ตอนที่ 3 จุดเปลี่ยนของชีวิต
จ่อยมองหน้าเมธาแล้วอมยิ้มจนอีกฝ่ายหยุดเดินและเท้าเอวมองกลับมาไป
“นี่นายมองอะไร หรือว่าหน้าพี่มีอะไรผิดปรกติหรือไง” ชายหนุ่มถาม
“เปล่าจ้ะพี่ แหมทำเป็นซีเรียสไปได้” เด็กหนุ่มยิ้ม
“แล้วนายมองหน้าพี่ทำไม”
“พี่ไม่รู้จริงๆ หรือว่าไอริณชอบพี่แบบว่า..เอ่อ.”
“แบบไหน” เมธามองหน้าจ่อยอย่างเอาเรื่อง
“ก็แบบผัวเมียไง”
“บ้า...พี่รักไอริณเหมือนกับที่รักนายนั่นแหละ รักแบบน้องน่ะ” ชายหนุ่มบอก จ่อยเกาหัว
“อ้าวหรือเราก็นึกว่าชอบแบบนั่น แต่ว่าไอริณก็น่ารักดีนะพี่เสียอย่างเดียวปากปีจอไปนิด”
“ก็ปากอย่างนายแบบนี้ไงถึงได้โดนด่าเอา สมน้ำหน้า” เมธาส่ายหน้าแล้วเดินหนีไปเด็กจ่อยรีบวิ่งตามไป
“อ้าว เป็นงั้นไป” จ่อยหัวเราะแล้วเดินแยกไปทางห้องของตนเองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าไปอาบน้ำ
เมื่ออาบน้ำเสร็จเมธาและจ่อยจึงเดินลงมาจากบ้าน ชายหนุ่มสวมกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดสีครีม ไอริณมองเขาอย่างหลงใหล จ่อยแอบมองและแกล้งกระแอม
“แอ่ม แอ่ม มองอยู่นั่นแหละฮะ ดูสิฮะพี่เมฆเขินหมดแล้วนะฮะเนี่ย” จ่อยจีบปากจีบมือไปมาอย่างผู้หญิง เมธาจึงยกมือขึ้นเขกลงบนศีรษะของเด็กหนุ่ม
“โอ้ย...ฉันเจ็บนะพี่” เด็กหนุ่มวิ่งมาหลบที่เสาปูน
“สม ชอบแซวดีนัก” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ
“ใช่ น้อยไปด้วยซ้ำ” ไอริณย่นจมูกใส่เด็กจ่อย
“เอ้อ...เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ” จ่อยลูบหัวไปมาแล้วทำท่าค้อนให้ทุกคน
“พี่เมฆไปเที่ยวในเมืองกับรินนะจ๊ะ รินจะซื้อของใช้ส่วนตัวสักหน่อย แล้วจะแวะซื้อกับข้าวมาทำให้พี่เมฆกินด้วย ไปเป็นเพื่อนรินหน่อยนะจ๊ะ นะ นะ” หญิงสาวเดินมาเกาะแขนชายหนุ่มแล้วเขย่าเบาๆ
“พาน้องไปหน่อยนะลูก”บุญมายิ้มให้กับหลานชาย
เมธานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบ “ก็ได้”
ไอริณยิ้มอย่างดีใจ “งั้นเดี๋ยวรินไปเอากระเป๋าตังค์ก่อนนะจ๊ะ” หญิงสาวบอกแล้ววิ่งตัวปลิวไปที่บ้านของตนเองซึ่งอยู่ถัดไปอีกหลังมีต้นกระทินปลูกกั้นทำเป็นรั้วเอาไว้
อีก 10 นาทีต่อมาไอริณก็กลับมาพร้อมกับกระเป๋าเงิน ชายหนุ่มยืนรออยู่แล้วที่รถกระบะสีแดง เมื่อหญิงสาวเดินมาถึงก็เปิดประตูให้เธอเข้าไปนั่ง แล้วตนเองก็ขึ้นไปประจำที่คนขับและขับออกไป ยายบุญมามองหนุ่มสาวทั้งสองแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“ยายยิ้มแบบนี้หมายความว่ายังไงจ๊ะ”จ่อยเอ่ยถามผู้เป็นยายอย่างยอกล้อ
“ฉันก็อยากให้นังหนูรินมาเป็นหลานสะใภ้นะสิว่ะ ถามได้ไอ้นี่”
“แล้วพี่เมฆเขาจะยอมหรือยาย” จ่อยหันมามองหน้าหญิงชราอีกครั้ง ยายบุญมาถอนใจก่อนจะตอบ
“ข้าก็ต้องแล้วแต่ไอ้หนูมัน ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ข้าไม่บังคับมันอยู่แล้ว”
“ดีจ้ะยาย แต่ยายไม่ต้องกลัวนะว่าจะไม่มีคนเลี้ยงตอนแก่ ฉันจะเอายายไปฝากหลวงตาที่วัดให้รับรองมีข้าวกินทุกมื้อไม่มีอด ฮ่า ฮ่า ฮ่า” จ่อยหัวเราะอย่างชอบใจ ยายบุญมาหันมามองเด็กหนุ่มตาขวางพร้อมกับหยิบขันน้ำใบเล็กปาไปที่เด็กหนุ่ม...จ่อยรู้ทันจึงรีบหลบเข้าที่เสาปูน
“ไอ้เลวข้าไม่ใช่หมานะโว้ยจะได้เอาไปปล่อยวัด ไอ้นี่” ยายบุญมาเท้าเอวด่าอย่างอารมณ์เสีย
“แหม...ยายล้อเล่นนิดเดียวทำเป็นโกรธ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแรงไปจะยุ่งนะจ้ะ ฉันไปดูคนงานขนของขึ้นรถก่อนนะจ๊ะยายจ๋า ไปล่ะ” เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับวิ่งตัวปลิวไปทางท้ายสวนที่กำลังขนของขึ้นรถบรรทุกกันอยู่ ยายบุญมาส่ายหน้าอย่างระอากับความขี้เล่นของเด็กหนุ่มแต่เธอรู้ดีว่าเด็กหนุ่มล้อเล่นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาจ่อยคอยช่วยเหลือเธอมาตลอดทั้งงานบ้านและงานในไร่ในสวน เธอจึงรักเด็กจ่อยเหมือนหลานชายอีกคนหนึ่ง
หลังจากที่ออกจากร้านสะดวกซื้อแล้ว ไอริณและเมธาก็มาเดินเลือกข้าวของเพื่อนำไปทำกับข้าวเย็นในตลาดสด หญิงสาวกล่าวทักทายแม่ค้าที่คุ้นหน้ากันอย่างเป็นกันเอง ชายหนุ่มเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อไปหาที่นั่งรอหญิงสาว เขานั่งลงที่ร้านกาแฟข้างๆกับตลาดสด
“ลุงครับกาแฟเย็น 1 แก้วครับ” ชายหนุ่มร้องสั่งเจ้าของร้าน ครู่ต่อมาอาโก๋จึงยกกาแฟมาให้และมองหน้าเขาอย่างพิจารณา
“พ่อหนุ่มใช่หลานชายยายบุญมาหรือเปล่า” เขาถามพร้อมกับมองอย่างพิจารณา
“ครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยิ้มให้
“ลุงว่าแล้วมันคุ้นๆหน้าอยู่ แล้วกลับมาเยี่ยมบ้านหรือ” โก๋นั่งลงตรงข้ามกับชายหนุ่ม
“เปล่าหรอกครับ กลับมาอยู่ที่นี่เลยครับและคิดว่าจะหางานทำที่นี่ด้วย”
“จริงหรือ ก็ดีสิยายบุญมาแกจะได้ไม่เหงาอีก แกมาแวะร้านลุงประจำนั่นแหละ เออ..เมื่อกี้บอกว่าจะหางานใช่ไหม ถ้างั้นก็เหมาะเลยพอดีลูกชายของลุงมันทำงานที่ร้านจิวเวอรี่อยู่ เห็นมันบอกว่ากำลังหาคนงานอยู่นะ โน่นไงมานั่นแล้ว” เมธามองตามมือของชายชราที่ชี้ออกไปทางหน้าร้าน
อริญชย์เดินเข้ามาในร้านบิดาพร้อมกับถุงกระดาษ 3-4 ใบ “สวัสดีจ้ะพ่อ วันนี้ฉันไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ ดูสิชอบหรือเปล่า” ชายหนุ่มยกถุงกระดาษให้ผู้เป็นบิดาและหันมามองทางเมธา
“เออ..ริชพอดีไอ้หนุ่มคนนี้กำลังหางานทำอยู่ เมื่อวานซืนเอ็งบอกว่าที่ร้านขาดคนอยู่ใช่ไหม”
“ใช่จ้ะพ่อแต่ขาดเจ้าหน้าที่บัญชีนะ แล้วน้องชายจบอะไรมาล่ะ” อริญชย์นั่งลงข้างๆและถามขึ้น
“ผมจบบัญชีมาครับ” ชายหนุ่มบอก
“หือ...จบบัญชีหรือ” อริญชย์ลากเสียงอย่างฉงน
“อย่าคิดว่าผมเป็นตุ๊ดนะครับ แต่ผมชอบสายนี้ครับเรื่องบัญชีผมทำได้สบายมาก” เมธายิ้มน้อยๆ
“เอ้อ เปล่าแค่แปลกใจที่ผู้ชายเรียนบัญชี แต่ท่าทางของน้องดูเรียบร้อยก็เหมาะแล้ว เอาแบบนี้ทางร้านเราต้องการพนักงานบัญชีพอดี น้องลองไปสมัครดูนะ ตามนามบัตรนี้เลย” อริญชย์ล้วงกระเป๋ากางเกงและหยิบนามบัตรออกมาส่งให้ เมธายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ไอริณเดินเข้ามาที่ร้านและมองหน้าชายหนุ่มอีกคนอย่างสงสัย อริญชย์มองหญิงสาวอย่างสนใจแต่ไอริณค้อนให้เขาแทนและหันไปมองเมธา
“กลับกันเถอะพี่เมฆ รินซื้อของครบแล้ว” หญิงสาวบอกและดึงมือชายหนุ่มให้ลุกขึ้น
“ผมกลับก่อนนะครับแล้วพรุ่งนี้ผมจะไปตามที่อยู่นี้นะครับ” เมธาลุกขึ้นและยกมือไหว้ผู้ที่อาวุโสทั้งสอง
“พี่จะรอนะน้องชาย” อริญชย์ส่งยิ้มให้ไอริณแต่หญิงสาวกลับแลบลิ้นทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มอย่างเอ็นดู
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้วไอริณจึงถามเมธาถึงผู้ชายอีกคน
“เขาเป็นใครกันพี่เมฆ แล้วคุยเรื่องอะไรกันหรือ”
“เขาเป็นผู้จัดการร้านจิวเวอรี่จรรยากรเชียวนะ รินไม่สนใจเขาหรือ หล่อนะ” ชายหนุ่มหันมายิ้ม
ไอริณส่ายหน้าและเบ้ปาก “ไม่สนใจหรอกใครๆเขาก็รู้กันว่านายวิรัตน์ จรรยากรเป็นมาเฟียใครเข้าไปยุ่งด้วยมีแต่ไม่รอดสักราย” หญิงสาวบอกและยิ้มให้กับชายหนุ่ม
“พี่ก็ได้ยินเขาพูดกันแต่เราไม่รู้ข้อเท็จจริงอย่าเพิ่งไปปรักปรำเขาเลยริน” ชายหนุ่มแสดงความเห็น
“จ้ะ พ่อพระ” หญิงสาวแกล้งลากเสียงและหัวเราะขำชายหนุ่ม
...แต่งานดีๆแบบนี้ใครล่ะจะไม่เอา เขาได้ยินมาว่าร้านจิวเวอรี่แห่งนี้เป็นรายสำคัญของประเทศที่ส่งออกไปขายต่างประเทศด้วย เขาว่ามันก็ไม่เสียหายอะไรเขาไม่ได้เข้าไปอยู่ในแก๊งมาเฟียด้วยเสียหน่อย
เมธาหนังดูซี่รี่เกาหลีอยู่ในห้องหลังจากทานข้าวเย็นเรียบร้อยแล้วและวันนี้เด็กจ่อยก็เข้ามานอนเป็นเพื่อนเขาด้วย
“พี่เมฆชอบหนังเกาหลีหรือ หุ่นไม่ให้เลย” จ่อยมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า
“แล้วทำไม พี่จะดูหนังแบบไหนมันก็เรื่องของพี่ นายไม่ชอบแล้วมานั่งดูทำไม”
“แหม..พี่เมฆฉันก็ถามดูเฉยๆ ฉันก็ชอบดูเหมือนกับพี่นั่นแหละแต่ไม่มีเงินซื้อ เอาไว้ว่างๆฉันมาขอดูที่ห้องพี่ด้วยคนนะ ฉันชอบนางเอกสวยๆ น่ารัก แก้มใสยังกับแก้วแน่ะ” เด็กหนุ่มนั่งเม่ออย่างเพ้อฝัน
“ชอบของนอกนะนายเนี่ย แล้วทำเป็นปากดี ถ้าแกว่างก็เข้ามาดูได้เลยมีตั้งหลายเรื่องแต่เลิกดูแล้วต้องเก็บให้เรียบร้อยนะ ” ชายหนุ่มบอกเพราะเขาชอบเก็บสะสมหนังเกาหลีเกือบทุกเรื่อง จนคนอื่นมองเขาเป็นพวกอีแอบแต่เขาก็ไม่สนใจ เขาได้รับการอบรมจากยายให้เป็นคนที่สุภาพ เรียบร้อย แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเอาจริงเขาก็ห้าวหาญสมชายเช่นเดียวกัน เขาไม่ชอบหาเรื่องคนอื่นก่อนแต่อย่ามาหาเรื่องกับเขาก่อนก็แล้วกัน ต่อยเป็นต่อย เตะเป็นเตะ ถึงไหนถึงกัน
“คุยอะไรกัน” ยายบุญมาเดินเข้ามานั่งลงข้างๆหลานชายบนเตียง
“เรื่องทั่วไปนะครับยาย”ชายหนุ่มบอกและนอนลงบนตักหญิงชรา บุญมาเอามือลูบผมหลานเล่นเบาๆ
“เมื่อเย็นนังหนูรินมันบอกกับยายว่าหลานจะไปสมัครงานกับเจ้าพ่ออะไรเนี่ยแหละ ยายก็จำไม่ได้”
“ร้านจิวเวอรี่จรรยากรครับ ผมไม่สนใจหรอกครับว่าเขาจะเป็นใครขอแค่ได้งานทำและได้เงินมากๆ ก็พอแล้ว ยายจะได้สบาย” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหน้าผู้เป็นยาย
“แต่ยายกลัวว่า...”
“ไม่มีอะไรหรอกยาย ผมไปเป็นพนักงานบัญชีนะครับไม่ได้ไปเป็นมาเฟียซะหน่อย” ชายหนุ่มยิ้มปลอบโยน
“งั้นก็ตามใจเราแล้วกัน แล้วอย่านอนดึกกันมากนักนะ ตอนเช้าต้องตื่นกันแต่เช้าด้วย โดยเฉพาะแกเจ้าจ่อย”
“อ้าวไงมาลงที่ฉันล่ะยาย” จ่อยเกาหัวแกร่กๆอย่างไม่เข้าใจ ยายบุญมาหันมาค้อนให้เด็กหนุ่ม
“ครับยาย” ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ยายบุญมาจึงเดินออกมาจากห้องของหลานชาย
“ยายรักพี่มากเลยนะพี่เมฆ ตอนที่พี่ไม่อยู่นะยายก็บ่นถึงพี่ทุกวันเลย จนหูฉันเนี่ยจะเป็นหนวกอยู่แล้ว” จ่อยขยี้หูของตนเอง เมธายิ้มให้ในความทะเล้นของเด็กหนุ่ม
“นายมันก็พูดเวอร์เกินไป” เมธาหัวเราะและเอนตัวลงนอน “ถ้าเลิกดูแล้วปิดให้เรียบร้อยด้วยนะ พี่จะนอนแล้ว” ชายหนุ่มบอกและหันหลังให้พร้อมกับหลับตาลง
“คร้าาบบบบบบบบบบบบ” เด็กหนุ่มลากเสียงยาวรับคำแล้วหันไปสนใจหนังต่อ
รุ่งเช้าเมธาตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมเอกสารการสมัครงานและแต่งตัวเดินลงมาจากบ้าน เขาเห็นยายของเขาและจ่อยกำลังช่วยกันตั้งสำรับอาหารอยู่ ชายหนุ่มวางกระเป๋าเอกสารลงและเดินเข้าไปหายายเพื่อช่วยถือจานและช้อน
“มาครับผมช่วย”
“ไปนั่งรอที่โต๊ะเถอะลูกเดี๋ยวจ่อยมันจัดการเอง” ชายหนุ่มชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินเพื่อจะเข้าไปยกหม้อข้าวออกมา
“ใช่ พี่ต้องรีบไปไม่ใช่หรือเดี๋ยวฉันไปเอาเอง” เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปในครัวและยกหม้อข้าวออกมาพร้อมกับตักใส่จานให้กับเขา
“วันนี้ยายทำต้มจืดตำลึงให้เอ็งด้วยนะ ของโปรดไม่ใช่หรือ” บุญมานั่งลง
“ขอบคุณครับยาย” ชายหนุ่มกล่าว
“ยายตื่นแต่เช้าเลยนะพี่ เข้าครัวมาทำให้พี่เองเลย” จ่อยบอกและตักข้าวใส่จานตนเองเมื่อตักให้ยายเสร็จแล้ว
“แล้วพี่จะให้ฉันไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า” จ่อยถามชายหนุ่ม
“ไม่ต้องหรอกแค่นี้เอง พี่ไปได้สบายมาก” เมธาบอกและตักข้าวใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย
“แล้วเราไม่คิดจะหางานทำบ้างหรือไงจ่อย” ชายหนุ่มถามขึ้น
“ยายบอกมันจนปากจะฉีกอยู่แล้ว มันก็ไม่ยอมไป ไม่รู้จะห่วงอะไร” ยายบุญมาหันมาบอกกับหลานชาย
“โธ่ ยาย ก็ห่วงยายนั่นแหล่ะ ถ้าฉันไปแล้วใครจะดูแลยายล่ะ สู้อยู่ทะเลาะกับยายดีกว่าสนุกกว่ากันเยอะ” เด็กหนุ่มหัวเราะ
“ดู เอ็งฟังมันพูดนะ ขี้เกียจสิไม่ว่า” บุญมาชี้หน้าเด็กหนุ่ม จ่อยหัวเราะเขินๆ
“แหม ยายชอบรู้ทันฉันอยู่เรื่อยเลย ฉันอยู่เกาะยายกินแบบนี้สบายดี ฮ่า ฮ่า ฮ่า”จ่อยหัวเราะชอบใจ
“ต้องคิดนะจ่อย เพราะต่อไปนายก็ต้องมีครอบครัวต้องเป็นหลักให้กับครอบครัว”
“โอ้ย..เรื่องนั้นหายห่วงเลยพี่ไม่มีใครเอาผมหรอก อีกอย่างผมก็ไม่คิดจะมีเมียด้วย จะอยู่ดูแลยายแกที่นี่แหละ” จ่อยยิ้มให้ยายบุญมาและเมธา คำพูดที่ซึ้งกินใจของจ่อยทำให้เมธาซึ้งในน้ำใจของเด็กหนุ่มที่ไม่เคยลืมบุญคุณของผู้อื่น “ยาย ยายทำหน้าจะร้องไห้ทำไมหรือยาย ฉันพูดซึ้งมากเลยใช่ไหม ยาย โอ้ อย่าร้องนะคนดีของจ่อย” จ่อยทำมือหมุนไปมาตรงหน้ายายบุญมา
“ไอ้นี่เล่นด้วยแล้วชอบทะลึ่ง เป็นไอ้แดงเชียว” บุญมากระพริบตาถี่ก่อนจะหันมาทำหน้าดุใส่เด็กหนุ่ม
“โธ่ ยายเปรียบเทียบเสียหายหมด ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ทั้ง 3 คน ทานข้าวกันอย่างมีความสุขมีเสียงพูดคุยปนเสียงหัวเราะทำให้ทุกคนเจริญอาหารมากขึ้น