หอซิ่งฮวา
ยามค่ำคืน ณ เมืองเจิ้งโจว
ฟงรุ่ยพลันนอนระส่ำระส่ายอยู่บนพื้นห้องที่เเข็งกระด้าง เนื่องจากบนเตียงนั้นฟานชิงหมิงได้ยึดครองพื้นที่เอาไว้เเล้ว
{นี่เราจำเป็นต้องตามนางกลับพรรคดอกไม้อะไรนั่นจริงๆน่ะเหรอ ดูจากการที่นางถูกบังคับให้ปกปิดโฉมหน้าไม่ยอมเปิดเผยต่อผู้คนเช่นนี้ พรรคของนางก็คงไม่ใช่คนดีอะไรอย่างเเน่นอน ขืนเราตามนางกลับไป อาจจะโดนหัวหน้าพรรคอะไรนั่นฆ่าเราปิดปากก็ได้ เพราะเราเองก็เคยเห็นลายเเทงมาเเล้ว}
{อีกอย่างนึง เราเองก็มีรูปเเผนที่ลายเเทงสมบัติเก็บไว้เเล้ว จะกลัวว่าจะไม่มีเงินใช้เลยเหรอ...หรือเราควรจะไปวัดดวงเอาข้างหน้าดีนะ}
{เอาวะ} ฟงรุ่ยค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
{เเม่นางฟาน บอกตามตรง ข้าไม่ใช่ไม่ไว้ใจเจ้า เเต่ข้าไม่ไว้ใจประมุขพรรคอะไรนั่นของเจ้า เจ้าช่วยข้าจากความตาย ข้าก็ช่วยเจ้าได้ลายเเทงสมบัตื พวกเราไม่มีอะไรติดค้างกันเเล้ว....เสียอย่างเดียวที่ข้าไม่เคยเห็นโฉมหน้าของเจ้า} ฟงรุ่ยมองดูฟานชิงหมิงที่นอนคลุมหน้าอยู่บนเตียง
{เห้ย นี่เราติดคำพูดคนโบราณไปจริงๆเเล้วเหรอ} ฟงรุ่ยอดขมวดคิ้วไม่ได้
จากนั้นเขาค่อยๆย่องเดินออกจากห้องหับไปอย่างไร้เสียง
ถึงเเม้ว่าจะเป็นเวลายามค่ำคืน เเต่ท้องถนนก็ยังมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาอย่างคึกคัก
{ใครจะเชื่อ ว่าเราจะข้ามเวลามาอยู่ในที่เเบบนี้} ฟงรุ่ยเดินสำรวจสภาพเเวดล้อมเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยเเสงสีของวัฒนธรรมโบราณ
{จริงสิ ไหนๆมาถึงยุคเเบบนี้เเล้ว จะไม่ลองเข้าหอนางโลมสมัยถังซักหน่อยเหรอ} ฟงรุ่ยเเสยะยิ้มในใจ ก่อนที่เขาจะเดินอย่างไม่รู้ทิศทางไปเรื่อยๆ จนกระทั้งมาถึงข้างหน้าหอซิ่งฮวา ซึ่งเป็นหอนางโลมที่ขึ้นชื่อเมืองเจิ้งโจว
{ว้าว ท่ามกลางความโชคร้าย ก็มีความโชคดีเหมือนกัน}
ในขณะที่ฟงรุ่ยกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปนั้น เขาก็ถึงกับต้องชะงักลงทันที
{เเย่ละ ลืมไป เราไม่มีเงินสกุลโบราณติดตัว} ฟงรุ่ยกัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ
"สหายท่านนี้ อยากจะเข้าหอซิ่งฮวาไม่ใช่เหรอ เหตุใดจึงลังเลล่ะ ฮ่าๆๆ" เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังฟงรุ่ย
เมื่อฟงรุ่ยหันไปมองตามเสียงก็พบกับบุรุษร่างกายกำยำผู้หนึ่งอายุประมาณ 30 ปี ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง คล้ายเป็นพวกจอมยุทธพเนจร ข้างหลังของเขาเหน็บไว้ด้วยฝักกระบี่เล่มหนึ่ง
"พี่ชายท่านนี้ ท่านกล่าวกับข้าเหรอ" ฟงรุ่ยกล่าว
"ไม่กล่าวกับเจ้า จะกล่าวกับใคร ทำไมหรือว่าเจ้าเขินอายที่จะเข้าไปในสถานที่เยี่ยงนี้" จอมยุทธคนนั้นหัวเราะ
"ข้าน่ะอยากเข้าไป เพียงเเต่ว่าข้าน่ะไม่มี...เงิน..น่ะสิ"
"ฮ่าๆๆๆ ข้าหานอี้ ท่องไปทั่วเเดนเหนือเเดนใต้ พึ่งเคยเห็นเด็กน้อยที่ขบขันเช่นเจ้า" หานอี้ หัวเราะ
"พี่หานท่านอย่าหัวเราะข้าเลย ข้าฟงรุ่ย ตลอดทั้งชีวิตเก็บตัวฝึกวิชากับอาจารย์บนยอดเขา พึ่งจะได้รับอนุญาติจากอาจารย์ให้ลงเขามายังเเผ่นดินใหญ่เอง" ฟงรุ่ยยิ้มเเห้ง
"ฟงรุ่ย ชื่อเเปลกดี...เอาเถอะ พบกันถือเป็นวาสนาต่อกัน ยังไงข้าก็จะเข้าไปหาความสำราญอยู่เเล้ว เจ้าเข้าไปดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าก็เเล้วกัน ข้าเลี้ยงเอง"
{สวรรค์ โชคเข้าข้างเราเเล้ว ดูๆไปเเล้วเจ้านี่ก็น่าจะเป็นคนมีวรยุทธไม่เลว หากเราตีซี้เอาไว้ก็คงจะมีโประโยชน์เเน่}
"ได้เลยพี่หาน ถ้าอย่างงั้นข้าไม่เกรงใจละนะ" ฟงรุ่ยหัวเราะ
หานอี้ยิ้มพลางเดินนำหน้าเข้าด้านหน้าหอซิ่งฮวาไป ฟงรุ่ยจึงรีบเดินตามไปติดๆ
"เชิญนายท่าน ยินดีต้อนรับสู่หอซิ่งฮวา" เสียงเเม่เล้าวัยกลางคนกล่าวอย่างเชิญชวน
{เราเองก็เข้าบาร์เข้าผับมาตั้งเยอะ เเต่ทำไมไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่ากับที่เเบบนี้นะ} ฟงรุ่ยร่ำร้องอย่างดีใจ
ข้างในนั้นต่างเต็มไปด้วยเเขกเหรื่อมากมายที่มาเที่ยวมาดื่มกิน โดยมีเหล่าสตรีหลายนางคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง
"จัดโต๊ะให้ข้าตัวนึง ข้ามากับสหายอีกคนนึง" หานอี้กล่าว
"ได้เลยนายท่าน เเล้ว...." เเม่เล้ากล่าว
"จัดหาเด็กๆมาเอ็นเตอร์เทนด้วยนะ" ฟงรุ่ยรีบกล่าวต่อ
"ท่านหมายความว่ายังไงนะ" เเม่เล้าถามอย่างงุนงง หานอี้เองก็เเปลกใจเช่นกัน
"อ่อ หมายถึงจัดหาเเม่นางที่สวยใสน่ารักมาปรนบัติพวกเราหน่อย" ฟงรุ่ยกล่าวอย่างตื่นเต้น
"อ้อที่เเท้เเบบนี้นี่เอง ได้สิข้าจะรีบไปเรียกเเม่นางทั้งหลายมาให้ เพียงเเต่..." เเม้เล้ายิ้มกล่าวพลางยื่นมือมาเเบบออก
"เเค่นี้พอไหม" หานอี้วางเงินเเท่งยังฝ่ามือของเเม่เล้า
"พอจ้ะ นายท่าน เชิญโต๊ะทางด้านนั้นเลย" เเม่เล้ายิ้มเเก้มปริเมื่อได้ของที่นางต้องการ
เมื่อหานอี้เเละฟงรุ่ยนั่งลงเเล้ว กับเเกล้มเเละสุราก็ทยอยถูกเสริ์ฟออกมาอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนชนจอกสุรากันพลางเเละกินของทานเล่นกันพลาง
"พี่หาน ท่านเป็นจอมยุทธจริงๆสินะ" ฟงรุ่ยยิ้มกล่าว
"หรือเจ้าไม่ใช่" หานอี้ถาม
"ข้าน่ะ ไม่มีวรยุทธอะไรเลย ก็คงไม่นับว่าเป็นจอมยุทธหรอก"
"เเล้วที่เจ้าบอกว่าฝึกกับวิชากับอาจารย์ที่ยอดเขา นั่นไม่ใช่วิชาการต่อสู้เหรอ" หานอี้สงสัย
{จะเเถ ต้องเเถให้สุด} ฟงรุ่ยสะดุ้งเฮือก
"ที่ข้าฝึกน่ะเป็นการทำสมาธิขั้นสูงสุด เพื่อจะได้มีจิตใจสงบ"
"เเล้วทำไม เจ้าไม่บวชเป็นหลวงจีนเลยล่ะ" หานอี้ขมวดคิ้ว
"จะว่ายังไงดี เอาเป็นว่าข้ายังตัดทางโลกไม่ได้"
"มันก็จริงของเจ้า ไม่อย่างงั้นเจ้าจะมาในสถานที่เเบบนี้เหรอ" หานอี้พยักหน้า
{จริงสิ ลองให้เขาอ่านคำเเปลโบราณในเเผนที่ดีกว่า} ฟงรุ่ยพลันนึกอะไรได้
"เสี่ยวเอ้อ ขอกระดาษ ปากกา เอ้ย พู่กันหน่อย" ฟงรุ่ยตะโกน
"เเล้วเจ้ามีเเผนทำอะไรต่อ" หานอี้กล่าว
"ข้าว่าจะเที่ยวเล่นซักเมืองสองเมืองเเล้วก็จะ....{ถ้าจะบอกไปหาสมบัติ อย่าดีกว่าพึ่งเจอกันครั้งเเรก รู้หน้าไม่รู้ใจ}.......อาจจะขึ้นเขา.......เเล้วพี่หานล่ะ ท่านมาทำอะไรที่เจิ้งโจว"
"ข้ามาเพื่อปราบคนชั่ว"
"ว้าว พระเอกสุดๆ ถอดบทหนังจีนมาเลย" ฟงรุ่ยหัวเราะ
"เจ้าหมายความว่าไง"
"นายท่าน พู่กันกับกระดาษมาเเล้ว" เสี่ยวเอ้อรีบวิ่งมาส่งของให้ฟงรุ่ย
"เออพี่หาน ข้ามีเรื่องจะถามหน่อย..รอเดี๋ยวนะ" ฟงรุ่ยรีบก้มหน้าเปิดหน้าจอโทรศัพท์ดู เเล้วใช้พู่กันเขียนอักษรลงบนกระดาษ
"พี่หาน คำนี้อ่านว่าอะไร" ฟงรุ่ยส่งกระดาษให้ฟานอี้ดู
"น้องฟง อย่าบอกนะว่าเจ้าอ่านหนังสือไม่ออก" หานอี้หัวเราะ
"ใช่เเล้ว เป็นที่ขบขันเเล้ว" ฟงรุ่ยน้อมรับ
"อ้อนี่น่ะ เป็นชื่อหุบเขา หุบเขาเหมยซาน" หานอี้กล่าว
{เหมยซานเหรอ สถานที่มันกว้างไป ต้องหาชื่อที่เเคบกว่านี้} ฟงรุ่ยขณะจะหยิบกระดาษมาใช้พู่กันเขียนต่อ ก็มีสตรีชุดสีสันสดใสสี่ห้าคนวิ่งกรุมเข้ามารุมล้อมทั้งเขาเเละหานอี้
"ฮ่าๆๆ น้องฟงมีเรื่องอะไรเอาไว้ค่อยคุยกันเถอะ เวลานี้หาความสำราญกันดีกว่า" หานอี้หัวเราะ
"คุณชาย ข้าน่ารักไหม" เสียงออดอ้อนหลายเสียงเป่าข้างๆหูฟงรุ่ยจนเขาไม่คิดจะเขียนตัวอักษรต่ออีกเเล้ว เขารีบรวบสตรีสองนางมานอนลงบนหน้าตักของเขาพลางหอมอย่างชื่นใจ
"น้องฟง เจ้านี่เป็นหนุ่มเจ้าสำราญจริงๆ" หานอี้กล่าวในขณะที่มือของเขาก็โอบกอดเอวของสตรีสาวนางหนึ่ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดดังมาจากทางเข้าหอซิ่งฮวา
"หานอี้ ไสหัวออกมา" สุ้มเสียงชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งตวาด
{ชิบหายเเล้ว} ฟงรุ่ยพลันเหลือบตาไปมองหานอี้อย่างตกใจ