3 ไม่มีก็ต้องหา
“เก่งมากเลยน้องชายพี่ แบบนี้ต้องฉลองกันหน่อยแล้ว” ปุณณิศามองผลการสอบคัดเลือกเขาเรียนของน้องชายแล้วกล่าวชมด้วยความดีใจ
“แม่ก็ดีใจด้วยนะปั้น ลูกแม่เก่งมากๆ เลย”
“แต่ผมต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่นนะครับแม่” ปุณณพัฒน์รีบบอกพี่สาวกับมารดา
“จริงเหรอลูก แบบนี้แม่ก็คุยโม้ได้ทั้งตลาดแล้วสิว่าลูกชายของแม่จะได้ไปเรียนเมืองนอก” ปนัดดายิ้มด้วยปลาบปลื้ม
แม้เธอจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แทบไม่มีเวลาดูแลลูกเลย แต่ลูกทั้งสองคนก็ไม่เคยทำให้ต้องเสียใจเลยสักครั้ง ปุณณิศาลูกสาวคนโตเรียนครุศาสตร์เพราะเธออยากจะเป็นครู ส่วนลูกชายคนเล็กก็เพิ่งสอบชิงทุนเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้
“ผมคิดว่าจะสละสิทธิ์ครับแม่”
“อะไรนะปั้น” ปนัดดาตกใจ
“ผมจะสละสิทธิ์ครับแม่” ปุณณพัฒน์ย้ำอีกครั้ง
“ทำไม่ละปั้น พี่เห็นเราอ่านหนังสือเตรียมสอบตั้งนานนะ นั่นความฝันของเราเลยนะ มีอะไรหรือเปล่าบอกพี่กับแม่มานะ” ปุณณิศามองหน้าน้องชายอย่างสงสัย
“ผมได้ทุนไปเรียนก็จริงครับ แต่ก่อนไปผมก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงนั้นฟังดูไม่สดใสสมกับคนที่เพิ่งสอบชิงทุนได้เลยสักนิด
“ปั้น แม่ไม่เข้าใจหรอกนะว่าเตรียมตัวที่ว่ามันคืออะไร แล้วทำไมเราถึงต้องสละสิทธิ์ด้วย มีคนตั้งเยอะแยะที่เขาอยากจะได้ทุนเหมือนปั้นนะลูก”
“แม่ครับ พี่ปุณครับ รุ่นพี่ที่เคยไปเรียนเขาบอกว่าก่อนไปเราต้องเรียนภาษาเพิ่ม ไหนจะเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวที่ต้องเตรียมไปอีก ผมว่าค่าใช้จ่ายมันเยอะเกินไป”
“เรื่องแค่นี้เอง พี่พอมีเงินเก็บเดี๋ยวพี่ช่วยเองนะไม่ต้องห่วงหรอก”
“ยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนเดี๋ยวแม่จะทำขนมไปขายเพิ่ม ยังไงแม่ก็จะหาเงินให้ปั้นได้ไปเรียนแน่ๆ”
“ผมว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ให้คนที่เขาพร้อมไปดีกว่าครับแม่”
“ถ้าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันทำไมปั้นถึงได้ตั้งใจจะสอบชิงทุนตั้งแต่แรกล่ะ แล้วโอกาสดีๆ แบบนี้ถ้าปั้นไม่รีบคว้าไว้พี่ว่าปั้นจะมานั่งเสียใจทีหลังนะ เราเสียเงินแค่ส่วนหนึ่งแต่มันก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ปั้นจะได้เรียนรู้นะ”
“ผมก็แค่ลองสอบไม่คิดว่าตัวเองจะได้”
“พี่รู้ว่าปั้นอยากไปเรียนที่นั่น ถึงได้ตั้งใจอ่านหนังสือ เรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่กับแม่จะจัดการเอง”
“แต่มันเยอะนะครับพี่ปุณ แค่ค่าเรียนภาษาแบบเร่งด่วนคอร์สหนึ่งก็เกือบหมื่นแล้วครับแม่”
“แล้วมันต้องเรียนกี่คอร์สล่ะปั้น” ปุณณิศาถามน้องชายเพราะเธอเองก็ไม่รู้เรื่อง
“รุ่นพี่บอกว่าต้องเรียนอย่างน้อยสองคอร์สเพราะเวลาไปที่นั่นจะได้มีปัญหาเวลาเรียน ไหนจะต้องเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มอีก ผมว่างานนี้แค่ค่าเรียนอย่างเดียวก็คงไม่ต่ำกว่าสามหมื่นแน่ๆ ไหนจะค่าเสื้อผ้าของใช้อีก ผมว่ามันมากเกินไป ครอบครัวเราไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้นนะครับ” เด็กหนุ่มรู้ดีว่าสภาพการเงินของบ้านตนเองนั้นเป็นอย่างดี ที่เขาไปสอบชิงทุนก็คิดว่าจะได้ช่วยประหยัดค่าเรียนแต่ก็ไม่คิดมาก่อนว่าก่อนไปเรียนต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ด้วย
“แม่ไหวจ้ะ ปั้นไปหาที่เรียนภาษาเพิ่มได้เลย”
“ช่วงนี้ปิดเทอมตั้งสี่เดือนพี่จะหางานพิเศษเพิ่ม ปั้นอย่ากังวลไปเลย ตัวเองมีหน้าที่เรียนก็เรียนให้เต็มที่อย่าให้สิ่งที่เราลงทุนลงแรงไปหลายเสียเปล่า”
“แต่...”
“เชื่อแม่นะปั้น แม่กับพี่บอกว่าไหวก็คือไหว”
“ครับแม่ ถ้าอย่างนั้นผมขอไปคุยกับรุ่นพี่ก่อนว่าต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ขอบคุณนะครับแม่ ขอบคุณนะครับพี่ปุณ”
พอปุณณพัฒน์วิ่งเข้าบ้านไปแล้วปนัดดากับปุณณิศาก็มองหน้ากันแล้วถอนหายใจ
“แม่คะ หนูมีเงินเก็บอยู่ประมาณสองหมื่น ให้ปั้นเอาไปเรียนภาษาก่อนนะคะ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เหลือเดี๋ยวหนูเบิกค่าแรงล่วงหน้าจากพี่อรและเจ๊ช่อ” ปุณณิศาหมายถึงเจ้าของร้านกาแฟและร้านหมูกระทะที่เธอทำงานอยู่
“นั่นมันเงินค่าเทอมของหนูนะปุณ”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ อีกสี่เดือนกว่าจะเปิดเทอมเรายังพอมีเวลาหาค่ะ”
“ถ้ารวมกับเงินเก็บของแม่ก็คงจะพอ”
ปนัดดามีเงินเก็บสำรองอยู่ไม่มาก เพราะเธอต้องส่งลูกเรียนถึงสองคน ไหนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบที่แอบไปกู้มาอีก ซึ่งเรื่องนี้ปุณณิศาและปุณณพัฒน์ไม่รู้
ปนัดดาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่ก่อนเธอเป็นพนักงานอยู่ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เงินเดือนก็พอส่งเสียให้ลูกทั้งสองคนเรียนได้ แต่เมื่อปีก่อนบริษัทประสบปัญหาขาดทุนจึงบีบให้พนักงานออกและเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากถูกให้ออกปนัดดาก็มาทำขนมขาย
เวลาเช้าเธอจะขายขนมหวานในตลาด พอสายหน่อยก็กลับมาเตรียมของไปขายที่หน้าโรงเรียน เวลาว่างก็จะทำขนมเค้ก คุกกี้หรือพวกแซนด์วิชไปฝากขายตามร้านกาแฟ เธอทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มรายได้ แต่มันก็ยังไม่ทันกับรายจ่าย
แม้ว่าปุณณิศาลูกสาวคนโตจะไปทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟในวันหยุด ส่วนตอนเย็นก็ไปเป็นเด็กเชียร์เบียร์ที่ร้านหมูกระทะของเจ๊ช่อซึ่งอยู่ถัดจากบ้านของเธอไปเพียงซอยเดียวเท่านั้น
ที่ทุกคนพยายามหาเงินเพื่อให้ปุณณพัฒน์ได้ไปเรียนต่างประเทศก็เพราะรู้ว่าเขาเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน ที่ผ่านมาปุณณพัฒน์ไม่เคยเสียเงินค่าเรียนพิเศษที่ไหนเลย แต่เขาก็ยังมุมานะจนสามารถสอบชิงทุนได้ ปนัดดาเลยไม่อยากให้ลูกชายเสียโอกาส เพราะการจะไปเรียนต่างประเทศนั้นเป็นความฝันของลูกชายมาตั้งแต่เด็ก
ถ้าเงินที่มีมันไม่พอค่าใช้จ่าย ปนัดดาก็คงจะไปยืมเจ๊น้ำซึ่งเป็นเจ้าของตลาดเพิ่ม ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะโหดไปหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเงินพอให้ลูกชายไปเรียน เพราะค่าใช้จ่ายพวกนี้คงจะจ่ายแค่ก่อนไปเพียงครั้งเดียว พอได้ไปเรียนที่นู่นค่าใช้จ่ายทุกอย่างทางโรงเรียนเจ้าของทุนก็จะจ่ายให้ แม้ต้องแลกด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มีและต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาให้ ปนัดดาก็คิดว่ามันคุ้มค่ากับอนาคตของลูกชาย