บทที่ 3 เจ้าสาวมัจจุราช 1.2
ผู้พูดดูเหมือนจะเป็นคนจอมเผด็จการที่ทุกคนต้องทำตามโดยไม่มีข้อแม้ พอภวินทร์พูดจบก็เดินนำคู่บ่าวสาวไปยังแขกผู้มีเกียรติเพื่อทักทายและกล่าวขอบคุณที่มาร่วมงาน โดยมีร่างของธาริณีกับพริ้งเพราเดินตามไป
พิธีแต่งงานของกรวกินทร์กับแพรวพรรณรายเป็นไปด้วยดี แขกที่มาร่วมงานในช่วงเช้าอาจจะไม่มากนักราวหนึ่งร้อยกว่าคนเห็นจะได้ เนื่องจากแขกที่เชื้อเชิญไปจะมาร่วมงานฉลองมงคลสมรสมากกว่า ช่วงเช้าก็จะเป็นญาติและเพื่อนฝูงของครอบครัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว
ตลอดงานในช่วงเช้ากรกวินทร์กับแพรวพรรณรายกลายเป็นนักแสดงจำเป็นและทำได้อย่างดีเยี่ยมตามที่บุพการีของทั้งสองกำชับแล้วกำชับอีก แสร้งทำสีหน้ายิ้มแย้มประหนึ่งดีใจเป็นหนักหนาที่ได้แต่งงานกัน รูปถ่ายทุกรูปที่ถ่ายคู่กัน ใบหน้าของทั้งคู่จะเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม แม้แต่ตอนที่ถ่ายกับบุคคลอื่นทั้งคู่ก็ฉีกยิ้มกว้าง ทว่าในใจข่มขื่นยิ่งนัก
ภวินทร์กับพริ้งเพรารู้สึกพอใจกับลูกของตัวเองที่เชื่อฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ทำให้ทั้งคู่ขายหน้า คงจะมีเพียงธาริณีที่รู้ดีว่า ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มมีความทุกข์ระทมข่มขื่น นางอดที่จะสงสารทั้งคู่ไม่ได้ แต่ก็เข้าขัดขวางงานวิวาห์ในครั้งนี้ไม่ได้เช่นกัน
หลังจากเสร็จพิธีรดน้ำสังข์ก็ถึงพิธีสำคัญของงานอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือการจดทะเบียนสมรส เจ้าหน้าที่จากเขตอำนวยความสะดวกเดินทางมาจดทะเบียนนอกสถานที่ พอถึงเวลาพิธีสำคัญอีกพิธีหนึ่งก็เริ่มขึ้น
“เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวเซ็นตรงช่องว่างนี้นะครับ” เจ้าหน้าที่จากเขตเอ่ยบอกจุดที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องกำกับชื่อลงไป
กรกวินทร์ถือปากกาค้างปลายปากกาอยู่ห่างจากช่องที่เซ็นไม่ถึงสองเซ็นติเมตร มองดูใบสำคัญที่เขาจะต้องเซ็นชื่อกำกับนิ่ง จ้องมองไปยังชื่อของคู่สมรสที่เขาอยากจะเปลี่ยนเป็นชื่อนิสารัตน์ วรปรีดาเหลือเกิน แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ หัวอกของกรกวินทร์ตรอมตรมยิ่งนัก
“เซ็นสิทัช มัวแต่ถือปากกาค้างอยู่นั่นแหละ ดีใจจนมือแข็งหรือไง”
จอมบงการกระตุ้นลูกชายคนโต เจ้าบ่าวตวัดสายตามองผู้พูดเพียงนิด ก่อนจะตัดใจเซ็นชื่อลงในกระดาษแผ่นนั้น หลังจากที่กรกวินทร์เซ็นเสร็จก็ถึงคราวที่แพรวพรรณรายจะต้องเซ็นบ้าง
ภวินทร์กับพริ้งเพรามองดูการจะทะเบียนสมรส พิธีการลำดับสุดท้ายของงานในช่วงเช้าด้วยรอยยิ้มแห่งความพอใจ ในที่สุดแผนการของทั้งสองที่วางไว้สำเร็จไปได้ด้วยดี แผนการที่จะไม่มีหญิงสาวคนใดมาช่วงชิงทรัพย์สมบัติของตระกูลเดชาพิพัฒน์ไปจากลูกชายของเขาได้
เป็นอันว่าพิธีการต่างๆ ในช่วงเช้าเสร็จสิ้นลงด้วยดี คงจะเหลือเพียงงานในช่วงเย็นที่คงต้องเหนื่อยกันหนักหน่อย เนื่องจากแขกที่มาร่วมงานจะต้องหนาตาตามฐานะของเจ้าของงาน
งานเลี้ยงช่วงค่ำ
ห้องแกรนบอลลูนของโรงแรมฟลุทาวน์ดูเล็กไปถนัดตา เมื่อจำนวนคนที่อยู่ในห้องเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองมลคลสมรสในขณะนี้นับคร่าวๆ ทางสายตาก็ร่วมแปดร้อยคน และท่าว่าแขกจะไม่หยุดที่จำนวนนี้
นอกจากจะเป็นญาติสนิทจากทั้งสองฝ่าย แขกที่มาร่วมงานยังมีหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง บุคคลที่มีชื่อเสียงทางสังคม นักธุรกิจหลายแขนง รวมทั้งเพื่อนฝูงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวและที่ขาดไม่ได้เลยคือนักข่าวที่แชะบรรยากาศของงานแทบไม่ทัน
ดัตถพงศ์นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงด้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านคือหนึ่งเพื่อนสนิทของกรกวินทร์ที่มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ ซึ่งเขาก็รู้ดีว่า เจ้าบ่าวไม่เต็มใจที่จะร่วมงานวิวาห์ แต่ที่ยอมเพราะขัดบิดาและคำขอร้องของมารดาไม่ได้ เขาเดินมาหาคู่บ่าวสาวที่ยืนอยู่ตรงซุ้มดอกไม้ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามในมือถือกล่องของขวัญที่ตั้งใจนำมาให้ทั้งคู่
“ดีใจด้วยนะทัช”ดัตถพงศ์แม้จะรู้ว่า เจ้าบ่าวไม่เต็มใจแต่งงาน ทว่าตามมารยาทเขาจำเป็นต้องพูดประโยคนี้
“ขอบใจเพื่อน” กรกวินทร์รับน้ำใจจากเพื่อนสนิท “แต่ฉันไม่เห็นจะดีใจเลยที่ได้แต่งงาน ตรงกันข้ามเสียใจมากกว่า มันเหมือนกับตัวเองตกอยู่ในขุมนรกยังไงบอกไม่ถูก” ผู้พูดปรายตาไปยังหน้าของเจ้าสาวที่ตวัดสายตามองคนตัวสูงกว่าพอดี
“คิดเหมือนกันเลยค่ะคุณทัช แพรวเองก็รู้สึกว่าตัวเองตกลงไปในขุมนรกที่ทั้งมืดและหาทางออกไม่เจอ จะต้องติดอยู่ในนั้นไปจนวันตาย คิดแล้วก็เศร้าใจเหลือเกินที่ต้องอยู่ร่วมกับคุณในขุมนรกนั้น”
นิสัยของแพรวพรรณรายอย่างหนึ่งที่กรกวินทร์ไม่รู้คือ เธอเป็นคนไม่ยอมคน ใครแรงมาเธอแรงกลับ คงจะมีเพียงพริ้งเพรากับเดือนดาราเท่านั้นที่เธอยอม แล้วยิ่งมาได้ยินคำพูดของเจ้าบ่าวที่ขัดหูเสียเหลือเกิน มีหรือที่เธอจะทนนิ่งเฉยไม่ตอบโต้กลับ และคำพูดนี้ก็ตรงกับความรู้สึกของเธอด้วย
“ถ้าฉันเลือกได้ ฉันไม่มีวันแต่งงานกับเธอเด็ดขาด ยิ่งอยู่ใกล้เธอ ตัวฉันร้อนไปหมดเหมือนอยู่ใกล้กองไฟไม่มีผิด จนฉันอยากจะเดินห่างเธอไปหลายๆ โยชน์หรือไม่ก็ไม่ต้องพบเจอกันได้ยิ่งดี”
ตลอดทั้งวันมานี้ ทั้งสองไม่ได้พูดกันเลยสักคำ แม้แต่มองหน้ากันยังน้อยนัก จะมองหน้าและยิ้มให้กันก็ต่อเมื่อแสดงละครต่อหน้าบุคคลอื่น พอแสดงเสร็จก็เหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน แต่พอได้สนทนากันกลับกลายเป็นว่าทั้งคู่กำลังทะเลาะกันมากกว่า
“แหม คุณนี่พูดตรงกับความรู้สึกของฉันเหลือเกิน ฉันเองก็ไม่อยากอยู่ใกล้คุณเท่าไหร่นักหรอก อยู่ใกล้คุณ ฉันรู้สึกว่า ตัวเองอยู่ใกล้อุจจาระที่ส่งกลิ่นเหม็น น่ารังเกียจและขยะแขยง อยากจะแหวะใส่มากกว่า”
แพรวพรรณรายไม่ได้พูดให้กรกวินทร์หน้าชาเท่านั้น สีหน้าของเธอยังแสดงทีท่าว่ารังเกียจเขาอีกด้วย คนที่ถูกเปรียบเทียบเป็นของเน่าของเสียถึงกับหน้าดำหน้าแดงจากแรงโทสะ กำมือแน่น ขบฟันจนเกิดเสียงกรอดๆ ฝ่ายเจ้าสาวก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยืนฉีกยิ้มให้แขกผู้มาร่วมงานต่อไป
ดัตถพงศ์เห็นคู่บ่าวสาวที่แรงพอๆ กันแล้วถึงกับส่ายหน้า งานวิวาห์ที่ไม่ได้มาจากความรักของทั้งคู่สร้างความข่มขื่นมากพอแล้ว แต่นี่ยังสร้างความเกลียดชังเพิ่มเข้าไปอีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชีวิตสมรสของกรกวินทร์กับแพรวพรรณรายจะออกมาในรูปแบบไหน คงไม่พ้นหย่าร้างเข้าสักวัน
ในทางกลับกันหากเจ้าสาวไม่ใช่แพรวพรรณราย แต่เป็นอีกคนหนึ่งที่เจ้าบ่าวผูกใจรัก งานในวันนี้คงสมบูรณ์มากขึ้น จะมีกลิ่นอายของความสุขอบอวล ไม่ใช่มลภาวะเป็นพิษเช่นนี้แล้วชีวิตคู่ของกรกวินทร์ก็จะยืนยาวจนแก่เฒ่า
หญิงสาวอีกคนที่ว่านี้คือนิสารัตน์ หรือฟ้า ดารานักแสดงหญิงชื่อดังของเมืองไทย เธอเป็นนางเอกระดับแถวหน้าของวงการบันเทิง มีหนัง ละคร งานถ่ายแบบและงานพรีเซ็นเตอร์ไม่ขาดสาย เธอเป็นคนรักของกรกวินทร์ที่คบหาดูใจกันมาร่วมหนึ่งปี ทุกคนในแวดวงต่างรับรู้ความหวานของทั้งคู่และคาดคิดว่าน่าจะมีข่าวดีในไม่ช้า แต่อยู่ๆ กรกวินทร์ก็มาวิวาห์ฟ้าแลบกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งส่งผลให้นิสารัตน์ตกเป็นหัวข้อข่าวใหญ่อยู่หลายวัน
งานวิวาห์ดำเนินต่อไปด้วยดี แม้ว่ากรกวินทร์กับแพรวพรรณรายจะมีความชิงชังต่อกัน แต่ทว่าทั้งคู่ก็ไม่ได้ทำให้บุพการีผิดหวัง แสดงให้ทุกคนเห็นว่างานวันชื่นคืนสุขในวันนี้ ทั้งคู่ยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าหลายคนจะสงสัยว่า เหตุใดเจ้าสาวของงานไม่ใช่นิสารัตน์ นักแสดงลือชื่อที่คบหากันมานาน มีคนสงสัยแต่ไม่มีใครคิดจะถาม
หลังจากที่ส่งแขกคนสุดท้ายกลับ เจ้าบ่าวเจ้าสาวและครอบครัวก็เดินทางกลับไปยังบ้านเดชาพิพัฒน์ เพื่อส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอพิธีสุดท้ายของงาน
ห้องหอที่ว่านี้คือห้องของกรกวินทร์ที่ถูกตกแต่งใหม่เกือบทั้งหมด โดยที่เจ้าของห้องไม่ได้เต็มใจให้ปรับเปลี่ยนแม้แต่นิดเดียว แต่เป็นเพราะภวินทร์ จอมบงการและเสียงที่ใหญ่ที่สุดของบ้านเป็นคนจัดการ
บนเตียงนอนหนานุ่มราคาเหยียดแสนร่างของภวินทร์ธาริณีและพริ้งเพรานั่งอยู่ริมเตียง เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งพับเพียบอยู่บนพื้น
“พ่อรู้ดีว่า งานแต่งงานในครั้งนี้ทัชกับแพรวต่างก็ไม่เต็มใจ แต่พ่อกับแม่ของแพรวเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกทั้งสอง อย่าให้ความตั้งใจของพ่อผิดหวัง ทัชต้องดูแลเอาใจใส่แพรวให้ดีที่สุด อย่าคิดนอกใจแพรวเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพ่อจะไม่ให้อภัยทัชไปตลอดชีวิตและพ่อจะบอกไว้อย่างหนึ่งว่า ชีวิตคู่ของทัชกับแพรวจะไม่มีคำว่าหย่าร้าง รักษาชีวิตคู่ไปจนแก่เฒ่า พ่อขอให้ลูกทั้งสองจงมีความสุขในชีวิตคู่”
ภวินทร์ให้คำอวยพรเป็นคนแรก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คำอวยพรเสียทีเดียว มีการขู่กลายๆ เชิงเป็นคำสั่งรวมอยู่ด้วย
“ขอบคุณครับคุณพ่อ” กรกวินทร์กล่าวคำของคุณคำอวยพรของบิดา แม้ว่าจนเองจะไม่ปรารถนาจะรับมันก็ตาม
“ทัช แม่ขอให้ทัชมีความสุขนะลูก หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยซึ่งกันและกันนะ”
ธาริณีให้คำอวยพรเป็นคนที่สอง ซึ่งนางเองก็ไม่ได้กล่าวอะไรไปมากกว่านี้ เพราะรู้ดีว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คำว่าความสุขจะถอยห่างลูกชายคนโตของนางไปทุกที ใครเล่าจะมีความสุขกับชีวิตคู่ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคำว่ารัก
“ขอบคุณครับคุณแม่” เขากล่าวคำขอบคุณมารดา
“น้าฝากแพรวด้วยนะคะคุณทัช”
พริ้งเพราฝากฝังลูกสาวคนโตกับกรกวินทร์ ที่เวลานี้คือลูกเขยของนางและเป็นทายาทโดยชอบธรรมของตระกูลเดชาพิพัฒน์
“ครับคุณน้า” ตามมารยาทกรกวินทร์จำเป็นต้องเอ่ยคำนี้
“งั้นเราออกไปกันดีกว่านะ ทัชกับแพรวจะได้พักผ่อน”ภวินทร์พูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องโดยมีร่างของธาริณีกับพริ้งเพราเดินตามออกไป
ครั้นพออยู่กันตามลำพังความอึดอัดก็กระจายอยู่ทั่วห้อง กรกวินทร์ลุกขึ้นยืนจัดการถอดชุดสูท ตามด้วยเนคไท ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่พูดอะไรสักคำ ฝ่ายเจ้าสาวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งถอนหายใจอีกครั้งริมเตียง
อีกสิบห้านาทีต่อมาร่างสูงใหญ่ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ทั้งร่างกายมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวพันรอบเอวเพียงผืนเดียว อวดความบึกบึนของแผงอกกว้าง กล้ามเนื้อแขนขึ้นดูสมบูรณ์แข็งแรงสมกับชายชาตรี ใบหน้าของแพรวพรรณรายร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรงประหนึ่งว่ากำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่พบเห็น ก่อนที่เธอจะเบือนหน้าหนี หลบเลี่ยงความเขินอายที่เขาอาจจะมองเห็น
แต่กรกวินทร์ก็ไม่ได้สนใจแพรพรรณราย แม้แต่ชายตามองเขาก็ไม่คิดจะทำ ชายหนุ่มเดินไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนมาสวมใส่ เสร็จสรรพก็เดินมายังเตียงนอน เดินไปอีกด้านหนึ่งหยิบหมอนหนุนศีรษะมาไว้ในมือ จากนั้นก็เดินไปยังโซฟาตัวยาวแบบปรับนอนได้ที่ต่อไปนี้เขาจะยึดเป็นที่นอน ร่างสูงใหญ่วางหมอนบนโซฟาแล้วล้มตัวลงนอน ไม่สนใจเจ้าสาวของตนเลย
ไม่ใช่ว่าแพรวพรรณรายจะแคร์ที่สามีของตนไม่สนใจ มันเป็นการดีด้วยซ้ำที่ไม่ต้องตกลงหรือพูดอะไรกันมาก เขาทำให้เธอรู้ว่า ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างนอน เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะกลับมาที่เตียงอีกครั้งหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จสิ้น
ไฟในห้องหอดับลง มีเพียงความเงียบและความมืดทีเข้าปกคลุม แต่ทว่าร่างของข้าวใหม่ปลามันก็ไม่ได้หลับเหมือนกับที่อีกฝ่ายคิด ทั้งสองลืมตาโพลงอยู่ในห้วงความคิดของตน
แพรวพรรณรายกำลังคิดถึงอนาคตของตัวเอง การแต่งงานในครั้งนี้แลกมาซึ่งความฝันของเธอ หญิงสาวฝันว่าจะมีร้านอาหารเล็กๆ เป็นของตัวเอง แต่ทว่าพริ้งเพราไม่ยอมท่าเดียว และเมื่อมารดาบังคับให้ตนแต่งงานกับกรกวินทร์ เธอจึงยื่นข้อเสนอกับผู้เป็นแม่ว่า หากตนเองยอมแต่งงานเธอขอทำร้านอาหารตามที่ฝัน ซึ่งพริ้งเพราก็ยินยอมอย่างไม่น่าเชื่อ วันพรุ่งนี้แพรวพรรณรายจะเริ่มทำความฝันของตนเองเสียที
ฝ่ายกรกวินทร์ไม่ได้นึกถึงความในหรืออนาคตของตนเอง เขากำลังนึกถึงนิสารัตน์ อดีตคนรักของตนและเป็นหญิงสาวที่เขารักปานดวงใจ วาดหวังว่าจะได้อยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนไปจาแก่เฒ่า สุดท้ายความฝันก็ต้องพังทลาย เขาไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก กลับมาต้องวิวาห์กับคนที่ไม่ได้รักแทน กรกวินทร์คิดสะระตะถึงนิสารัตน์ ป่านนี้เธอจะเป็นเช่นไร จะจมอยู่กับความเสียใจหรือไม่ กรกวินทร์รู้คำตอบนั้นดี