเงียบของเจ้าอาจทำให้ข้าตีหมายไปว่า เจ้าไม่อยากแต่งงานกับข้า”
เจียงจิวอินช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่ม “ข้าจะคิดอะไรก็เป็นสิทธิ์ของข้าไม่ใช่หรือ เช่นเดียวกัน ท่านอยากคิดอะไร นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน”
คำพูดคล้ายไร้ซึ่งเยื่อใยของนางทำให้เซี่ยหลิ่งเฟยหรี่ตา เรียกชื่อนางด้วยเสียงที่รอดไรฟัน “จิวอิน”
นางถามกลับอย่างไม่รู้ชะตาของตน “มีอะไรหรือ”
พลันนั้น ชายหนุ่มเอื้อมมือทั้งสองข้างออกมา ทำท่าเหมือนว่าจะตะปรบนางประหนึ่งราชสีคุกคามเหยื่อ แต่ชั่ววินาทีหนึ่งที่เหมือนเขาครุ่นคิดได้ว่าการทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม เขาจึงหดมือกลับ ขบกรามแน่นจนเห็นรอยปูดโปน
“ข้าจะบอกเจ้าหนึ่งประโยค ต่อให้เจ้าไม่อยากแต่งกับข้า เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
ท่ามกลางสีหน้าประหลาดใจของหญิงสาว เซี่ยหลิ่งเฟยเมื่อพูดจบก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่งขึ้นมาเชยคางของนาง จากนั้นก้มหน้าลงจูบปากของนางแรงๆ
นางตาโตด้วยความตะลึงอีกคำรบหนึ่ง ทว่าในความตะลึงงันนี้ กลับมีความอุ่นอวลกำจายอยู่ในอก และมันแผ่ลามไปทุกสัดส่วนของร่างกายจนชาหนึบ
ครั้นจะดิ้นรนขัดขืนก็ทำไม่ได้ เพราะนี่เป็นความรู้สึกลึกๆ ในใจนาง
เจียงจิวอินหลับตาซึมซับจูบของเขา
เซี่ยหลิ่งเฟย ต่อให้คำพูดของท่านจะทำร้ายจิตใจของข้า แต่ข้าไม่รังเกียจท่าน... ไม่มีวัน