ตอนที่ 1 ชะตากรรม
ท่ามกลางความมืดในยามราตรีของเมืองหลวง...เมธาชายหนุ่มผู้ซึ่งชะตากรรมได้เล่นตลกกำลังนั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าที่ผ่านมาที่บริษัทที่เขาทำงานอยู่...เขาได้แต่งตัวไปทำงานตามปรกติ แต่ในตอนเช้าหัวหน้าของเขาได้เรียกพนักงานทุกคนเข้าประชุมด่วนและได้แจ้งให้กับพวกเขาได้รับทราบว่าบริษัทถูกฟ้องล้มละลาย...คำบอกกล่าวของหัวหน้าทำให้พนักงานทุกคนนิ่งเงียบงันไป ต่างก็ใจหาย
“ท่านประธานไม่ต้องการจะทำแบบนี้หรอกแต่บริษัทล้มละลายแล้ว จึงขอให้ทุกคนเก็บของและออกไปจากที่นี่ก่อนเย็นนี้” หัวหน้าฝ่ายบุคคลกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย
“นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นครับหัวหน้า พวกเราไม่เห็นมีวี่แววอะไรมาก่อนเลย” พนักงานคนหนึ่งถามขึ้น
“ใช่ค่ะ” พนักงานสาวหันไปพยักหน้ากับเพื่อน
“ที่ผ่านมาบริษัทของเราขาดทุนมาตลอด 2 ปี ท่านประธานจึงไปกู้เงินจากธนาคารมาช่วยพยุงธุรกิจและจ่ายเงินเดือนให้กับพวกเรา แต่ในตอนนี้ท่านไม่มีเงินจ่ายให้กับทางธนาคาร บริษัทจึงถูกฟ้อง หวังว่าทุกคนคงเข้าใจ ส่วนเรื่องเงินเดือนล่วงหน้า 6 เดือน ท่านประธานให้เข้าไปรับที่คุณอรเลขาของท่านได้เลย” หัวหน้าอธิบาย
พนักงานหญิงต่างพากันร้องไห้และเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนาๆก็ดังขึ้น
“แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนส่งกลับไปให้ลูกที่บ้านนอกล่ะ” พนักงานวัยกลางคนบ่นทั้งน้ำตา
“ฉันก็เพิ่งดาวน์บ้านใหม่จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย” หนุ่มวัย 30 พูดออกมาด้วยสีหน้าเศร้าโศก
“ส่วนผมก็เพิ่งถอยรถออกมาใหม่ แย่จริงๆ” หนุ่มวัย 27 ปีเศษๆก้มหน้าพร้อมกับเดินไปที่โต๊ะทำงานของตนเอง
ทุกคนต่างแยกย้ายเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตนเองและเริ่มเก็บของส่วนตัวลงในกล่องกระดาษและกระเป๋า
“แล้วนายล่ะเมฆจะไปไหนต่อ แต่นายคงไม่ลำบากเพราะลูกเมียก็ยังไม่มีแถมพ่อแม่ก็มาตายจากไปก่อนแล้ว” เพื่อนหนุ่มถามขึ้น
“ก็คงจะกลับไปอยู่กับยายที่พิจิตร แต่ฉันก็คงต้องรีบหางานทำเหมือนกับทุกคนนั่นแหล่ะเพราะฉันเอาเงินเก็บไปซื้อที่ดินเอาไว้ให้ยายทำไร่ทำสวนไปหมดแล้ว และยังต้องผ่อนให้เขาทุกเดือนเหมือนกัน” เมธาหันมาบอกเพื่อน
“แล้วนายจะไปทำที่ไหนล่ะ”
“ก็คงจะหาแถวๆบ้านเอา เพราะยายก็แก่แล้วไม่มีคนดูแล” ชายหนุ่มก้มเก็บของในลิ้นชักใส่กล่องกระดาษ
“อืม...ขอให้นายโชคดีนะ” เพื่อนหนุ่มยิ้มให้เขา เมธาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วหยิบปากกาใส่ลงในกระเป๋าเป็นชิ้นสุดท้ายก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงานเงียบๆ ตรงไปยังประตูลิฟท์ด้านหน้าห้องทำงานของเขา จิตใจของชายหนุ่มสับสนและวุ่นวายไปหมดไม่นึกว่าเหตุการณ์นี้จะมาถึงตัวเขาเร็วขนาดนี้...สายตาของเมธาทอดมองลงไปยังเบื้องล่างที่มีแสงไฟหลากสีเปิดแข่งกันและเสียงรถที่วิ่งสวนกันไปมาอยู่ที่ท้องถนน
“เฮ้อ..” เขาถอนใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วเดินกลับเข้าไปด้านในห้อง
รุ่งเช้าเมธาชงกาแฟแล้วเดินออกมาที่ระเบียงห้อง เขานึกถึงใบหน้าเพื่อนร่วมงานแล้วก็อดสงสารไม่ได้แต่จะทำยังไงได้ ก็ยังดีที่ยังมีเงินต่อทุนไปได้อีก 6 เดือน ชายหนุ่มยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแล้วเดินเข้ามาด้านในห้องเพื่อเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าเป้สีดำ เขามีของไม่มากนักเพราะห้องที่เขาเช่าเป็นห้องชุดมีข้าวของเครื่องใช้ให้ครบครันอยู่แล้ว
“เฮ้อ...ไปทำไร่ไถนากับยายก็ดี ในกรุงเทพมีแต่เรื่องวุ่นวาย กลับไปหาอากาศบริสุทธิ์ที่บ้านเราดีกว่า” ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเองเมื่อนึกถึงบ้านที่จากมาเมื่อ 5 ปีก่อน นึกถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นั่น ตื่นเช้ามาก็รีบออกไปทำน่าทำไร่มีลูกหลานตามไปด้วยเป็นพรวนไปวิ่งไล่จับกันในนา จับปลาตามแอ่งน้ำ คิดมาถึงตรงนี้เมธาก็อดอมยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้
เมธามองผ่านประตูรั้วไม้สีขาวเข้าไปภายใน เรือนไม้สองชั้นซึ่งเขาเคยอยู่มาตั้งแต่เด็กจนโตยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างแต่ก็มีบางส่วนที่ผุพังไปตามกาลเวลา ชายหนุ่มยิ้มอย่างดีใจ
“ยาย!” เมธาร้องเรียกหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน ยายบุญมาหันมามองตามเสียงที่เรียกและเสียงสุนัขก็เห่าขึ้น “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” ยายบุญมาเพ่งมองอย่างนักเพราะสายตาของคนแก่ที่อย่างเข้าวัย 85 ปีกว่านั้นมันพร่ามัวเสียเหลือเกิน ตอนนี้มองอะไรก็ไม่ค่อยชัดแล้วไม่เหมือนเมื่อก่อน “หยุด ไอ้แดง ไป เข้าไปในบ้านเลยไป” เสียงตวาดของยายบุญมาทำให้เจ้าแดงสุนัขเฝ้าบ้านตัวเก่งต้องเดินคอตกมุดเข้าไปใต้แคร่ไม้ที่อยู่ใต้ถุนบ้านอีกครั้ง หญิงสูงวัยเดินไปที่ประตูรั้วแล้วเพ่งสายตามอง
“มาหาใครล่ะพ่อหนุ่ม”
“ยาย ผมเองเจ้าเมฆหลานยายไงครับ ผมกลับมาแล้ว” ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม
“ไอ้หนูเองหรือ...เอ็งกลับมาแล้ว” ยายบุญมายิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนจะเข้าไปเปิดประตูรั้วให้หลานชาย เมธาโผเข้ากอดผู้เป็นยายด้วยความคิดถึงและดีใจ
“ครับ ผมกลับมาแล้วยาย ผมจะมาอยู่กับยายที่นี่ จะมาคอยดูแลยาย ผมคิดถึงยายที่สุดในโลกเลยนะครับ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับซบหน้าลงกับอกของยายบุญมา
“หมายความว่าเอ็งจะไม่กลับไปที่กรุงเทพฯอีกแล้วใช่ไหมลูก” หญิงชราก้มหน้าลงมองหลานชาย
“ครับยาย ผมกลับมาอยู่กับยาย”
“ดีเหลือเกินลูก ยายคิดถึงเอ็งมากเลยรู้ไหมเป็นห่วงทุกวันเลยว่าเอ็งจะไปลำบากหรือเปล่า จะกินอิ่มหรือเปล่า เวลานอนใครจะปูที่นอนให้” บุญมาโอบกอดหลานชายแน่นเช่นกัน
จ่อยเด็กหนุ่มวัย 20 ปี เดินออกมาจากสวนส้มพอดีเห็นหญิงชรากอดชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่จึงหยุดยืนแล้วมองอย่างพิจารณา
“ใครมาน่ะยาย”
เมธาหันมาทางจ่อยอย่างช้าๆพร้อมกับส่งยิ้มให้ เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าเป็นใครถึงกับยิ้มกว้างแล้ววิ่งกระโดดเข้าไปกอดชายหนุ่มอย่างดีใจ
“พี่เมฆ พี่เมฆจริงๆด้วย ตัวเป็นๆเลยนะยาย ฉันดีใจจริงๆเลยที่พี่กลับมา” จ่อยลูบคลำตัวชายหนุ่มไปมาอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง
“ก็ใช่นะสิ นี่พี่ตัวเป็นๆเลย” ชายหนุ่มหัวเราะ...เขาและเด็กจ่อยเคยเล่นมาด้วยกันอายุเขามากกว่า 7 ปี
“แหมจำแทบไม่ได้หล่อเป็นบ้าเลย ทำไมฉันไม่หล่อแบบพี่บ้างนะ ฉันจะได้มีเมียเสียที” เด็กหนุ่มก้มลงมองดูตัวเอง
“น้อยๆหน่อยเถอะไอ้ตัวดี แกแดดไปแล้ว เจ้านี่” บุญมาเท้าเอวมองค้อนจ่อยอย่างไม่พอใจ
“แหม ยายก็หาเมียมาช่วยดูแลยายไง ยายไม่ชอบหรือไงจะได้สบายเสียที แต่พี่เมฆหล่อจริงๆยังกับดาราหนังแน่ะ” เด็กหนุ่มยืนยิ้มอย่างภูมิใจ
“นายก็หล่อตามแบบฉบับของนายนั่นแหล่ะ” ชายหนุ่มตบไหล่จ่อยเบาๆ
“หล่อแบบดำๆเนี่ยนะ” เด็กจ่อยหัวเราะ
“ไปนั่งคุยกันดีกว่า เดี๋ยวยายจะเมื่อย” เมธาบอกและประคองยายของตนเองไปนั่งลงที่แคร่ไม้ใต้ถุนบ้าน เด็กจ่อยเดินตามหลังมาและนั่งลงข้างๆยายบุญมา
“ยายก็ได้เจ้าจ่อยนี่แหละที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้ มันน่ะขยันมากนะ” หญิงชราบอก จ่อยจึงได้แต่ทำท่าเขินอายและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ขอบใจมากนะจ่อยที่ดูแลยายและสวนแทนพี่” ชายหนุ่มยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่กับยายที่รับฉันมาอยู่ด้วยไม่งั้นป่านนี้ฉันคงต้องตายเพราะไอ้พ่อเลี้ยงที่ติดยานั่นแล้ว” เด็กหนุ่มนึกถึงอดีตของตนเองแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เมื่อ 6 ปีก่อนตอนที่เขาอายุได้ 14 ปี พ่อเลี้ยงของเขาทุบตีเขาทุกวันเพราะเมายาบ้า ส่วนแม่ของเขาตายไปแล้วเพราะโดนพ่อเลี้ยงทุบตีจนช้ำในตาย เมธาและยายบุญมาไปหาซื้อที่ดินแถวนั้นจึงได้เจอและขอเขามาจากพ่อเลี้ยงตอนแรกพ่อเลี้ยงจะไม่ยอมแต่เมธาบอกว่าจะแจ้งความ เขาจึงได้ยอมปล่อยจ่อยมา
“นายอย่าคิดอะไรมากสิ เราก็เป็นเหมือนพี่น้องกันแล้ว ตอนนี้พี่ก็กลับมาอยู่บ้านแล้ว มาช่วยยายกับนายทำสวนไง” เมธาอมยิ้ม
“พี่มาก็ดีแล้ว พี่รู้ไหมว่าตอนนี้..” เด็กหนุ่มทำท่าขึงขัง
“เจ้าจ่อย เอ็งกลับมาเหนื่อยๆไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ ข้าเหม็นเหงื่อเอ็งจะแย่อยู่แล้ว” บุญมาพูดขัดขึ้นเสียก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดจบ จ่อยทำหน้าง้ำหันมามองทางยายบุญมา “โธ่ ยายก็ฉัน..”
“ไม่ต้องมาโธ่เลย ไป รีบไปไวๆเลย” บุญมาทำหน้าดุใส่ จ่อยจึงรีบวิ่งจากไปอย่างไม่พอใจ
“เมื่อกี้จ่อยมันจะพูดอะไรหรือยาย” เมธาขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกลูก ว่าแต่เอ็งเถอะมาเหนื่อยๆไปอาบน้ำอาบท่าก่อนดีกว่าใกล้เที่ยงแล้วเดี๋ยวได้ลงมากินข้าวกินปลากัน” หญิงชราบอกพร้อมกับยิ้ม
“ครับยาย แล้วยายจะทำอะไรให้ผมกินล่ะครับวันนี้” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ
“เดี๋ยวยายจะตำน้ำพริกสดให้กิน เอ็งชอบไม่ใช่เหรอ” เมธาพยักหน้า เขาไม่ได้กินฝีมือยายของเขามานานมากแล้วแต่เขายังจำรสชาติของมันได้ดี
“งั้นผมรีบขึ้นไปอาบน้ำก่อนดีกว่าเริ่มหิวแล้วสิ” เมธาเอามือลูบหน้าท้องไปมา
“ไปเถอะห้องของเอ็ง ยายเข้าไปทำความสะอาดให้ทุกวัน ข้าวของยังอยู่ครบถ้วน”
“ขอบคุณมากครับยาย” เมธาก้มลงกราบผู้เป็นยายอีกครั้งก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายอีกครั้งแล้วเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องของตนเอง
กับข้าวมื้อเที่ยงทำให้เมธาเจริญอาหารเป็นอย่างมาก...เขาชอบฝีมือตำน้ำพริกของยายมากทั้งเผ็ดร้อนและเปรี้ยวเค็มพอเหมาะ หลังทานอาหารกันเสร็จทั้งสามคนก็มานั่งคุยกันที่ใต้ถุนบ้าน
“อิ่มจังเลยยายดูสิท้องผมจะแตกอยู่แล้ว” เมธาเลิกพุงให้ผู้เป็นยายดู
“ก็กินเข้าไปซะมากขนาดนั้น” ยายบุญมามองหลานชายอย่างเอ็นดู
“ก็ฝีมือยายอร่อยนี่นา” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มแล้วใช้มือลูบท้องขึ้นลง
“จริงสิพี่เมฆทำไมกลับมาอยู่บ้านล่ะ ลาออกมาทำไม” เด็กหนุ่มถามด้วยความข้องใจ
“เปล่าหรอกบริษัทมีปัญหาพวกพี่ก็เลยถูกจากออก”
“แล้วพี่จะกลับไปกรุงเทพฯอีกหรือเปล่า” จ่อยมองหน้าเขาอย่างรอคำตอบ
“ไม่แล้วล่ะพี่คิดว่าจะกลับมาอยู่บ้านสักระยะหนึ่ง” ชายหนุ่มบอก
“ดีแล้วลูก ความจริงเอ็งก็น่าจะกลับมาช่วยยายทำสวนตั้งนานแล้วจะได้ไม่ต้องไปเป็นลูกน้องใครเขา” บุญมาบอกกับหลานชาย
“มันจะไม่พอส่งค่างวดให้กับเถ้าแก่ฮวดเขาน่ะสิยาย ลำพังแค่เงินขายส้มและผักก็ไม่พอที่จะจ่ายแต่ละงวดอยู่แล้ว ไหนจะต้องหักจ่ายค่าแรงคนงานอีก”
“ยายว่าจะปลูกผักเพิ่ม ยายจะทำเองไม่จ้างคนงาน ยายพอทะไหว” บุญมายิ้มให้หลานชาย
“ผมไม่อยากให้ยายเหนื่อยมากกว่านี้แล้ว ผมจะช่วยยายเองแล้วก็หางานทำแถวๆบ้านเรานี่แหล่ะจะได้อยู่ใกล้ๆยายด้วย” ชายหนุ่มบอกและคลานไปนอนลงบนตักของยายบุญมาและหลับตาลง
“เดี๋ยวฉันจะลองถามพวกเพื่อนๆให้นะพี่ พวกมันอยู่ในเมืองคงรู้เรื่องอะไรดีๆ”
“ขอบใจมากนะจ่อย” เมธาลืมตาผงกศีรษะขึ้นมองเด็กหนุ่ม
“งั้นเดี๋ยวฉันออกไปส่งผักที่ตลาดก่อนนะยาย แล้วจะรีบกลับ” จ่อยลุกขึ้นแล้วหันไปบอกยายบุญมา
“ขับรถดีๆล่ะ เอ็งมันพวกเด็กแว่นสะด้วย” บุญมาบอกอย่างเป็นห่วง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยายเขาเรียกเด็กแว้นยาย ไม่ใช่เด็กแว่น” จ่อยหัวเราะน้ำตาคลอ เมธาก็พลอยหัวเราะไปด้วย
“เอ่อๆ นั่นแหละก็ข้าไม่รู้จักนี่หว่า อย่ามัวแต่พูดมากอยู่เลย รีบไปรีบมาเถอะ” บุญมายกมือไล่
“จ้า” เด็กหนุ่มรับคำก่อนจะเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซด์ที่เบาะท้ายผูกเข่งใส่ผักเอาไว้แล้วขับออกไป
ยายบุญมานั่งมองหลานชายที่หลับตาอยู่บนตักอย่างนึกสงสาร เขาเป็นหลานชายคนเดียวของเธอสิ่งที่เขาทำเธอก็รู้ว่าไม่อยากให้ยายอย่างเธอลำบาก ชายหนุ่มทำงานและส่งเงินมาทุกเดือน จนพอจะมีเงินก้อนอยู่บ้างจึงตัดสินใจไปซื้อที่ดินที่ติดกับบ้านเอาไว้เพื่อทำสวนส้มและปลูกผักขาย ลูกสาวของเธอมาด่วนเสียชีวิตไปพร้อมกับลูกเขยตั้งแต่เมธาได้ 3 ขวบ ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอรู้แต่เพียงว่าลูกเขยของเธอเป็นสมุนของพวกมาเฟียมาก่อนแต่พอแต่งงานกับลูกสาวของเธอ เขาก็เลิกงานมาเฟียหันมาทำนาทำไร่และรักลูกรักเมียมาก สิ่งสุดท้ายที่ทั้งคู่เหลือไว้ให้ลูกชายก็คือสร้อยทองพร้อมกับจี้ทองที่ด้านในจี้มีรูปภาพผู้ชาย 2 คน คนหนึ่งก็คือลูกเขยของเธอแต่อีกคนเธอเองก็ไม่รู้จัก เรื่องนี้หลานชายของเธอเองก็ยังไม่รู้เพราะเธอไม่อยากให้หลานชายคนเดียวต้องไปพัวพันกับแก๊งมาเฟียหรือพวกที่มีอิทธิพลอีก เธอจึงเก็บสร้อยทองนั้นเอาไว้ในหีบกำปั่นขนาดเล็กบนหัวเตียง
“เมฆ หลับแล้วหรือลูก” หญิงสูงวัยเรียกเบาๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบเธอจึงยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู พร้อมกับลูบผมชายหนุ่มอย่างเบามือ
“สงสัยจะเหนื่อย ปล่อยให้หลับให้สบายดีกว่า” บุญมาเอื้อมหยิบหมอนหนุนใกล้ๆ ที่ตนเองใช้หนุนนอนตอนกลางวันเอามาหนุนให้หลานชายแทนตักของตัวเอง แล้วก้าวลงจากแคร่ไม้เดินหายไปทางหลังบ้าน