ล่อเสือออกจากถ้ำ
ยามสามเเล้ว
เวลานี้ ฟงรุ่ยเเละฟานชิงหมิงต่างพากันเร้นลอบกายมายังลานโถงกว้างภายในหมู่ตึกพรรคหมงจู่ ภายในลานกว้างกลับเงียบสงัดไร้ซึ่งเวรยามตรวจตราเเต่อย่างใด
"ดูจากรูปการณ์เเล้ว พวกเวรยามต้องประจำที่อยู่ในจุดอับเป็นเเน่ เพื่อล่อคนมาติดกับ" ฟงรุ่ยกล่าวเบาๆ
"ใช่ เป็นไปไม่ได้ที่พรรคหมงจู่จะเลินเล่อถึงเพียงนี้" ฟานชิงหมิงพยักหน้า
"เเล้วเจ้ารู้เหรอ ว่าลายเเทงนั่นอยู่ในห้องหับหลังไหน"
"อยู่เรือนใหญ่ทางด้านนั้นยังไงล่ะ" ฟานชิงหมิงกล่าว
"เจ้าคิดว่าจะใช้เวลากี่นาที ก่อนที่เจ้าจะมาช่วยข้า" ฟงรุ่ยขมวดคิ้ว
"ชั่วน้ำเดือด"
"ชั่วน้ำเดือดของเจ้าล่ะกี่นาที ให้ตายเถอะ" ฟงรุ่ยร้องอย่างขวัญเสีย
"เอาล่ะ ได้เวลาเเล้ว ใช้วิชาบทเพลงของเจ้าล่อพวกมันออกมาทางด้านนอกตึกเร็วๆ" ฟานชิงหมิงกล่าว
{ให้ตายเถอะ หรือว่าเราจะมาตายซ้ำตายซ้อนที่ยุคโบราณอีก} ฟงรุ่ยสบถ
"เอ่อ คือเเต่ว่า..." พูดไม่ทันขาดคำฟานชิงหมิงก็ใช้วิชาตัวเบาเร้นลับหายไปในความมืด
{เหอะ เธอเป็นใคร ทำไมฉันจะต้องเอาชีวิตฉันไปเเลกเพื่อเธอ...รอจนฉันได้ลายเเทงก่อนเถอะ จะชิ่งหนีให้ดู} ฟงรุ่ยสบถอีกครา
"เอาล่ะ มาเลย มาเปิดคอนเสิร์ตกัน" ฟงรุ่ยหัวเราะเเห้งพลางเปิดเพลงจากโทรศัพท์มือถือออกมา
คราวนี้เสียงเพลงที่ดังออกมากับเป็นเพลงจากหนังเรื่องผู้หญิงข้าใครอย่าเเตะของหลิวเต๋อหัว
"ผู้ใด" น้ำเสียงดุดันหลายเสียงตวาดพร้อมกัน จากนั้นปรากฏบุรุษวัยฉกรรจ์จำนวนหลายสิบคนกระโจนออกมาจากเงามืดมายังฟงรุ่ย เเต่ละคนมือถือกระบี่กันคนละด้าม ดูเเล้วน่าจะมีฝีมือพอตัว
"ว่าไงสหายทั้งหลาย ข้าฟงรุ่ย เเห่งเซี่ยงไฮ้มาอยู่ที่นี่เเล้ว ฮ่าๆๆ" ฟงรุ่ยหัวเราะราวกับไม่เกรงกลัวต่อชายฉกรรจ์หลายสิบคนที่อยู่เบื้องหน้า
บุรุษเหล่านั้นต่างหันไปมองหน้ากันว่าควรจะเข้าโจมตีบุคคลปริศนาที่ดูไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินผู้นี้ไหม
"เสียงเพลง... เสียงเพลงไม่ได้ออกมาจากปากมัน..." บุรุษผู้หนึ่งเริ่มกล่าวเสียงด้วยความกลัว มือที่ถือกระบี่ของเขาสั่นสะท้านตามจังหวะเพลง
"ป่ะ....ปีศาจ.." สุ้มเสียงเริ่มร่ำร้องอย่างสับสน
จริงๆก่อนจะมายังพรรคหมงจู่ ฟานชิงหมิงเสนอให้ฟงรุ่ยนำกระบี่ติดตัวไปหนึ่งเล่มเพื่อไว้ป้องกันตัว เเต่ฟงรุ่ยกับปฏิเสธ เนื่องเพราะเขาคิดว่า หากจะเล่นไม้นี้เเล้ว ใช้กลเมืองว่างเเบบขงเบ้งจะเข้าท่ากว่า
"ปีศาจที่ไหน เหลวไหลสิ้นดี" สุ้มเสียงตวาดดังออกมาพร้อมกับเงาร่างสองสายปรากฎอยู่เบื้องหน้าของฟงรุ่ย
บุรุษคนเเรกเป็นชายวัยกลางคนไว้เครายาวเข้ม ดูมีภูมิฐาน มือของเขาถือไว้ด้วยกระบี่เเหลมเรียวหนึ่งเล่ม ส่วนบุรุษคนที่สองกลับยังดูอ่อนเยาว์นัก หน้าตามีความคล้ายคลึงกับชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเขา มือของเขาก็ถือกระบี่เล่มหนึ่งเช่นกัน
"ท่านพ่อ ให้ข้าจัดการเจ้าโจรถ่อยนี่เถอะ" บุรุษที่เป็นลูกของชายวัยกลางคนกล่าว
"ช้าก่อน รอข้าถามความเป็นมาของมันก่อน" ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงราบเรียบ
"โอ้ว ท่านคงเป็นหัวหน้าพรรคหมงจู่สินะ" ฟงรุ่ยถามอย่างสบายอารมณ์
"เเล้วเจ้าเป็นใคร มาที่นี่ต้องการอันใด" ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าพรรคหมงจู่กล่าวเสียงเครียด ท่ามกลางเสียงเพลงที่ยังคงดังอยู่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือของฟงรุ่ย
"ท่านพ่อ....เสียง...เสียงเพลงนั่นเป็นเสียงผู้หญิง...เเสดงว่า มันไม่ได้มาคนเดียว" บุรุษซึ่งเป็นลูกของหัวหน้าพรรคหมงจู่กล่าว
"หย่งเอ๋อ คนของเราเยอะกว่าจะกลัวอันใด"
"ข้าน่ะ ก็เเค่อยากจะมาชมทิวทัศน์ยามค่ำคืน ของหมู่ตึกพวกเจ้าก็เเค่นั้น ไม่ได้มีความต้องการอันใดพิเศษ" ฟงรุ่ยหัวเราะ
"ข้าหลี่เสียนถง เกิดมาก็พึ่งเคยเจอคนที่ไม่รู้จักที่ตายเช่นเจ้า เเต่วันนี้เจ้าก็คงจะได้ตายจริงๆเเล้ว" หัวหน้าพรรคหมงจู่หลี่เสียนถงกล่าว
{ช้าจังวะ ถ้าพวกมันไม่หลงกลของเรานี่ ศพเราไม่สวยเเน่ๆ} ฟงรุ่ยเริ่มร้อนรน
"พวกเจ้า....ไปฆ่ามันให้กับข้า.."หลี่เสียนถงตวาด
"ช้าก่อน" ฟงรุ่ยรีบตัดบท จนทุกคนชะงักงัน
จากนั้นฟงรุ่ยรีบไปหยิบกิ่งไม้มากิ่งหนึ่ง จากนั้นเขาขีดเส้นขวางเเนวยาวไว้ยังเบื้องหน้าเขาราว 4 เชียะเศษ
ทุกผู้คนต่างกำลังมึนงงต่อการกระทำดังกล่าวของฟงรุ่ย
"พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากผู้ใดได้เดินผ่านเส้นที่ข้าขีดไว้กับพื้นนี่ ข้าจะทำให้พวกเจ้าตาบอด" ฟงรุ่ยเเสยะยิ้ม
"เหอะ นักต้มตุ๋นอย่างเจ้า หลอกได้เเต่คนโง่เท่านั้นเเหละ" บุรุษหนุ่มที่เป็นลูกชายของหลี่เสียนถงที่เรียกว่าหลี่หย่งกล่าว
"งั้นลองดู" ฟงรุ่ยผายมือเชื้อเชิญ
"พวกเจ้า ข้าสั่งให้ไปฆ่ามัน" หลี่เสียนถงตวาดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
เหล่าบุรุษวัยฉกรรจ์ซึ่งดูเหมือนเป็นศิษย์พรรคหมงจู่พลันบังเกิดความฮึกเหิมต่างวิ่งถือกระบี่มุ่งหน้าไปหาฟงรุ่ยอย่างพร้อมเพรียงกัน
{ชิบหายละ ถ้าพวกมันไม่กลัวสิ่งนี้ เราคงได้ตายจริงๆเเล้ว} ฟงรุ่ยสะดุ้งเฮือก เเต่เขาก็ยังข่มกลั้นความกลัว พลันรีบกดปุ่มยังโทรศัพท์ของเขาจากนั้น ชี้หัวโทรศัพท์ของเขาไปยังเบื้องหน้า
เหล่าศิษย์พรรคหมงจู่กำลังจะวิ่งผ่านเส้นขีดที่ฟงรุ่ยวาดเอาไว้เเล้ว!!!!!
เเชะ เเชะ เเชะ
จากนั้นเสียงเเฟตชัทเตอร์ดังขึ้นมาที่ๆ ตามด้วยเเสงไฟวึบวับ สาดส่องไปยังดวงตาของบรรดาศิษย์พรรคหมงจู่ จนพวกเขาต้องวิ่งหนีกลับไปตั้งหลัก
เสียงร้องโอดโอยดังระงม
"เป็นไง ข้าไม่ได้โกหกใช่ไหม อีกสามวันให้หลังตาของพวกเจ้าบอดสนิทเเน่" ฟงรุ่ยเเสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
"ข้าไม่เชื่อ ท่านพ่อ ข้าเอง" หลี่หย่งพลันลอยตัวพุ่งกระบี่มุ่งหน้าหมายจะโจมตีใส่ฟงรุ่ย
เเชะ
เสียงชัตเตอร์เเฟตดังขึ้นอีกครา พร้อมด้วยเสียงร้องของหลี่หย่งที่ล้มไปนอนกลิ้งกับพื้นเอามือไปกุมหน้า
"ท่านพ่อ ตาของข้าๆ ข้าปวดตาเหลือเกิน" หลี่หย่งร้องคร่ำครวญ
"หย่งเอ๋อ เจ้าเป็นอะไรไหม" หลี่เสียนถงร่ำร้องรีบไปดูอาการลูกชาย
ขณะที่ฟงรุ่ยกำลังจะกล่าวเย้ยหยันต่อนั้น ร่างของเขาก็ถูกมือที่นุ่มนิ่มข้างหนึ่งดึงร่างเขาทะยานออกจากหมู่ตึกพรรคหมงจู่อย่างรวดเร็ว
ฟานชิงหมิงนางมาเเล้ว
......
โรงเตี๊ยม
หลังจากที่ทั้งฟานชิงหมิงพาฟงรุ่ยกลับมาถึงห้องพักเเล้ว ทั้งคู่ต่างนั่งพักหอบเหนื่อยกันอย่างอ่อนล้า
"ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่นำเจ้ามา" ฟานชิงหมิงกล่าว
"ทำมาพูดดี หากเจ้ามาเร็วกว่านี้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยเเล้ว" ฟงรุ่ยเเค่นเสียง
"ก็ข้าอยากจะรู้ ว่าเจ้าจะมีวิชาพิศดารอันใดอีก ที่จะกำราบพวกเขา เเละเจ้าก็ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ"
"ดูเจ้ามีความสุขเช่นนี้ ข้าก็ดีใจด้วย" ฟงรุ่ยกล่าวประชด
"มีความสุขสิ เพราะข้าได้ลายเเทงสมบัติมาเเล้ว" ฟานชิงหมิงกล่าว
ฟงรุ่ยพอฟังดังนั้นจึงเบิ่งตาขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าเจออาหารอันโอชะอยู่เบื้องหน้า
{บ้าบอที่สุด ถึงเราจะไม่สามารถเป็นเศรษฐีในเซี่ยงไฮ้ได้ เเต่การเป็นเศรษฐีในราชวงศ์ถัง มันก็ไม่เลวอยู่นะ} ฟงรุ่ยยิ้มมุมปาก