เจ้าพ่อกำมะลอ

136.0K · จบแล้ว
กานจ์แก้ว
53
บท
3.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“คุณจะต้องอยู่ที่นี่กับผมจนกว่าผมจะพอใจหรือไม่ก็พ่อคุณก็ต้องตายเสียก่อน”“นายเกลียดอะไรพ่อของฉันหนักหนาถึงต้องจับตัวฉันมาแบบนี้” พิจิตราถามด้วยน้ำตาคลอ“คุณอย่ามาใช้น้ำตาเรียกร้องความสงสารจากผมเลยมันไม่มีประโยชน์ แล้วก็อย่างที่บอกผมจับคุณมาเพื่อแก้แค้น คุณเตรียมตัวไว้ได้เลย แล้วก็รีบอาบน้ำแล้วไปทำกับข้าวให้ผมกิน” ชายหนุ่มผลักเธอล้มไปกับที่นอน พิจิตรารีบลุกขึ้นยืนทันที “ไม่มีทาง นายไม่ใช่พ่อฉันไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน”“ทำไมจะไม่ได้ คุณเลือกเอาว่าจะให้ผมอาบให้คุณหรือว่าจะอาบเอง” ราเมศวร์มองเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พิจิตราเริ่มกลัวผู้ชายตรงหน้ามากขึ้นทุกขณะและเธอคิดว่าเขาไม่ได้พูดเล่นกับเธอแน่“ว่าไง” ชายหนุ่มตะคอกใส่จนหญิงสาวสะดุ้ง“ไม่ต้องเข้ามา ฉันอาบเองได้ นายจำไว้ถ้าฉันหลุดไปได้ นายจะต้องจำชื่อฉันไปจนวันตาย” หญิงสาวรีบวิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำ“เสื้อผ้าของคุณอยู่ในตู้เสื้อผ้า ผมให้เวลาคุณ 15 นาที ถ้ายังไม่ลงไปที่ครัวผมจะขึ้นมาลากคุณลงไป อย่าช้า”“ปัง!” เสียงปิดประตูกระแทกอย่างแรงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไป ทำให้พิจิตราทรุดนั่งลงกับพื้นห้องน้ำ ปล่อยน้ำตาออกมาอย่างไม่อาย“ยังไม่เสร็จอีกเหรอไงคุณหนูใบหลิว” ราเมศวร์ก้าวเข้ามาในห้องอีกครั้งด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง พิจิตรากระชับผ้าขนหนูให้แน่นขึ้น“หึ คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่าผมจะปล้ำคุณ ผู้หญิงอย่างคุณผมไม่ยุ่งด้วยให้เสียเผ่าพันธุ์ของผมหรอก” “แก..มันจะมากไปแล้วนะ ก็ดูเสื้อผ้าของนายสิ เสื้อผ้าคนรับใช้ของฉันยังดูดีกว่าของนายตั้งเยอะ แบบนี้ใครจะใส่เข้าไปลง”

นิยายรักนิยายรักโรแมนติกประธานแก้แค้นมาเฟียเศรษฐีโรแมนติก

ตอนที่ 1 ชะตากรรม

ท่ามกลางความมืดในยามราตรีของเมืองหลวง...เมธาชายหนุ่มผู้ซึ่งชะตากรรมได้เล่นตลกกำลังนั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าที่ผ่านมาที่บริษัทที่เขาทำงานอยู่...เขาได้แต่งตัวไปทำงานตามปรกติ แต่ในตอนเช้าหัวหน้าของเขาได้เรียกพนักงานทุกคนเข้าประชุมด่วนและได้แจ้งให้กับพวกเขาได้รับทราบว่าบริษัทถูกฟ้องล้มละลาย...คำบอกกล่าวของหัวหน้าทำให้พนักงานทุกคนนิ่งเงียบงันไป ต่างก็ใจหาย

“ท่านประธานไม่ต้องการจะทำแบบนี้หรอกแต่บริษัทล้มละลายแล้ว จึงขอให้ทุกคนเก็บของและออกไปจากที่นี่ก่อนเย็นนี้” หัวหน้าฝ่ายบุคคลกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย

“นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นครับหัวหน้า พวกเราไม่เห็นมีวี่แววอะไรมาก่อนเลย” พนักงานคนหนึ่งถามขึ้น

“ใช่ค่ะ” พนักงานสาวหันไปพยักหน้ากับเพื่อน

“ที่ผ่านมาบริษัทของเราขาดทุนมาตลอด 2 ปี ท่านประธานจึงไปกู้เงินจากธนาคารมาช่วยพยุงธุรกิจและจ่ายเงินเดือนให้กับพวกเรา แต่ในตอนนี้ท่านไม่มีเงินจ่ายให้กับทางธนาคาร บริษัทจึงถูกฟ้อง หวังว่าทุกคนคงเข้าใจ ส่วนเรื่องเงินเดือนล่วงหน้า 6 เดือน ท่านประธานให้เข้าไปรับที่คุณอรเลขาของท่านได้เลย” หัวหน้าอธิบาย

พนักงานหญิงต่างพากันร้องไห้และเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนาๆก็ดังขึ้น

“แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนส่งกลับไปให้ลูกที่บ้านนอกล่ะ” พนักงานวัยกลางคนบ่นทั้งน้ำตา

“ฉันก็เพิ่งดาวน์บ้านใหม่จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย” หนุ่มวัย 30 พูดออกมาด้วยสีหน้าเศร้าโศก

“ส่วนผมก็เพิ่งถอยรถออกมาใหม่ แย่จริงๆ” หนุ่มวัย 27 ปีเศษๆก้มหน้าพร้อมกับเดินไปที่โต๊ะทำงานของตนเอง

ทุกคนต่างแยกย้ายเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตนเองและเริ่มเก็บของส่วนตัวลงในกล่องกระดาษและกระเป๋า

“แล้วนายล่ะเมฆจะไปไหนต่อ แต่นายคงไม่ลำบากเพราะลูกเมียก็ยังไม่มีแถมพ่อแม่ก็มาตายจากไปก่อนแล้ว” เพื่อนหนุ่มถามขึ้น

“ก็คงจะกลับไปอยู่กับยายที่พิจิตร แต่ฉันก็คงต้องรีบหางานทำเหมือนกับทุกคนนั่นแหล่ะเพราะฉันเอาเงินเก็บไปซื้อที่ดินเอาไว้ให้ยายทำไร่ทำสวนไปหมดแล้ว และยังต้องผ่อนให้เขาทุกเดือนเหมือนกัน” เมธาหันมาบอกเพื่อน

“แล้วนายจะไปทำที่ไหนล่ะ”

“ก็คงจะหาแถวๆบ้านเอา เพราะยายก็แก่แล้วไม่มีคนดูแล” ชายหนุ่มก้มเก็บของในลิ้นชักใส่กล่องกระดาษ

“อืม...ขอให้นายโชคดีนะ” เพื่อนหนุ่มยิ้มให้เขา เมธาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วหยิบปากกาใส่ลงในกระเป๋าเป็นชิ้นสุดท้ายก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงานเงียบๆ ตรงไปยังประตูลิฟท์ด้านหน้าห้องทำงานของเขา จิตใจของชายหนุ่มสับสนและวุ่นวายไปหมดไม่นึกว่าเหตุการณ์นี้จะมาถึงตัวเขาเร็วขนาดนี้...สายตาของเมธาทอดมองลงไปยังเบื้องล่างที่มีแสงไฟหลากสีเปิดแข่งกันและเสียงรถที่วิ่งสวนกันไปมาอยู่ที่ท้องถนน

“เฮ้อ..” เขาถอนใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วเดินกลับเข้าไปด้านในห้อง

รุ่งเช้าเมธาชงกาแฟแล้วเดินออกมาที่ระเบียงห้อง เขานึกถึงใบหน้าเพื่อนร่วมงานแล้วก็อดสงสารไม่ได้แต่จะทำยังไงได้ ก็ยังดีที่ยังมีเงินต่อทุนไปได้อีก 6 เดือน ชายหนุ่มยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแล้วเดินเข้ามาด้านในห้องเพื่อเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าเป้สีดำ เขามีของไม่มากนักเพราะห้องที่เขาเช่าเป็นห้องชุดมีข้าวของเครื่องใช้ให้ครบครันอยู่แล้ว

“เฮ้อ...ไปทำไร่ไถนากับยายก็ดี ในกรุงเทพมีแต่เรื่องวุ่นวาย กลับไปหาอากาศบริสุทธิ์ที่บ้านเราดีกว่า” ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเองเมื่อนึกถึงบ้านที่จากมาเมื่อ 5 ปีก่อน นึกถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นั่น ตื่นเช้ามาก็รีบออกไปทำน่าทำไร่มีลูกหลานตามไปด้วยเป็นพรวนไปวิ่งไล่จับกันในนา จับปลาตามแอ่งน้ำ คิดมาถึงตรงนี้เมธาก็อดอมยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้

เมธามองผ่านประตูรั้วไม้สีขาวเข้าไปภายใน เรือนไม้สองชั้นซึ่งเขาเคยอยู่มาตั้งแต่เด็กจนโตยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างแต่ก็มีบางส่วนที่ผุพังไปตามกาลเวลา ชายหนุ่มยิ้มอย่างดีใจ

“ยาย!” เมธาร้องเรียกหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน ยายบุญมาหันมามองตามเสียงที่เรียกและเสียงสุนัขก็เห่าขึ้น “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” ยายบุญมาเพ่งมองอย่างนักเพราะสายตาของคนแก่ที่อย่างเข้าวัย 85 ปีกว่านั้นมันพร่ามัวเสียเหลือเกิน ตอนนี้มองอะไรก็ไม่ค่อยชัดแล้วไม่เหมือนเมื่อก่อน “หยุด ไอ้แดง ไป เข้าไปในบ้านเลยไป” เสียงตวาดของยายบุญมาทำให้เจ้าแดงสุนัขเฝ้าบ้านตัวเก่งต้องเดินคอตกมุดเข้าไปใต้แคร่ไม้ที่อยู่ใต้ถุนบ้านอีกครั้ง หญิงสูงวัยเดินไปที่ประตูรั้วแล้วเพ่งสายตามอง

“มาหาใครล่ะพ่อหนุ่ม”

“ยาย ผมเองเจ้าเมฆหลานยายไงครับ ผมกลับมาแล้ว” ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม

“ไอ้หนูเองหรือ...เอ็งกลับมาแล้ว” ยายบุญมายิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนจะเข้าไปเปิดประตูรั้วให้หลานชาย เมธาโผเข้ากอดผู้เป็นยายด้วยความคิดถึงและดีใจ

“ครับ ผมกลับมาแล้วยาย ผมจะมาอยู่กับยายที่นี่ จะมาคอยดูแลยาย ผมคิดถึงยายที่สุดในโลกเลยนะครับ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับซบหน้าลงกับอกของยายบุญมา

“หมายความว่าเอ็งจะไม่กลับไปที่กรุงเทพฯอีกแล้วใช่ไหมลูก” หญิงชราก้มหน้าลงมองหลานชาย

“ครับยาย ผมกลับมาอยู่กับยาย”

“ดีเหลือเกินลูก ยายคิดถึงเอ็งมากเลยรู้ไหมเป็นห่วงทุกวันเลยว่าเอ็งจะไปลำบากหรือเปล่า จะกินอิ่มหรือเปล่า เวลานอนใครจะปูที่นอนให้” บุญมาโอบกอดหลานชายแน่นเช่นกัน

จ่อยเด็กหนุ่มวัย 20 ปี เดินออกมาจากสวนส้มพอดีเห็นหญิงชรากอดชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่จึงหยุดยืนแล้วมองอย่างพิจารณา

“ใครมาน่ะยาย”

เมธาหันมาทางจ่อยอย่างช้าๆพร้อมกับส่งยิ้มให้ เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าเป็นใครถึงกับยิ้มกว้างแล้ววิ่งกระโดดเข้าไปกอดชายหนุ่มอย่างดีใจ

“พี่เมฆ พี่เมฆจริงๆด้วย ตัวเป็นๆเลยนะยาย ฉันดีใจจริงๆเลยที่พี่กลับมา” จ่อยลูบคลำตัวชายหนุ่มไปมาอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง

“ก็ใช่นะสิ นี่พี่ตัวเป็นๆเลย” ชายหนุ่มหัวเราะ...เขาและเด็กจ่อยเคยเล่นมาด้วยกันอายุเขามากกว่า 7 ปี

“แหมจำแทบไม่ได้หล่อเป็นบ้าเลย ทำไมฉันไม่หล่อแบบพี่บ้างนะ ฉันจะได้มีเมียเสียที” เด็กหนุ่มก้มลงมองดูตัวเอง

“น้อยๆหน่อยเถอะไอ้ตัวดี แกแดดไปแล้ว เจ้านี่” บุญมาเท้าเอวมองค้อนจ่อยอย่างไม่พอใจ

“แหม ยายก็หาเมียมาช่วยดูแลยายไง ยายไม่ชอบหรือไงจะได้สบายเสียที แต่พี่เมฆหล่อจริงๆยังกับดาราหนังแน่ะ” เด็กหนุ่มยืนยิ้มอย่างภูมิใจ

“นายก็หล่อตามแบบฉบับของนายนั่นแหล่ะ” ชายหนุ่มตบไหล่จ่อยเบาๆ

“หล่อแบบดำๆเนี่ยนะ” เด็กจ่อยหัวเราะ

“ไปนั่งคุยกันดีกว่า เดี๋ยวยายจะเมื่อย” เมธาบอกและประคองยายของตนเองไปนั่งลงที่แคร่ไม้ใต้ถุนบ้าน เด็กจ่อยเดินตามหลังมาและนั่งลงข้างๆยายบุญมา

“ยายก็ได้เจ้าจ่อยนี่แหละที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้ มันน่ะขยันมากนะ” หญิงชราบอก จ่อยจึงได้แต่ทำท่าเขินอายและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ขอบใจมากนะจ่อยที่ดูแลยายและสวนแทนพี่” ชายหนุ่มยิ้ม

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่กับยายที่รับฉันมาอยู่ด้วยไม่งั้นป่านนี้ฉันคงต้องตายเพราะไอ้พ่อเลี้ยงที่ติดยานั่นแล้ว” เด็กหนุ่มนึกถึงอดีตของตนเองแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เมื่อ 6 ปีก่อนตอนที่เขาอายุได้ 14 ปี พ่อเลี้ยงของเขาทุบตีเขาทุกวันเพราะเมายาบ้า ส่วนแม่ของเขาตายไปแล้วเพราะโดนพ่อเลี้ยงทุบตีจนช้ำในตาย เมธาและยายบุญมาไปหาซื้อที่ดินแถวนั้นจึงได้เจอและขอเขามาจากพ่อเลี้ยงตอนแรกพ่อเลี้ยงจะไม่ยอมแต่เมธาบอกว่าจะแจ้งความ เขาจึงได้ยอมปล่อยจ่อยมา

“นายอย่าคิดอะไรมากสิ เราก็เป็นเหมือนพี่น้องกันแล้ว ตอนนี้พี่ก็กลับมาอยู่บ้านแล้ว มาช่วยยายกับนายทำสวนไง” เมธาอมยิ้ม

“พี่มาก็ดีแล้ว พี่รู้ไหมว่าตอนนี้..” เด็กหนุ่มทำท่าขึงขัง

“เจ้าจ่อย เอ็งกลับมาเหนื่อยๆไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ ข้าเหม็นเหงื่อเอ็งจะแย่อยู่แล้ว” บุญมาพูดขัดขึ้นเสียก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดจบ จ่อยทำหน้าง้ำหันมามองทางยายบุญมา “โธ่ ยายก็ฉัน..”

“ไม่ต้องมาโธ่เลย ไป รีบไปไวๆเลย” บุญมาทำหน้าดุใส่ จ่อยจึงรีบวิ่งจากไปอย่างไม่พอใจ

“เมื่อกี้จ่อยมันจะพูดอะไรหรือยาย” เมธาขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอกลูก ว่าแต่เอ็งเถอะมาเหนื่อยๆไปอาบน้ำอาบท่าก่อนดีกว่าใกล้เที่ยงแล้วเดี๋ยวได้ลงมากินข้าวกินปลากัน” หญิงชราบอกพร้อมกับยิ้ม

“ครับยาย แล้วยายจะทำอะไรให้ผมกินล่ะครับวันนี้” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ

“เดี๋ยวยายจะตำน้ำพริกสดให้กิน เอ็งชอบไม่ใช่เหรอ” เมธาพยักหน้า เขาไม่ได้กินฝีมือยายของเขามานานมากแล้วแต่เขายังจำรสชาติของมันได้ดี

“งั้นผมรีบขึ้นไปอาบน้ำก่อนดีกว่าเริ่มหิวแล้วสิ” เมธาเอามือลูบหน้าท้องไปมา

“ไปเถอะห้องของเอ็ง ยายเข้าไปทำความสะอาดให้ทุกวัน ข้าวของยังอยู่ครบถ้วน”

“ขอบคุณมากครับยาย” เมธาก้มลงกราบผู้เป็นยายอีกครั้งก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายอีกครั้งแล้วเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องของตนเอง

กับข้าวมื้อเที่ยงทำให้เมธาเจริญอาหารเป็นอย่างมาก...เขาชอบฝีมือตำน้ำพริกของยายมากทั้งเผ็ดร้อนและเปรี้ยวเค็มพอเหมาะ หลังทานอาหารกันเสร็จทั้งสามคนก็มานั่งคุยกันที่ใต้ถุนบ้าน

“อิ่มจังเลยยายดูสิท้องผมจะแตกอยู่แล้ว” เมธาเลิกพุงให้ผู้เป็นยายดู

“ก็กินเข้าไปซะมากขนาดนั้น” ยายบุญมามองหลานชายอย่างเอ็นดู

“ก็ฝีมือยายอร่อยนี่นา” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มแล้วใช้มือลูบท้องขึ้นลง

“จริงสิพี่เมฆทำไมกลับมาอยู่บ้านล่ะ ลาออกมาทำไม” เด็กหนุ่มถามด้วยความข้องใจ

“เปล่าหรอกบริษัทมีปัญหาพวกพี่ก็เลยถูกจากออก”

“แล้วพี่จะกลับไปกรุงเทพฯอีกหรือเปล่า” จ่อยมองหน้าเขาอย่างรอคำตอบ

“ไม่แล้วล่ะพี่คิดว่าจะกลับมาอยู่บ้านสักระยะหนึ่ง” ชายหนุ่มบอก

“ดีแล้วลูก ความจริงเอ็งก็น่าจะกลับมาช่วยยายทำสวนตั้งนานแล้วจะได้ไม่ต้องไปเป็นลูกน้องใครเขา” บุญมาบอกกับหลานชาย

“มันจะไม่พอส่งค่างวดให้กับเถ้าแก่ฮวดเขาน่ะสิยาย ลำพังแค่เงินขายส้มและผักก็ไม่พอที่จะจ่ายแต่ละงวดอยู่แล้ว ไหนจะต้องหักจ่ายค่าแรงคนงานอีก”

“ยายว่าจะปลูกผักเพิ่ม ยายจะทำเองไม่จ้างคนงาน ยายพอทะไหว” บุญมายิ้มให้หลานชาย

“ผมไม่อยากให้ยายเหนื่อยมากกว่านี้แล้ว ผมจะช่วยยายเองแล้วก็หางานทำแถวๆบ้านเรานี่แหล่ะจะได้อยู่ใกล้ๆยายด้วย” ชายหนุ่มบอกและคลานไปนอนลงบนตักของยายบุญมาและหลับตาลง

“เดี๋ยวฉันจะลองถามพวกเพื่อนๆให้นะพี่ พวกมันอยู่ในเมืองคงรู้เรื่องอะไรดีๆ”

“ขอบใจมากนะจ่อย” เมธาลืมตาผงกศีรษะขึ้นมองเด็กหนุ่ม

“งั้นเดี๋ยวฉันออกไปส่งผักที่ตลาดก่อนนะยาย แล้วจะรีบกลับ” จ่อยลุกขึ้นแล้วหันไปบอกยายบุญมา

“ขับรถดีๆล่ะ เอ็งมันพวกเด็กแว่นสะด้วย” บุญมาบอกอย่างเป็นห่วง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยายเขาเรียกเด็กแว้นยาย ไม่ใช่เด็กแว่น” จ่อยหัวเราะน้ำตาคลอ เมธาก็พลอยหัวเราะไปด้วย

“เอ่อๆ นั่นแหละก็ข้าไม่รู้จักนี่หว่า อย่ามัวแต่พูดมากอยู่เลย รีบไปรีบมาเถอะ” บุญมายกมือไล่

“จ้า” เด็กหนุ่มรับคำก่อนจะเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซด์ที่เบาะท้ายผูกเข่งใส่ผักเอาไว้แล้วขับออกไป

ยายบุญมานั่งมองหลานชายที่หลับตาอยู่บนตักอย่างนึกสงสาร เขาเป็นหลานชายคนเดียวของเธอสิ่งที่เขาทำเธอก็รู้ว่าไม่อยากให้ยายอย่างเธอลำบาก ชายหนุ่มทำงานและส่งเงินมาทุกเดือน จนพอจะมีเงินก้อนอยู่บ้างจึงตัดสินใจไปซื้อที่ดินที่ติดกับบ้านเอาไว้เพื่อทำสวนส้มและปลูกผักขาย ลูกสาวของเธอมาด่วนเสียชีวิตไปพร้อมกับลูกเขยตั้งแต่เมธาได้ 3 ขวบ ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอรู้แต่เพียงว่าลูกเขยของเธอเป็นสมุนของพวกมาเฟียมาก่อนแต่พอแต่งงานกับลูกสาวของเธอ เขาก็เลิกงานมาเฟียหันมาทำนาทำไร่และรักลูกรักเมียมาก สิ่งสุดท้ายที่ทั้งคู่เหลือไว้ให้ลูกชายก็คือสร้อยทองพร้อมกับจี้ทองที่ด้านในจี้มีรูปภาพผู้ชาย 2 คน คนหนึ่งก็คือลูกเขยของเธอแต่อีกคนเธอเองก็ไม่รู้จัก เรื่องนี้หลานชายของเธอเองก็ยังไม่รู้เพราะเธอไม่อยากให้หลานชายคนเดียวต้องไปพัวพันกับแก๊งมาเฟียหรือพวกที่มีอิทธิพลอีก เธอจึงเก็บสร้อยทองนั้นเอาไว้ในหีบกำปั่นขนาดเล็กบนหัวเตียง

“เมฆ หลับแล้วหรือลูก” หญิงสูงวัยเรียกเบาๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบเธอจึงยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู พร้อมกับลูบผมชายหนุ่มอย่างเบามือ

“สงสัยจะเหนื่อย ปล่อยให้หลับให้สบายดีกว่า” บุญมาเอื้อมหยิบหมอนหนุนใกล้ๆ ที่ตนเองใช้หนุนนอนตอนกลางวันเอามาหนุนให้หลานชายแทนตักของตัวเอง แล้วก้าวลงจากแคร่ไม้เดินหายไปทางหลังบ้าน