ตอนที่ 6 นายใหม่แห่งจรรยากร
วิรัตน์แนะนำเมธาให้กับคนในพรรคพยัคขาวได้รู้จักในฐานะหลานชายที่เพิ่งกลับมาจากอเมริกาในนาม ราเมศวร์หรือ ราม อริญชย์ติวเข้มเมธาอย่างหนักทั้งการเดินการพูดและการวางตัวให้หน้าเกรงขาม ภายในอาทิตย์แรกชายหนุ่มทำได้ดีและอาทิตย์ที่เหลือเมธาจะต้องฝึกเรื่องการต่อสู้และการใช้อาวุธปืนในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการอ่านใจของคู่ต่อสู้เพื่อให้ตัวเองมีข้อต่อรองที่เหนือกว่า ด้วยเหตุนี้เมธาจึงกลับบ้านมืดค่ำทุกวัน มีสภาพที่เหน็ดเหนื่อยและมีรอยฟกช้ำตามตัว แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น และในคืนนี้ยายของเขาก็มานั่งรอที่หน้าบ้าน เมธาจอดรถและก้าวลงมาอย่างอ่อนล้า
“เหนื่อยมากหรือลูก” ยายบุญมาเอ่ยถามเมื่อชายหนุ่มเดินขึ้นมาบนบ้าน
“ ยาย!” เมธาตกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ายายมานั่งคอยเขา “ครับตอนนี้งานหนักมากอยู่สักหน่อย แต่ยายไม่ต้องห่วงนะครับผมยังทำไหว” ชายหนุ่มนั่งลงและนอนหนุนตักผู้เป็นยาย
“ทำไมทำงานหนักแบบนี้ล่ะลูก เพิ่งเข้างานไปยังไม่ถึงเดือนเลย เขาให้งานเอ็งหนักขนาดนี้เลยหรือ”
“ตอนนี้ธุรกิจกำลังขยายกิจการน่ะครับยาย” ชายหนุ่มพูดปดกับผู้เป็นยายเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจและเขาเองก็ไม่อยากให้ยายเสียใจที่เขาเลือกเดินทางนี้
ยายบุญมาเอามือลูบผมหลานไปมา “เผลอแค่ไม่กี่ปีเอ็งก็โตเป็นหนุ่มเสียแล้ว นึกถึงตอนที่เอ็งยังเด็กชอบวิ่งตามยายไปโน่นมานี้จนทุกคนคิดว่าเอ็งเป็นลูกคนเล็กของยาย เอ็งจำได้หรือเปล่าตอนที่ยายพาไปทำบุญแล้วเด็กวัดเอาไม้ไปตีหมาเอ็งก็รีบวิ่งเข้าไปห้ามจนมีเรื่องชกต่อยกัน แล้วเอ็งก็ไม่ร้องสักแอะใจแข็งจริงๆ ยายดีใจนะที่เอ็งมีจิตใจที่ดีงามมีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น” ชายหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร ยายบุญมาก้มลงมองหลานชายก็พบว่าเมธาหลับไปแล้ว เธอมองหลานชายแล้วก็ยิ้ม
“ท่าทางจะเหนื่อยมาก” เธอลูบหัวหลานชายอย่างเอ็นดู ก่อนจะเขย่าตัวให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว “ไอ้หนูลุกขึ้นไปนอนในห้องเถอะลูก ตรงนี้ยุงเยอะ”
เมธาลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง “จ้ะยาย” เขาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องนอนของตนเอง บุญมามองตามหลังหลานชายพร้อมกับส่ายหน้ายิ้มๆ
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เมธาจะฝึกเรื่องการต่อสู้ เมื่อเขาจอดรถและก้าวลงมาจากรถก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากในบ้านอีกฝ่ายหยุดยืนมองดูเขาอย่างตกตะลึงและสนใจ
“มาแล้วหรือราม” วิรัตน์เดินออกมาจากบ้านและเห็นชายหนุ่มทั้งสองยืนมองกันอยู่พอดี เขาจึงแนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน
“ราเมศวร์นี่ พิบูลย์ลูกชายของฉันเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมื่อคืนนี้เอง”
ราเมศวร์โค้งต่ำลงเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย พิบูลย์ยิ้มอย่างพอใจ
“แล้วนี่คือราเมศวร์ คนที่จะมาเป็นหัวหน้าคนใหม่แทนพ่อ เขาเป็นหลานชายของพ่อ”
“หลานชาย หมายความว่ายังไงครับคุณพ่อ” พิบูลย์ขมวดคิ้ว เพราะบิดาไม่เคยมีหลานชายที่ไหน อาของเขาที่หายสาบสูญไปก็ยังตามหาไม่พบ แล้วชายคนนี้เป็นใครกันแน่
“เดี๋ยวพ่อจะอธิบายให้ฟัง” วิรัตน์บอกเสียงเบา พิบูลย์พยักหน้ารับก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มอีกครั้ง
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ พ่อผมเลือกคนได้เก่ง ดูท่าทางคุณแล้วทั้งหล่อ ทั้งฉลาดแบบนี้ผมก็ชอบ” พิบูลย์ยิ้มก่อนจะหันไปมองหน้าบิดาที่มองมาทางเขาตาเขียว
ราเมศวร์ส่งยิ้มให้ “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ เรียกผม ราม ก็ได้ครับคุณพิบูลย์” ชายหนุ่มยื่นมือออกมาเพื่อแสดงความดีใจ พิบูลย์ยิ้มและยื่นมือออกไปจับกับมือของชายหนุ่ม และเมื่อราเมศวร์จะดึงกลับอีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยจนวิรัตน์ต้องกระแอมเพื่อเตือนลูกชาย พิบูลย์จึงได้ปล่อย ราเมศวร์ยิ้มเจื่อนๆ
“อายุของฉันกับเธอคงใกล้เคียงกัน เธออายุเท่าไรล่ะ” พิบูยล์ถามพร้อมกับยิ้ม
“27 ครับ”
“ถ้างั้นฉันก็อายุมากกว่าเธอ 2 ปี ฉันเรียก ราม เฉยๆก็แล้วกัน” พิบูลย์อมยิ้ม
“ได้สิครับ ผมยินดีที่มีพี่ชายอย่างคุณ” ราเมศวร์ยิ้มตอบ
“เอาล่ะเข้าไปข้างในทานข้าวกันก่อนดีกว่า” วิรัตน์พูดตัดบทก่อนที่ลูกชายของเขาจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
“เชิญครับ” พิบูลย์กล่าวเชิญราเมศวร์
“ผมคงต้องขอตัว ผมทานมาแล้วครับ”
“หว่า! น่าเสียดายจัง แต่เดี๋ยวผมจะไปหาที่สนามฝึกซ้อมนะครับ” พิบูลย์ทำหน้าผิดหวังก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่าย
“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ” ราเมศวร์บอกแล้วเดินเลยออกไปทางหลังบ้านซึ่งเป็นสนามฝึกซ้อม
เมื่อราเมศวร์เดินจากไปแล้ววิรัตน์จึงหันมาเล่นงานลูกชายของตนเอง “อย่าแสดงออกมากนัก แล้วก็อย่าทำให้ฉันขายหน้าใครด้วยจำเอาไว้”
“โธ่ คุณพ่อเมื่อไรจะยอมรับในตัวผมได้ซะทีเนี่ย อีกอย่างผมก็ไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้ใครซะหน่อย” พิบูลย์มองหน้าบิดา “ว่าแต่คุณพ่อคิดอะไรถึงรับชายหนุ่มรูปหล่อคนนั้นมาเป็นหลานชาย เล่นเสียผมแทบหัวใจวาย อยู่ดีๆก็มีน้องมาอีก 1 คน”
“ถ้าอยากรู้ก็ตามมา” วิรัตน์หันหลังเดินกลับเข้าไปด้านใน พิบูลย์ค้อนบิดาก่อนจะหันหลังเดินตามเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
วิรัตน์เรียกราเมศวร์เข้ามาพบและแจ้งเรื่องที่เขาจะต้องไปงานวันเกิดของเจ้าสัวซิวหลงในอีกสองวันข้างหน้าให้ชายหนุ่มฟัง
“ฉันต้องการให้เธอเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด และเราคงได้พบกับพวกของอังกูลอย่างแน่นอน พวกนั้นคงจับตามองดูอยู่ว่าใครที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าแทนฉันตอนที่ฉันสละตำแหน่ง”
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างสุภาพ
“ฉันจะให้เธอพักผ่อนจนกว่าจะถึงวันงาน และเมื่อเธอรับตำแหน่งจากฉัน แล้วเธอก็ต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้กับฉัน เธอมีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ครับ” ราเมศวร์กังวลใจเล็กน้อยเพราะเขาเองก็เป็นห่วงคนทางบ้านเหมือนกัน
“ดีมาก” วิรัตน์ยิ้มอย่างพอใจ
“แต่ผมมีเรื่องจะขอร้องเสี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“ว่ามา”
“ผมต้องการให้มีคนคอยไปดูแลยายกับคนในหมู่บ้านของผมไม่ให้พวกนายอังกูลเข้าไปรังแกได้อีก” ราเมศวร์บอกความประสงค์ของตนเอง
“ได้ ฉันจะจัดการให้เพราะบ้านเธอก็อยู่ในเขตพื้นที่การดูแลของฉัน” วิรัตน์รับปาก
“ขอบคุณมากครับ ผมขอตัวกลับบ้านก่อน” ราเมศวร์โค้งต่ำลงก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
บุญมาหันไปมองรถ 4 ประตูสีดำป้ายแดงที่แล่นเข้ามาจอดในบ้านอย่างสงสัย แต่แล้วหญิงสูงวัยก็คลี่ยิ้มออกเมื่อเห็นหลานชายก้าวลงมาจากรถคันนั้น “วันนี้กลับแต่วันเลยนะลูก แล้วไปเอารถใครเขามาขับล่ะ สวยเสียด้วย”
“วันนี้เลิกงานเร็วนะครับ รถคันนี้เป็นรถประจำตำแหน่งครับยาย พรุ่งนี้ผมได้หยุดงานยายอยากไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าครับผมจะพาไปเที่ยวทุกทีเลย” ชายหนุ่มประคองผู้เป็นยายเดินมานั่งที่เตียงไม้ใต้ถุนบ้าน
“ไม่หรอกลูกอย่างยายถ้าจะไปก็คงจะไปวัดมากกว่า อีกอย่างรถของเขาเราจะเอาไปใช้นอกเหนืองานมันคงไม่ดี”
“ไม่เป็นไรครับยายหัวหน้าของผมใจดี งั้นพรุ่งนี้เราไปทำบุญกันนะครับยาย” บุญมามองหน้าหลานชาย
“นึกยังไงชวนยายไปวัด เขามีแต่ชวนสาวๆไปเที่ยว”
เมธาหัวเราะ “ แหมก็ผมมีสาวน้อยอยู่นี่ทั้งคนแล้วจะไปมองสาวที่ไหนอีกล่ะครับ” ชายหนุ่มโอบกอดผู้เป็นยายเอาไว้
“ทะลึ่งใหญ่แล้วนะเราน่ะ เอ้าไปก็ไป งั้นยายไปเตรียมของก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าจะได้ไม่ยุ่ง”
“เราไปซื้อของในตลาดกันนะยาย เราไม่ได้ไปไหนด้วยกันสองคนมานานแล้วนะครับ” ชายหนุ่มบอก บุญมายิ้มและอดขำในลูกอ้อนของหลานชายไม่ได้
“เอางั้นหรือ ไปก็ไป” ชายหนุ่มรีบลุกและประคองยายมาที่รถพร้อมกับเปิดประตูอย่างที่สุภาพบุรุษทำให้กับสุภาพสตรี “เชิญครับคุณผู้หญิง” บุญมายิ้ม และส่ายหน้าในความขี้เล่นของหลานชาย
สองยายหลานเลือกซื้อของกันอย่างสนุกเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเด็ก เขาชอบตามยายเขามาที่ตลาดเพื่อหาซื้อขนมกิน
“วันนี้มาถึงที่นี่เลยหรือยายบุญมา” แม่ค้าในตลาดร้องทักขึ้น
“จ้า แม่เบี้ยวพอดีมาหาขนมไปทำบุญน่ะ มีอะไรน่ากินบ้างล่ะวันนี้”
“มีเยอะแยะเลยเลือกเอาตามสบายเลยนะจ๊ะ แล้วนั่นหลานชายหรือรูปร่างหล่อเชียว” แม่ค้าวัยกลางคนยิ้มพร้อมกับมองไปทางชายหนุ่ม
“ใช่จ้ะ หล่อติดพ่อของเขาน่ะ” ยายบุญมาบอก ส่วนชายหนุ่มก็ยืนยิ้มอย่างเขินๆอยู่ข้างๆยาย
“แล้วพ่อหนุ่มทำงานที่ไหนล่ะลูก” แม่ค้าถามขึ้น
“เอ้อ..” เมธาอึกอัก
“เขาเป็นพนักงานบัญชีที่ร้านขายเครื่องเพชรของเสี่ยวิรัตน์” ผู้เป็นยายตอบแทนให้หลานชาย
“เอ้อ ก็ดีนะแต่ต้องระวังตัวด้วยล่ะ เพราะใครๆเขาก็พูดกันว่าถ้าเกิดเขาไม่พอใจใครก็ฆ่าทิ้งได้อย่างหน้าตาเฉยเลยนะ พ่อหนุ่มอย่าไปทำให้เขาโกรธเข้าล่ะ” แม่ค้าบอก
“จ้ะป้า ขอบคุณที่เตือน” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆให้ บุญมาส่งขนมที่เลือกได้ให้กับแม่ค้าใส่ถุงแล้วก็จ่ายเงิน
“ฉันไปก่อนนะแม่เบี้ยวแล้ววันหลังจะมาอุดหนุนใหม่ ไปล่ะ”
เมธาเอื้อมมือไปรับขนมมาจากแม่ค้าแล้วหย่อนลงในตะกร้าไม้สานที่ตนเองถือมาก่อนจะเดินตามยายไป
“กลับกันได้แล้วล่ะลูก ได้ของครบแล้ว” บุญมาหันมาบอกหลานชายแล้วเดินตรงไปที่รถที่จอดอยู่
เมธาเดินออกมารับลมยามค่ำคืนที่หน้าระเบียงหน้าบ้าน เขากำลังสับสนว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันถูกต้องแล้วหรือ แต่อีกใจหนึ่งก็คัดค้านขึ้นว่า..ที่นายทำน่ะถูกแล้วนายจะต้องปกป้องยายและทุกคนในหมู่บ้านให้พ้นจากคนชั่วอย่างอังกูล แล้วเขาล่ะจะกลายเป็นคนเลวอย่างอังกูลและวิรัตน์หรือเปล่า เขาพอจะรู้เรื่องของมาเฟียอยู่บ้างจากหนังที่เขาชอบดูว่าพวกนี้จะต้องโหดเหี้ยม ไม่มีหัวใจและความเมตตาแล้วเขาจะทำได้หรือ แต่เท่าที่ดูแล้วเสี่ยวิรัตน์ไม่ใช่คนที่โหดเหี้ยมอย่างที่คนอื่นพูดเลย เขาไม่ใช่คนที่ฆ่าใครได้ง่ายๆ
“คิดอะไรอยู่ลูก” ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย
“เปล่าครับยาย ผมกำลังนึกถึงพ่อกับแม่นะครับป่านนี้ท่านคงไปอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้วนะครับ”
“ใช่แล้วลูก พ่อกับแม่ของเอ็งรักกันมากและทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความรักของพวกเขาจนตาของเอ็งใจอ่อนและยอมให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกัน”
“ฟังแล้วมีความสุขนะครับยาย แล้วพ่อผมเป็นคนที่ไหนครับยาย ยายไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย” ชายหนุ่มถามแต่ผู้เป็นยายกลับนิ่งเงียบก่อนจะตอบไปอย่างไม่เต็มใจ
“พ่อเอ็งเป็นคนเก่งพบรักกับแม่ของเอ็งตอนที่มาทำงานที่นี่ เขามาเป็นลูกจ้างที่ไร่ข้างๆ พ่อของเอ็งเป็นคนหล่อมีสาวมาชอบมากมายแต่พ่อเอ็งก็เลือกแม่ของเอ็ง” บุญมาพยายามตอบแบบเลี่ยงๆเพื่อไม่ให้หลานชายได้รับรู้เรื่องราวของบิดมามากไปกว่านี้
“แล้วผมจะมีความรักแบบนั้นหรือเปล่าครับยาย” ชายหนุ่มยิ้มอย่างขันๆ
“ต้องมีสิลูก หลานยายทั้งหล่อและเป็นคนดีแบบนี้ใครล่ะจะไม่สนใจ” บุญมาใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากของหลานชายอย่างล้อเล่น
“คนดีหรือครับ” ชายหนุ่มหยุดยิ้มก่อนจะพูดเสียงเบาหวิวจนอีกฝ่ายต้องถามย้ำ
“เอ็งพูดอะไรหรือ”
“เปล่าครับยาย เข้านอนกันดีกว่านะครับดึกแล้ว” เมธาลุกขึ้นและประคองผู้เป็นยายเข้าไปในบ้าน