ตอนที่ 4 งานใหม่...ชีวิตที่แปรเปลี่ยน
เมธาขับรถกระบะสีแดงคันเก่าเข้ามาที่ตัวอำเภอตะพานหินของจังหวัดพิจิตรและมุ่งหน้าไปตามร้านที่บ่งบอกเอาไว้ในนามบัตรที่อริญชย์ให้เขาไว้ และ 20 นาทีต่อมาชายหนุ่มก็มาถึงที่หมาย...เมธาเปิดประตูร้านเข้ามาและเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่หน้าร้าน เธอยิ้มให้เขาพร้อมกับยกมือไหว้อย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะ ต้องการชิ้นไหนเลือกได้ตามสบายนะคะ”
ชายหนุ่มยิ้มให้ “ ผมไม่ได้มาซื้อเพชรหรอกครับ แต่มาสมัครงานครับ ผมมาตามนามบัตรของคุณอริญชย์นะครับ”
“หรือคะ นั่งรอสักครู่นะคะเดี๋ยวดิฉันจะไปเรียนคุณริชก่อน” หญิงสาวเดินหายเข้าไปทางหลังร้านและครู่ต่อมาอริญชย์ก็เดินออกมาจากหลังร้านพร้อมกับหญิงสาวคนนั้น
“ยินดีที่น้องชายมา จริงสิยังไม่รู้จักชื่อน้องชายเลย”
“ผมชื่อเมธาครับ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับยิ้มให้
“ตามพี่มาที่ห้องดีกว่าจะได้เขียนใบสมัครกัน” อริญชย์เดินนำชายหนุ่มเข้ามาในห้องทำงานของเขา
“นี่ใบสมัคร” เขายื่นใบสมัครให้กับเมธา และเสียงโทรศัพท์มือถือของอริญชย์ก็ดังขึ้น เขาเดินไปยืนที่หน้าต่างเพื่อคุยโทรศัพท์และเมื่อเขาวางสายแล้วก็หันมาทางเมธาอีกครั้ง
“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะ เชิญคุณกรอกข้อมูลตามสบาย เดี๋ยวผมมา” ชายหนุ่มบอกและเดินออกไป
เมธานั่งกรอกรายละเอียดจนครบพอดีกับที่อริญชย์เดินเข้ามาพอดี ชายหนุ่มจึงยื่นเอกสารพร้อมกับหลักฐานการสมัครต่างๆให้กับเขา
“เรียบร้อยแล้วครับ แล้วทางเราจะติดต่อไปนะครับถ้าคุณถูกคัดเลือก” อริญชย์มองหน้าชายหนุ่มพร้อมกับยิ้มและก็อดนึกถึงหญิงสาวนางหนึ่งที่เขาเคยพบควงคู่มากับเมธา
“วันนี้แฟนคุณไม่มาด้วยหรือครับ”
เมธาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงุนงงกับคำถาม “แฟน แฟนที่ไหนครับ” เขาย้อนถาม
อริญชย์ก็มองหน้าชายหนุ่ม “ก็ผู้หญิงที่มากับน้องชายเมื่อวานไง”
“เออ..” เมธาถึงบางอ้อ แล้วก็ยิ้ม “ไอริณนะหรือครับ เธอไม่ใช่แฟนผมหรอกครับ เราเป็นเพื่อนกัน ไอริณเป็นเพื่อนรุ่นน้องของผม เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และผมก็รักเธอแบบน้องสาวด้วยครับ” ชายหนุ่มบอก อริญชย์ถึงกับยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ” เมธาลุกขึ้นยกมือไหว้เขาก่อนจะเดินออกมา ระหว่างทางเข้าร้านเมธาได้เดินสวนกับวิรัตน์และลูกสมุนของเขาอีกประมาณ 5 คน ชายหนุ่มหยุดและรอให้เขาเดินผ่านไป...วิรัตน์สะดุดตากับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆประตูยิ่งนัก เขารู้สึกถูกชะตาและความคิดวูบหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวสมองของเขา
วิรัตน์เรียกอริญชย์เข้ามาพบเป็นการส่วนตัวและก็ถามถึงชายหนุ่มที่เขาเจอเมื่อครู่ตรงประตูทางเข้าร้าน
“เขาชื่อเมธาครับ” ชายหนุ่มรายงาน
“หน่วยก้านไม่เลวเลยนะ ขอดูใบสมัครของเขาหน่อยสิ”
อริญชย์หยิบแฟ้มเอกสารของเมธามาให้กับนายได้ดู...วิรัตน์อ่านประวัติการศึกษาของเมธาร่วมทั้งประวัติการทำงานแล้วก็วางลง
“น่าสนใจทีเดี๋ยว”ผู้เป็นนายหันมามองหน้าลูกน้องคนสนิท
“แต่ผมว่าไม่ไหวนะครับ ดูท่าทางจะเรียบร้อยและยังเรียนดีมาตลอด เขาคงไม่ยอมมาทำงานแบบนี้หรอกครับ” อริญชย์แสดงความคิดเห็น
“เรียนดีแบบนี้สิดี จะได้รู้ทันคนดี ฉันชอบคนฉลาด ส่วนเรื่องท่าทางและการวางตัวนายต้องไปจัดการเอาเอง เพิ่มเงินเดือนให้เขาตามที่เขาเรียก เหลืออีกเดือนเดี๋ยวเท่านั้นก็จะถึงงานวันเกิดของท่านซิวหลงแล้ว ท่านได้ส่งการ์ดเชิญมาให้ทางเราไปร่วมงานด้วยและฉันคิดว่าทางนายอังกูลก็คงจะได้รับด้วย มันคงจะจ้องเราอยู่ว่าใครที่จะมาสืบต่อจากฉัน” วิรัตน์บอกลูกน้องอย่างกังวล
“ผมจะเรียกเขามาคุยนะครับ”
“ดี ยิ่งเร็วยิ่งดี” วิรัตน์บอกและเดินออกไปจากร้าน อริยชย์ถอนใจอย่างหนัก เขาไม่อยากให้ชายหนุ่มมาทำงานเป็นหัวหน้ามาเฟียแม้แต่น้อยเพราะชีวิตของเมธาจะต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาก็ถูกชะตากับชายหนุ่มเหมือนกันแต่ไม่ต้องการให้เรื่องมาเป็นแบบนี้ แต่เมื่อเป็นคำสั่งของนายเขาก็ต้องทำ
วันรุ่งขึ้นเมธาถูกเรียกตัวเข้ามาสัมภาษณ์และคนที่รอสัมภาษณ์เขาก็คือวิรัตน์เจ้าของร้านและหัวหน้ามาเฟียชื่อดังของเขต ต.ตะพานหิน
“นั่งลงสิ” เขากล่าวเชิญห้วนๆ
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มนั่งลงและมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง
“ฉันมีข้อเสนอดีๆให้กับเธอโดยที่เธอมีสิทธื์จะเรียกเงินตอบแทนได้เต็มที่ เธอสนใจหรือเปล่า” วิรัตน์เอ่ยถามขึ้น เมธามองหน้าคนพูดนิ่งและหันไปมองทางอริญชย์ที่นั่งอยู่ข้างๆกับเขาอย่างสงสัย
“มันเป็นงานที่ว่าง่ายมันก็ง่าย แต่ถ้าว่ายากมันก็ยาก” อริญชย์ถามซ้ำ
“ไม่ใช่งานบัญชีหรือครับ” เมธามองหน้าวิรัตน์อย่างงๆ
“ไม่ใช่ แต่เงินดีกว่างานบัญชีที่เธอจะทำ” วิรัตน์ตอบ
“ถ้าน้องชายสนใจก็เริ่มงานได้เลย” อริญชย์พูดเสริมให้
“มันก็ต้องดูก่อนครับว่าเป็นงานแบบไหนแต่ถ้าเป็นงานที่ผิดกฎหมายผมไม่รับแน่นอนผมบอกได้เลยครับ” ชายหนุ่มตอบตรงไปตรงมา วิรัตน์ยิ้มอย่างพอใจ
“ดีมาก ฉันชอบคนแบบเธอฉลาดและรู้ทันคน”
“แล้วคุณต้องการให้ผมทำงานอะไรครับ” เมธามองตอบอีกฝ่าย
“ฉันต้องการให้เธอมาเป็นหัวหน้ามาเฟียแทนฉัน สนใจหรือเปล่าค่าตอบแทนตามที่เธอเรียกร้องไม่มีต่อรอง”
วิรัตน์ประสานมือมาวางไว้บนโต๊ะ เมธานิ่งเงียบ เขาไม่ต้องการที่จะมาเป็นมาเฟียแค่ต้องการทำงานตามปรกติเท่านั้น “ผมคงรับไม่ได้เพราะผมไม่ชอบการฆ่าแกงกัน”
“ฉันจะให้เวลาเธอคิดดูก่อน อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ เธอยังมีเวลากลับไปคิดให้ดี เงินเดือนตามแต่ใจเธอต้องการ คิดถึงครอบครัวให้ดีนะ พวกเขาจะได้อยู่อย่างสบายไม่ต้องลำบาก” วิรัตน์ลุกขึ้นเดินมาโอบไหล่ชายหนุ่มและตบเบาๆก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้น
“คิดให้ดีๆนะน้องชาย” อริญชย์บอกและมองตามหลังของเจ้านายที่เดินออกไป
“ผมยืนยันคำเดิมครับ ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ผมขอบคุณพี่มากที่ให้โอกาสผม ผมลากลับเลยแล้วกัน สวัสดีครับ” เมธายกมือขึ้นไหว้อริญชย์และลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องทำงานของเขา
เมธาจอดรถและมองเข้าไปในบ้านอย่างตกใจเพราะข้าวของตกหล่นแตกกระจายเต็มพื้นใต้ถุนบ้าน ชายหนุ่มรีบลงจากรถอย่างรวดเร็วและวิ่งเข้าไปหายายและจ่อย
“ยาย จ่อย อยู่ที่ไหนกัน ยาย” ชายหนุ่มวิ่งหาไปทั่วบ้านและมาพบยายกับเด็กหนุ่มหลบอยู่ตรงพุ่มไม้
“ยายเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วใครมันทำแบบนี้” เขากอดยายเอาไว้แน่นและหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่มีแต่รอยฟกช้ำตามใบหน้าและลำตัวเต็มไปหมด
“ไอ้หนู พวกมันมาอีกแล้ว” ยายบุญมาร้องอย่างเนื้อตัวสั่น
“ใครกันยาย ใครมันทำแบบนี้บอกผมสิ ” เมธาถามเสียงรัวเร็ว
“ก็ไอ้พวกเสี่ยอังกูลไงพี่ อู้ย! มันมาอาละวาดอีกแล้ว” เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับซูดปากด้วยความเจ็บ
“ใครกันยาย จ่อย บอกพี่สิว่าพวกมันเป็นใคร” ชายหนุ่มมองหน้ายายและหันไปมองหน้าจ่อย
“เสี่ยอังกูลมันเป็นเจ้าพ่อชื่อดังในตำบลไผ่หลวงไงพี่ เห็นเขาบอกกันว่ามันกับเสี่ยวิรัตน์ไม่ถูกกันเพราะผลประโยชน์เหมืองเพชรเหมืองพลอยอะไรนี่แหละ และมันต้องการที่ดินของเราเพื่อไปทำโรงงานเจียระไนเครื่องเพชรพลอยของมัน มันมาที่นี่หลายครั้งแล้วตอนที่พี่ไม่อยู่ ฉันจะบอกพี่ตั้งแต่มาแล้วแต่ยายสิห้ามฉันไว้” เด็กหนุ่มบอกแล้วก็พยุงตัวเองลุกขึ้น
“แล้วทำไมยายไม่บอกผม” เมธาหันมาทางผู้เป็นยาย
“ยายไม่อยากให้เราไปมีเรื่องกับพวกมัน ยายจะขายให้มันและไปหาที่อยู่ใหม่นะลูก เราไปจากที่นี่ไปหาที่ดินที่ใหม่” ยายบุญมาบอกกับหลานชายด้วยเสียงสะอื้น
“แต่ผมไม่ไปไหน ที่นี่มันเป็นบ้านของผม และผมก็จะตายที่นี่ด้วย ที่ดินที่อื่นมีตั้งเยอะแยะ ทำไมมันต้องการที่ดินของเราด้วย” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย
“ก็เพราะที่ดินของเราอยู่ติดกับที่ดินของมันนะสิ ชาวบ้านแถวนี้เขาขายที่ดินให้เสี่ยอังกูลกันหมดแล้วเหลือแต่ยายกับแม่ของไอริณเท่านั้นที่ไม่ยอมขาย” เด็กจ่อยบอกและใช้ยาหม่องทาตามรอยช้ำ
“ไอ้พวกสารเลว มันต้องเจอกับผม มันกล้าทำได้แม้กระทั่งคนแก่ที่ไม่มีทางสู้” เมธามองรอยช้ำที่แขนของผู้เป็นยายอย่างเดือดดานฟันกรามขบเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูน
“อย่าไปยุ่งกับพวกมันเลยลูก มันมีอิทธิพลมากเราเป็นแค่คนธรรมดาสู้กับพวกมันไม่ได้หรอกลูก” ยายบุญมาเขย่าแขนหลานชายเพื่อเรียกสติให้กับเขา แต่ชายหนุ่มก็เงียบก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ
“ก็ได้ครับ ผมจะเชื่อยาย” เมื่อตัดสินใจได้เมธาจึงช่วยยายและจ่อยเก็บข้าวของเข้าที่เดิมส่วนที่พังเสียหายก็ทิ้งไป
“ยายทำไมไม่บอกผมเร็วกว่านี้ครับ” ชายหนุ่มค่อยๆทายาให้กับยายอย่างเบามือ
“ยายไม่รู้ว่ามันจะใช้กำลังด้วย เมฆยายกลัวเราย้ายไปที่อื่นนะลูก” ยายบุญมามองหน้าหลานชาย
เมธายิ้มให้อย่างอ่อนโยนกุมมือเหี่ยวย่นเอาไว้
“ผมอยู่ที่นี่แล้วยายไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ผมไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายยายได้อีกเป็นอันขาด ที่ดินพื้นนี้บ้านหลังนี้พ่อกับแม่ช่วยกันสร้างขึ้นมาผมไม่ยอมขายให้ใครเป็นอันขาด แต่ยายไม่ต้องกลัวนะครับผมจะไม่ไปยุ่งกับพวกมันแน่” ชายหนุ่มยิ้มให้ผู้เป็นยาย
หลังจากที่เมธาปฏิเสธข้อเสนอของวิรัตน์ ชายหนุ่มก็เข้าไปทำงานในสวนตามปรกติแต่ในใจก็ยังคิดแค้นอังกูลอยู่ไม่หายถ้าเกิดเจอหน้ากันที่ไหนรับรองเขาไม่ปล่อยให้พวกนั้นผ่านไปได้ง่ายๆแน่นอน และสิ่งที่ชายหนุ่มไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อจ่อยวิ่งมาตามเขาอย่างกระหืดกระหอบ
“พี่เมฆ พี่เมฆช่วยด้วย” จ่อยตะโกนร้องเรียกชายหนุ่มจนลั่นสวน
“พี่อยู่ทางนี้” ชายหนุ่มเดินออกมาจากใต้ต้นส้มที่เขากำลังพรวนดินอยู่ จ่อยมาถึงก็คว้าข้อมือของเขาให้วิ่งตามไป ชายหนุ่มถามอย่างตกใจแต่ก็วิ่งตามมา
“เกิดอะไรขึ้นจ่อย”
“ไอ้พวกอังกูลมันมาอีกแล้ว” เด็กหนุ่มบอก
“แล้วมันอยู่ที่ไหน หรือว่าที่บ้านเรา” ชายหนุ่มขบกรามแน่น
“มันอยู่ที่บ้านของป้าเพ็ญ มันกำลังจะจับตัวไอริณไป ผมผ่านไปพอดีก็เลยรีบมาตามพี่ก่อน” เด็กหนุ่มบออกไปหอบไป
“อะไรนะ มันจะมากไปแล้วนะ ไอ้พวกเดนนรก ” ชายหนุ่มบอกและวิ่งนำหน้าจ่อยไปอย่างรวดเร็ว