เจ้าสาวมัจจุราช

0 · จบแล้ว
อัญญาณี
53
บท
14.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“เธอบอกว่าไม่สนใจใช่ไหมว่า เธอทนได้แม้ว่าฉันจะเกลียดเธอมากแค่ไหน อยากเป็นเมียของฉันมากถึงขนาดทนได้ทุกอย่างใช่ไหม”เขาถามเสียงเรียบ ใบหน้าถมึงทึง ดวงตาแข็งกร้าว ท่าทางของเขาเวลานี้ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย สายตาคุกคามของกรกวินทร์ทำให้เธอร้อนไปทั้งตัว และมีความกลัวอาบไปทั่วจิตใจ“ใช่ ฉันทนได้ ฉะนั้นคุณก็เลิกฝันได้แล้วว่าฉันจะหย่าให้คุณ” เธอตอบทั้งที่ใจหวาดหวั่น“ดี” เขาพูดเสียงหนักสืบเท้ามาหาร่างเล็กเนิบๆ “ในเมื่อเธออยากเป็นเมียของฉันจนตัวสั่น รู้ทั้งรู้ว่าฉันเกลียด ฉันก็จะช่วยสมนาคุณยอมเป็นผัวเธออย่างสมบูรณ์ให้ ดูสิว่าเธอจะทนได้สักกี่น้ำ”ดวงตาของแพรวพรรณรายเบิกกว้าง ดวงหน้าสาวซีดเผือดกับประโยคที่ได้ยิน ก้าวเท้าไปยังด้านข้างเพื่อออกตัววิ่งหนีร่างสูงใหญ่ที่โผเข้ามาใกล้ แต่ทว่าเธอก็แพ้ความไวของเขาที่อ้าแขนโอบรัดร่างเล็กไว้แน่น ก่อนจะก้าวเดินไปยังเตียงนอน ไม่สนใจว่าเธอจะร้องและดิ้นหนีเพียงใด“ปล่อยนะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคุณทัช คุณจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ ว้าย!”เธอร้องโวยวายเสียงดัง ก่อนที่เสียงอุทานตกใจจะดังตามมา เมื่อเขาเหวี่ยงร่างของเธอลงไปบนเตียง โดยร่างหนาคร่อมทับรวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างด้วยมือใหญ่ของเขาเพียงมือเดียว“ทำไมจะทำไม่ได้ ในเมื่อเธออยากเป็นเมียฉันจนตัวสั่น ฉันก็จะสนองให้ สนองอย่างหนักให้ลืมโลกไปเลย” เขาพูดเสียงเยาะ “สิ่งที่เธอจะได้รับจากฉันไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความทุกข์ต่างหาก ฉันจะทำให้เธอตกนรกเหมือนกับที่ฉันเป็น”กรกวินทร์ตั้งใจเอาไว้ว่า จะไม่มีความสัมพันธ์ทางกายระหว่างเขากับแพรวพรรณราย เพราะลำพังแค่ทะเบียนสมรสที่ผูกมัดอย่างแน่นหนาก็มากจนเต็มกลืนแล้ว แต่ทว่าวันนี้เขายอมเปลี่ยนความตั้งใจจากความโกรธที่ครอบงำและความแค้นใจที่เธอไม่ยอมหย่า ประกอบกับคำพูดถือดีของเธอ ทำให้ต้องสั่งสอนที่เธออวดดีกับเขา และสิ่งที่เขาจะมอบให้มันคือความทุกข์ ไม่ใช่ความสุข“คุณทัช ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉันสิ อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”

นิยายปัจจุบันนิยายรักโรแมนติกประธานแต่งงานสายฟ้าแลบเศรษฐีโรแมนติกดราม่า

บทที่ 1 เจ้าสาวมัจจุราช 1

“สวยมากเลยแพรว รับรองว่าเจ้าบ่าวเห็นแล้วต้องอึ้งแน่ๆ เลย”

แซมมี่หรือสุริยนสาวประเภทสองช่างแต่งหน้ามืออาชีพเอ่ยชื่นชมความงดงามของแพรวพรรณราย เจ้าสาวผู้โชคดีแห่งปีที่ได้วิวาห์กับกรกวินทร์ รัตนบดี นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงขวัญใจสาวๆ ครึ่งค่อนเมือง แต่สำหรับเจ้าสาว เธอคิดว่าตัวเองโชคร้ายเสียมากกว่า

“ขอบคุณค่ะ”ใบหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายกับคำชมของเจ้าสาวตอบกลับแล้วสีหน้าของแพรวพรรณรายก็ทำให้ใครอีกคนหนึ่งที่นั่งไม่ห่างรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

“นังแพรว แกทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย แกแต่งงานนะไม่ได้ไปตาย” พริ้งเพราแหวใส่บุตรสาวคนโต

“ถ้าแม่แต่งงานกับคนที่แม่ไม่ได้รัก แม่จะอยากตายหรืออยากจะมีชีวิตอยู่ต่อล่ะคะ”

แพรวพรรณรายย้อนถามมารดา หน้าบูดบึ้ง ยิ่งนึกถึงหน้าเจ้าบ่าว เธอก็แทบจะอยากตายวันละหลายๆ รอบถ้าไม่ติดที่ว่ามารดาบังคับแกมข่มขู่ให้แต่งงาน อย่าหวังเลยว่าเธอจะยอมง่ายๆ

แซมมี่มองแพรวพรรณราย หญิงสาวที่เปรียบเสมือนน้องสาวของตนด้วยความรู้สึกสงสาร เพราะเธอรู่ดีว่า น้องสาวคนนี้ไม่มรความปรารถนาจะวิวาห์สุดอลังการกับกรกวินทร์ แต่ที่ยอมแต่งเพราะถูกมารดาบังคับ ทว่าแซมมี่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้มากไปกว่า ส่งกำลังใจให้

“ถ้าฉันได้แต่งงานกับคนรวยๆ หล่อๆ แบบคุณทัชล่ะก็ ฉันไม่อยากตายหรอก อยากมีชีวิตต่อมากกว่า” พริ้งเพราตอบกลับทันควัน "แล้วแกก็ไม่ต้องแสดงออกมากนักนะว่าไม่อยากแต่งงาน เห็นแก่หน้าฉันบ้างถ้าคิดว่าฉันเป็นแม่"

“ก็ที่แพรวยอมแต่งงานกับไอ้หมอนั่นก็เพราะเห็นว่าแม่เป็นแม่ ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าแพรวจะยอม”

เจ้าสาวโต้กลับมารดา เพราะความเป็นแม่ลูกกันนี่แหละที่ทำให้เธอต้องสวมชุดวิวาห์ราคาแพง ต้องมานั่งให้ช่างแต่งหน้าทำผม ต้องมานั่งปั้นหน้ายิ้มทั้งที่อยากจะร้องไห้ ต้องกล่ำกลืนฝืนทนทุกอย่างเพื่อใครล่ะ ถ้าไม่ใช่คนจอมบงการตรงหน้า

“งั้นแกก็จำใส่หัวเอาไว้ด้วยว่า อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”พริ้งเพรากำชับเสียงแข็ง “ถ้าแกทำให้ฉันผิดหวัง อย่ามาเรียกฉันว่าแม่ จำใส่หัวเอาไว้”

ระหว่างที่สถานการณ์ของพริ้งเพราและแพรวพรรณรายกำลังตึงเครียด หญิงสาวนางหนึ่งได้เดินเข้ามาในห้องแต่งตัว ความสวยงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้าสาวเลย

“แม่ขา ได้เวลาแล้วค่ะ ไปกันเถอะคะ”

เจ้าของเสียงคือ เดือนดาราลูกสาวคนเล็กของพริ้งเพรา และเป็นน้องสาวต่างบิดาของเจ้าสาวเอ่ยบอกมารดาด้วยรอยิ้มอ่อนหวาน

“จ้ะลูก เดี๋ยวแม่ออกไป” น้ำเสียงของพริ้งเพราที่พูดกับเดือนดารา ต่างกับพูดกับแพรวพรรณรายมากเหลือเกิน ราวกับหนังคนละม้วน

“แม่คะ เมื่อกี้พี่หวานบอกว่า คุณหญิงป่านถามถึงแม่ค่ะ” เดือนดาราพูดต่อ

“คุณหญิงป่านมาแล้วเหรอลูก ถ้าอย่างนั้นออกไปข้างนอกกันเลยนะ ในห้องนี้มลพิษมันเยอะ แม่หายใจหายคอไม่สะดวก”

พริ้งเพราไม่วายเหน็บแนมแพรวพรรณราย ที่มองมารดากับน้องสาวผ่านกระจกบานใหญ่ ผู้เป็นแม่พูดจบก็เดินกุมมือลูกสาวคนเล็กออกไปจากห้องแต่งตัวทันที

คำพูดและการกระทำของพริ้มเพรา สร้างความเสียใจและเจ็บช้ำซ้ำๆ ให้กับแพรวพรรณราย เธอไม่เคยได้ยินคำพูดจาหวานหูจากมารดาเลย มีแต่แข็งกระด้าง ตวาดใส่อยู่ร่ำไป และไม่มีสักครั้งที่พริ้งเพราะจะกอดหรือแม้แต่กุมมือเธอ ไม่เลยไม่เคยปรากฏ จนบางครั้งเธอก็ยังแอบคิดว่า ตนเองไม่ใช่ลูกของนาง น้ำตาเม็ดใสเออคลอดวงตาคู่หวานปนเศร้า จนเธอต้องหยิบทิชชู่มาซับความอ่อนแอที่กำลังไหล

“ใจเย็นๆ นะแพรว วันนี้เป็นวันดีของแพรว พี่ไม่อยากเห็นแพรวร้องไห้”

แซมมี่พูดปลอบใจ เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เหตุใดพริ้งเพราถึงได้ไม่รักแพรวพรรณราย ต่างกับเดือนดาราที่รักและเอาใจสารพัด ทั้งที่แพรวพรรณรายก็เป็นลูกของนางเช่นกัน

“แพรวไม่อยากร้องไห้ แพรวอยากตายมากกว่า”

นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ มารดาไม่รักว่าแย่แล้ว นี่ยังต้องมาแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รักอีก ความรู้สึกของเธอเวลานี้ย่ำแย่มากเหลือเกิน

“ไม่เอาค่ะไม่พูดอย่างนั้นนะ” แซมมี่รีบห้าม “ชีวิตคนไม่ได้เกิดมาง่ายๆ นะแพรว มีหลายคนที่แย่กว่าแพรวแต่เขาก็ไม่คิดอยากจะตาย เขามีแต่จะสู้กับสู้ ดูอย่างพี่สิ พี่ถูกพ่อกับแม่รังเกียจและถูกไล่ออกจากบ้านเรื่องที่พี่ผิดเพศ แต่พี่ก็พิสูจน์ให้ท่านรู้ว่า การเป็นกระเทยไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้าย ไม่ได้ผิดศีลธรรม สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคนปกติ จนตอนนี้พ่อกับแม่พี่ภูมิใจในตัวพี่มาก ชีวิตของคนเรามันไม่ได้แย่ไปซะทุกเรื่องนะแพรว มันต้องมีเรื่องดีๆ เข้ามาบ้าง”

แซมมี่ให้ข้อคิดกับแพรวพรรณราย กว่าที่เธอจะเป็นที่ยอมรับและเป็นที่ภาคภูมิใจของบิดามารดาและคนรอบข้างได้ แซมมี่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองร่วมห้าปี จนกระทั่งตอนนี้เธอเป็นช่างแต่งหน้ามืออาชีพ แต่หน้าทำผมให้กับคนดังมานับไม่ถ้วน รวมทั้งดารานางแบบและเหล่าเซเลบทั้งหลาย

“ขอบคุณพี่แซมมี่มากค่ะที่ปลอบใจแพรว แพรวจะเข้มแข็งค่ะ”

ในชีวิตของแพรวพรรณราย นอกจากทักษอรกับเพทาย สองเพื่อนสนิท เธอก็ยังมีแซมมี่ เพื่อนบ้านคนสนิทที่เป็นกำลังใจให้เสมอมา แซมมี่จึงเปรียบเสมือนพี่สาวคนหนึ่งของเธอ

“ดีมากแพรว” แซมมี่พูดด้วยรอยยิ้ม “จำไว้นะแพรว น้ำตาไม่ช่วยอะไร สติเท่านั้นที่จะช่วยเราได้”

แซมมี่พูดทิ้งท้าย ก่อนจะลงมือแต่งแต้มใบหน้า ปกปิดคราบน้ำตาของเจ้าสาว

จริงอย่างที่แซมมี่พูด น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไร เธอจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด งานแต่งงานก็ยังคงดำเนินตามกำหนดการ ไม่มีอะไรที่จะมาเปลี่ยนแปลงงานวิวาห์นี้ได้ เพราะชีวิตของเธอถูกลิขิตด้วยมือของพริ้งเพราะมาตั้งแต่เธอลืมตาดูโลก

ทางด้านเจ้าบ่าวก็ทำหน้าเบื่อโลกเซ็งกะตายอยู่ภายในรถตู้คันหรูป้ายแดง ยานพาหนะที่จะนำพาเขากับครอบครัวไปสถานที่จัดงานแต่งงานกับเจ้าสาวนามว่าแพรวพรรณราย เจ้าสาวที่เขาไม่ปรารถนาจะเข้าวิวาห์ด้วย และที่สำคัญไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน

เวลานี้กรกวินทร์ไม่ได้นึกถึงเจ้าสาวของตนเลย กลับนึกถึงแต่นิสารัตน์ คนรักที่วาดหวังกันว่าจะครองชีวิตร่วมกัน แต่สุดท้ายความฝันของทั้งคู่ต้องพังทลาย เมื่อบิดาบังคับให้ตนแต่งงานกับแพรวพรรณราย หญิงสาวที่กวินทร์หมายมั่นจะให้มาเป็นลูกสะใภ้ เขาอยากจะค้าน อยากจะดึงดั้นยืนกรานว่าไม่แต่งและอยากจะหยุดยั้งความคิดของบิดา แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากมารดาขอร้องด้วยเหตุผลที่เขาไม่เข้าใจ

“ทัชยอมแต่งงานกับหนูแพรวนะลูก เห็นแก่แม่ แม่อยากให้ครอบครัวของเราสงบสุขเสียที”

เป็นประโยคที่เรียกความสงสัยให้กับกรกวินทร์เป็นอย่างมาก แน่นอนที่เขาจะปล่อยคำถามเพื่อให้ตนเองคลายความสงสัย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นความเงียบ ต่อมาคือเสียงสะอื้นไห้ของมารดา

“ฮือ...ทัชอย่าถามแม่เลยนะลูกว่าทำไมแม่ถึงพูดอย่างนี้ เอาเป็นว่า ถ้าทัชยังเห็นว่าแม่เป็นแม่อยู่ แต่งงานกับหนูแพรวนะลูก”

คำขอร้องแกมอ้อนวอน บวกกับเสียงร้องไห้ของมารดา ทำให้เขายอมแต่งงานกับแพรวพรรณราย หญิงสาวที่เขาเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เกลียดเข้าไส้

“ทำหน้าให้มันดีๆ ไม่ได้หรือไงทัช ทำหน้าอย่างกับจะไปตาย”

ภวินทร์หันมาว่าลูกชายคนโตที่ตีหน้าเบื่อโลกแทนที่จะยิ้มระรื่นกับวันชื่นคืนสุขของตัวเอง เห็นแล้วเขาพาลหงุดหงิด คนที่ถูกต่อว่าอยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ยังดีเสียกว่าต้องตายทั้งเป็นกับที่ต้องวิวาห์กับหญิงสาวที่ตนไม่รู้จัก

“ทัชไปถึงบ้านของหนูแพรว ทัชก็ยิ้มหน่อยนะลูก วันนี้เป็นวันดีของทัช แม่ไม่อยากเห็นทัชหน้าบึ้งตึง แม่อยากเห็นทัชยิ้ม”

ธาริณีสงสารกรกวินทร์ไม่น้อย บุตรชายคนโตของนางเป็นคนที่น่าสงสาร ความรักที่ได้จากแม่นั้นเต็มเปี่ยม แต่ทว่าจากพ่อนั้นเล่ายังไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่ให้กวินภพ ลูกชายคนเล็กของนาง ส่งผลให้วาจาของภวินทร์จึงแล้งไปด้วยน้ำใจ ไม่เพียงไม่เห็นอกเห็นใจ ยังไม่พอใจซ้ำลงไปอีก

ฝ่ายกวินภพน้องชายก็อดที่จะสงสารพี่ชายไม่ได้ เขารู้ความรู้สึกบองกรกวินทร์ดีว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ได้แต่เห็นใจ ยื่นมือเข้าช่วยไม่ได้เลย

“ครับคุณแม่ ผมจะพยายามเต็มที่ครับ”

กรกวินทร์ยิ้มเนือย สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เบือนหน้าไปนอกหน้าต่าง มองดูทัศนียภาพย่ำรุ่งของเมืองกรุง ที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนที่เริ่มใช่ชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับเขาที่กำลังเริ่มต้นใหม่ในชีวิต

รถตู้คันดังกล่าวแล่นมาจอดหน้าล็อบบี้ของโรงแรมฟลุทาวน์ ก่อนเวลาพิธีการในช่วงเช้าครึ่งชั่วโมง พิธีในช่วงเช้าที่ว่านี้ก็คือทำบุญเลี้ยงพระเก้ารูป เพื่อเป็นสิริมงคลในการครองคู่ จากนั้นเวลา 09.29 น. เป็น