ตอนที่ 5 พวกนรกส่งมาเกิด
ไอริณดิ้นรนเมื่อลูกสมุนของอังกูลดึงตัวหญิงสาวเข้ามากอดและพยายามจะปล้ำจูบเอาจากเธอ วันเพ็ญได้แต่ยืนร้องไห้ไม่รู้ว่าจะช่วยลูกได้ยังไงเพราะพวกมันมีปืนมาด้วย
“ปล่อยฉันไอ้พวกเลว ปล่อยฉัน” หญิงสาวดิ้นรนขัดขืนทั้งเตะทั้งถีบเป็นพัลวัน
“ว่าไงถ้าไม่อยากให้ลูกสาวมีผัวทีละหลายๆคนก็ขายที่ดินให้เสี่ยแกซะ คิดให้ดีๆนะป้า จะเลือกแบบไหน” คนชั่วยิ้มเยาะและมองไปทางวันเพ็ญด้วยสายตาที่เย็นชา
“แม่อย่าไปยอมมันนะ หนูยอมตายแต่ไม่ยอมให้แม่ขายที่ดินทำกินที่พ่อกับแม่สร้างมาหรอก” หญิงสาวบอกกับมารดา
“ปากดีนักนะ นังนี่” เจ้าคนที่จับตัวหญิงสาวเอาไว้เงื้อมือหมายจะตบไอริณแต่มันก็ต้องล้มลงไปกองอยู่กับพื้นเสียก่อนเพราะลูกถีบของเมธานั่นเอง
“เฮ้ย! มึงเป็นใครว่ะมายุ่งอะไรด้วย” ทั้งหมดหันมาทางเมธาพร้อมกัน
“ข้าก็เป็นพ่อของพวกเอ็งไงไอ้พวกเลว สิ่งดีๆไม่ชอบทำกัน ทำแต่เรื่องชั่วๆ” เมธาร้องด่า ไอริณสะบัดตัวหลุดออกมาจากพวกมันได้ก็รีบวิ่งเข้าไปหามารดา จ่อยวิ่งตามชายหนุ่มมาพร้อมกับไม้หน้าสามที่คว้ามาจากข้างทาง
“ไอ้น้องอย่ามายุ่งดีกว่าถ้ายังไม่อยากตาย” หนึ่งในพวกมันแล้วดึงมีดออกมาจากข้างเอว
“แต่ข้าต้องยุ่งเพราะพวกเอ็งกำลังรังแกคนที่อ่อนแอกว่า และไม่มีทางสู้ ข้าทนไม่ได้” ชายหนุ่มบอก แต่พวกมันกลับหัวเราะชอบใจ
“อ้อ..อยากเป็นพระเอกก็ไม่บอก เฮ้ย พวกเราจัดให้มันหน่อยโว้ย” พวกมันเข้ามาล้อมชายหนุ่มและจ่อยเอาไว้ การต่อสู้จึงเกิดขึ้น เมธาต่อยมันล่วงไปกองที่พื้นทีละคนแต่เขาก็โดนเข้าไปหลายมัดเหมือนกัน จ่อยเสียท่าล้มลงแต่เมธาก็เข้าไปช่วยเอาไว้ได้ มันเห็นว่าสู้ด้วยมือเปล่าไม่ได้มันจึงใช้ปืนขึ้นมาจ่อตรงมาที่ชายหนุ่ม แต่ก่อนที่มันจะยิงเมธา เสียงปืนอีกนัดก็ดังขึ้น ทุกคนถึงกับชะงักและหันไปมองกันเป็นตาเดียว อริญชย์นั่นเองที่เป็นคนยิงปืนขึ้นฟ้า เขาตั้งใจจะมาเยี่ยมเมธาและมาหาไอริณด้วยแต่พอมาถึงเขาก็ได้ยินเสียงต่อสู้กัน เขาและบิดาจึงวิ่งมาดู
“สู้ไม่ได้ก็กลับไปซะ อย่าใช้วิธีเอาเปรียบแบบนี้สิ มันทุเรศ” อริญชย์เล็งปืนไปที่พวกมัน
“แกเป็นพวกเดียวกันหรือไง” พวกมันร้องถามเมื่อเห็นว่าอริญชย์เป็นใคร
“ไม่ใช่ แต่ข้าไม่ชอบเห็นคนโดนรังแก รีบไปซะ ก่อนที่จะไม่มีชีวิตรอด พวกแกคงรู้จักฉันดีว่าเป็นใคร” ชายหนุ่มบอกและเดินเข้าไปหาเมธาและจ่อย พวกมันเห็นท่าไม่ดีจึงจำต้องถอยหนีกลับไป
“โธ่ ไม่แน่จริงนี่หว่า” จ่อยลุกขึ้นมาเอาไม้ในมือปาใส่ละอองฝุ่นจากรถของพวกเสี่ยอังกูลที่ขับหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณมากนะครับ คุณริช” เมธากล่าวแล้วก็ปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าออก
“ไม่เป็นไรหรอกพ่อหนุ่มพอดีเจ้าริชเขาอยากมาเที่ยวแถวนี้และลุงก็ว่าจะแวะมาเยี่ยมยายของเอ็งด้วยก็เลยมาเจอเข้าพอดี” โก๋บิดาของอริญชย์บอกแล้วยิ้มให้ชายหนุ่ม
“มีใครเป็นอะไรมากหรือเปล่า” อริญชย์ถามและมองไปที่ไอริณ
“ไม่มีครับ” เมธาบอกสั้นๆแล้วปัดเสื้อผ้าของตนเองให้เข้าที่
“แล้วคุณเป็นยังไงบ้าง” อริญชย์หันมาถามหญิงสาว แต่อีกฝ่ายค้อนให้เขา
“ไม่ยักกะรู้ว่าคุณก็เป็นพวกมาเฟียเหมือนกัน” ไอริณพูดแดกดัน อริญชย์หัวเราะในลำคอ “ปากดีแบบนี้สงสัยหายกลัวแล้ว” เขายิ้ม ไอริณเม้นปากแน่นหญิงสาวจะอ้าปากเถียงแต่มารดาของเธอชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยพวกเราไว้”
“ไม่เป็นไรครับ”อริญชย์ยิ้มกว้าง
“แล้วเธอล่ะ ฝีมือดีนะ แต่น่าเสียดาย” อริญชย์พูดเป็นปริศนาที่ทุกคนไม่เข้าใจยกเว้นตัวของเมธาเอง
“ผมเรียนมาบ้างนิดหน่อย” เมธาตอบอย่างถ่อมตัว“ช่วงนี้ก็ระวังกันหน่อยแล้วกันครับป้าเพ็ญ ไอริณ ผมจะให้จ่อยมานอนเป็นเพื่อน” ชายหนุ่มหันไปมองหญิงต่างวัยทั้งสองด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องหรอกรบกวนเปล่าๆ มันคงไม่กล้าแล้ว” วันเพ็ญบอกอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรป้าเพ็ญผมเต็มใจ”จ่อยบอกและยิ้ม
“ขอบใจเอ็งมากนะจ่อย”วันเพ็ญกล่าว
“ถ้าไม่มีใครเป็นอะไรผมกับพ่อก็ต้องขอตัวก่อนนะครับ” อริญชย์บอกและลอบมายักคิ้วให้กับไอริณที่ยืนมองเขาตาขวาง
“ขอบใจอีกครั้งนะพ่อคูณ” วันเพ็ญกล่าวขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้ง
อริญชย์ยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าและเดินตามบิดากลับไปขึ้นรถขับออกไป เมธามองตามหลังรถไป ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่
“ทำไมป้าเพ็ญและยายไม่ยอมไปแจ้งความล่ะครับ” เมธาถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“ตำรวจที่นี่ก็ถูกซื้อตัวเอาไว้หมดแล้ว ไม่มีใครรับฟังคนจนอย่างพวกเราหรอก” วันเพ็ญบอก
“ใช่จ้ะพี่” หญิงสาวพยักหน้าสนับสนุน
“แล้วพวกของนายวิรัตน์ไม่เข้ามาทำอะไรเลยหรือไงในเมื่อที่ดินที่นี่ก็เป็นเขตพื้นที่ของพวกเขาด้วยนี่นา” เมธาขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“มันก็พวกมาเฟียเหมือนกัน มันคงไม่ทำร้ายกันเองหรอกถึงจะไม่ถูกกันก็ตาม” ไอริณพูดขึ้นมาอย่างขัดใจ
เมธานิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกและเมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ปรกติแล้วเขาก็ขอตัวกลับบ้านเพื่อพักผ่อนเช่นกัน
คืนนั้นทั้งคืนเมธานอนคิดถึงคำพูดของวิรัตน์ที่ให้เขาเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียแทนเขา และเสนอเงินจำนวนไม่อั้นด้วย เขาควรจะรับข้อเสนอนั่น ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงผู้มีอิทธิพลถ้าเขาคิดจะต่อกลอนด้วยก็มีอยู่ทางเดียวก็คือเป็นหัวหน้ามาเฟีย เกลือต้องจิ้มกับเกลือมันถึงจะทันกัน รอยยิ้มที่มุมปากผุดขึ้นแล้วจางหายไป
“ฉันจะทำกับแกเหมือนกับที่พวกแกทำกับคนที่ฉันรัก เตรียมรับกรรมของแกได้เลยเสี่ยอังกูล” เมธาพูดเบาๆคลายคนละเมอก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับแผนการที่คิดวางไว้ในใจ
อริญชย์เข้ามารายงานวิรัตน์ถึงเรื่องที่ลูกน้องของอังกูลข้ามถิ่นเข้ามาถึงถิ่นของพวกเขา
“พวกเสี่ยอังกูลกล้ามากนะครับที่เข้ามาวุ่นวายในเขตของเสี่ย”
“อังกูลคงคิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเขาน่ะสิ ฉันก็ไม่อยากเข้าไปวุ่นวายด้วยหรอก แต่ในเมื่อเขาเข้ามายุ่งในถิ่นของเราก็เท่ากับเหยียบจมูกของฉัน”
“แล้วเสี่ยจะให้ผมทำยังไงดีครับ” อริญชย์มองหน้าเขาอย่างรอคำตอบ
“เธอจัดการส่งคนไปสั่งสอนพวกนั้นให้รู้จักที่ใครที่มันหน่อย จะได้ไม่คิดว่าพวกเราไม่กล้าทำอะไรพวกเขา ”
วิรัตน์สั่งเสียงเข้ม
“ครับเสี่ย” อริญชย์รับคำสั่งแล้วรีบไปทำตามทันที
อีก 1 ชั่วโมงต่อมาเสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานของวิรัตน์ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของอริญชย์ที่ก้าวเข้ามาในห้อง วิรัตน์ยกหูโทรศัพท์ขึ้นเสียงตะโกนด่ามาตามสายจนหูของวิรัตน์แทบแตก
“ไอ้หมาลอบกัด ลื้อวางระเบิดรถลูกน้องอั้ว” วิรัตน์ยิ้มเมื่อรู้ว่าเป็นเสียงของใคร
“ช่วยไม่ได้ ในเมื่อนายล้ำถิ่นเข้ามาก่อน แถมยังมาก่อกวนในถิ่นของฉันอีกก็สมควรแล้ว ฮ่า ฮ่า” วิรัตน์หัวเราะใส่โทรศัพท์อย่างคนอารมณ์ดีก่อนจะพูดต่อ “นายจำเอาไว้นะอังกูล อย่าได้มายุ่งในถิ่นของฉันอีก ถิ่นใครถิ่นมัน คราวหน้าไม่ใช่แค่ขู่แบบนี้แต่อาจมีการสูญเสียเกิดขึ้น ได้ยินว่าลูกสาวนายกลับมาแล้วไม่ใช่หรือระวังไว้หน่อยก็ดีนะ” เขาตั้งใจจะขู่อีกฝ่ายแล้วก็วางสายลง
“ทำได้ดีตามเคยนะ เธอมาเป็นหัวหน้าแทนฉันๆจะได้ไม่ต้องหาใครมาทำ” วิรัตน์เกลี่ยกล่อมเขาอีกครั้งแต่ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ดีกว่าครับผมชอบแบบนี้มากกว่า”
“คิดดูก่อนไหมอริญชย์”
“ผมยืนยันคำพูดเดิมครับเสี่ย และผมคิดว่าบางทีอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้สำหรับน้องชายคนนั้น” อริญชย์ยิ้มให้หัวหน้าของเขา
“เฮ้อ! นี่ก็ 2 วันแล้วยังไม่มีวี่แววว่าหนุ่มคนนั้นจะติดต่อกลับมาเลย ฉันคงต้องปล่อยไปตามเวรกรรมเสียแล้ว” วิรัตน์ถอนหายใจ เขาเองก็อยากวางมือเต็มที่แล้วเหมือนกัน เขาเบื่อวงการแบบนี้เต็มทีแต่ติดที่ลูกชายของเขาไม่ได้ดังใจเขาเอาเสียเลย
เมธามาขอพบอริญชย์ที่ร้านจิวเวอรี่แต่เช้า ชายหนุ่มเดินตามพนักงานขายสาวประจำร้านเข้าไปพบกับอริญชย์ที่ห้องทำงาน...เขาเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้าแล้วยิ้มทักทายชายหนุ่ม
“นั่งสิ มีอะไรด่วนหรือเปล่า หรือว่าเธอเปลี่ยนใจแล้ว”
“ใช่ ผมยอมรับข้อเสนอของคุณวิรัตน์” เมธาบอกเขาด้วยเสียงอันแน่วแน่
“ทำไม” อริญชย์ถามกลับสั้นๆ
“เพราะพวกมันทำร้ายคนที่ผมรัก ทำลายถิ่นเกิดของผม” ชายหนุ่มบอก
“แล้วค่าตอบแทน..”
“แล้วแต่ทางคุณจะให้ผม ผมต้องการแก้แค้นไอ้พวกอังกูลเท่านั้น”
“เธอรู้หรือว่าทางเรากับทางเสี่ยอังกูลไม่ถูกกัน” เมธาพยักหน้ารับช้าๆ
อริญชย์ยิ้ม “เธอตัดสินใจแล้วอย่ามาเสียใจภายหลังนะ เรื่องแก้แค้นมันเป็นเรื่องของเธอ เรื่องนี่ห้ามให้คนทางบ้านของเธอรู้เรื่องเด็ดขาด ห้ามพูด”
“ผมตัดสินใจแล้ว ผมรู้เมื่อขึ้นหลังเสือแล้วมันจะลงไม่ได้นอกจากจะโดนกัดตายเท่านั้น แล้วเรื่องนี้ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องถ้าไม่มีใครพูดออกไป” เมธาบอกยิ้มๆแววตาแน่วแน่และมั่นคง
“ดี งั้นเราไปพบคุณวิรัตน์ด้วยกัน เธอเอารถจอดไว้ที่นี่แล้วไปกับฉัน” อริญชย์ปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้าลงก่อนจะลุกขึ้นเดินนำเมธาออกมาจากร้านและตรงไปขึ้นรถของเขาขับออกไป
คฤหาสน์หลังใหญ่ของเจ้าสัววิรัตน์ดูกว้างขวางสมฐานะของเจ้าพ่ออย่างเขายิ่งนัก เมธามองไปรอบๆบ้านเขาสังเกตว่าที่รอบๆบ้านนิยมปลูกต้นปีบเอาไว้เสียเป็นส่วนใหญ่และเหมือนกับอริญชย์หยั่งรู้ความคิดของเขา
“เธอคงสงสัยสิว่าทำไมปลูกต้นปีบเอาไว้มากขนาดนี้”
เมธาหันมามองหน้าอีกฝ่าย “คุณรู้หรือว่าผมคิดอะไรอยู่”
“อีกหน่อยเธอก็จะเดาใจคนอื่นได้อย่างฉัน ถ้าเธอไม่เปลี่ยนใจหนีไปจากที่นี่เสียก่อน” อริญชย์ยิ้ม เมธาพยักหน้ารับรู้
“ผมไม่เปลี่ยนใจแน่นอน” ชายหนุ่มย้ำหนักแน่น
อริญชย์เลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าประตูคฤหาสน์และส่งกุญแจรถให้กับลูกน้องอีกคนที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้าน ส่วนเขาก็พาเมธาเข้าไปพบเจ้าสัววิรัตน์ที่ห้องทำงานส่วนตัวของเจ้าสัว
“ก๊อก ก๊อก”
“เชิญ”
อริญชย์และเมธาเดินเข้ามาและหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเจ้าสัววิรัตน์ เขาเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งคู่พร้อมกับยิ้ม
“เชิญนั่งสิน้องชาย” วิรัตน์กล่าวเชิญ
เมธานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับวิรัตน์ อริญชย์เดินไปยืนอยู่ด้านข้างของเขา
“ฉันดีใจที่นายรับข้อเสนอของฉัน แต่ก็มีข้อแม้อยู่ 2 ข้อ” เขายิ้ม
“อะไรครับบอกมาได้เลย ผมยินดีทำ” เมธาตอบอย่างไม่ลังเล
“มันต้องแบบนี้สิ ของง่ายๆ ข้อแรก เธอต้องเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลเปลี่ยนประวัติทุกอย่างให้หมด เพราะเธอจะต้องเข้ามาในฐานะหลานชายของฉัน”
“ครับ ข้อต่อไปล่ะครับ” ชายหนุ่มนั่งนิ่ง
“ประวัติของเธอจะถูกเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทุกเรื่อง เธอจะไม่มียาย จะมีแต่ฉันซึ่งเป็นลุงแท้ๆของเธอ และเรื่องนี้จะมีแค่เรา 3 คน ที่รู้เรื่องเท่านั้น ห้ามบอกกับใครนอกเหนือจากพวกเราเด็ดขาด” วิรัตน์มองอย่างรอคำตอบ
“ครับ ผมยอมรับข้อแม้ของคุณทั้งหมด”
“ดี ฉันดีใจที่ได้เธอมาร่วมงาน” วิรัตน์ยื่นมือออกมาเพื่อจับกับมือของชายหนุ่ม
“ผมก็ยินดีที่ได้มาทำงานร่วมกับพวกคุณ เจ้าพ่อแห่งวงการมาเฟีย” เมธายื่นมือออกไปและบอกกับเขาตรงๆ วิรัตน์หัวเราะอย่างชอบใจ
“ฉันชอบนายที่พูดอะไรตรงๆคนแบบนี้แหละที่ฉันต้องการ แต่ท่าทางของเธอยังไม่น่าเกรงขามพอ ฉันจะให้อริญชย์เป็นพี่เลี้ยงให้เธอและอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเธอจะต้องออกงานเพื่อเปิดตัวหัวหน้าคนใหม่ของพยัคขาว เธอจะทำได้หรือเปล่า” วิรัตน์เอ่ยถามชายหนุ่ม
“ได้ครับ” เมธามองสบตาอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แน่วแน่
วิรัตน์ยอมรับว่าเมื่อสบสายตากับชายหนุ่มคนนี้แล้ว เขาเองก็ยังรู้สึกกลัว เขาแน่ใจว่าชายหนุ่มคนนี้จะต้องเป็นหัวหน้าแทนเขาได้และทำให้คนอย่างอังกูลเปลี่ยนจากเสือเป็นแมวได้