บทที่ 9 กู้เอ้อยาพูดลื่นเป็นปลาไหล
“ถอนหมั้นไง”
กู้หมิงซวงกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าบอกแล้วไง เศษเดนอย่างเจ้าให้ฟรีๆข้าก็ไม่เอา”
สวีจิ้นหยวนพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าหล่อเหลาประดับไปด้วยความอับอาย
ทั้งๆที่นี่คือสิ่งที่เขาต้องการอยากจะทำมาตลอด
แต่เขาต้องการเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นตระกูลกู้ ไม่ใช่ให้กู้หมิงซวงเป็นฝ่ายมาขอถอนหมั้นเช่นนี้
หากถูกอีอ้วนนี่มาขอถอนหมั้น เกรงว่าหลังจากนี้ไม่ว่าไปโผล่ที่ใด ก็มีแต่จะถูกหัวเราะเยาะ
คิดมาถึงตรงนี้ สวีจิ้นหยวนก็กำหมัดแน่น แววตาทอประกายหงุดหงิด
“กู้เอ้อยา เจ้าจะพอได้หรือยัง ทั้งทำร้ายท่านอาของข้า ทั้งมาขอถอนหมั้นข้าต่อหน้าผู้คน ที่เจ้าลงทุนทำถึงเพียงนี้ เพราะอยากเรียกร้องความสนใจจากข้าล่ะสิ? ข้าขอเตือนเจ้า อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าถอนหมั้นนะ!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ สองวันก่อนอีอ้วนยังจะเป็นจะตายเพราะเขาอยู่เลย เพิ่งผ่านมาไม่ทันไร เหตุใดถึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้?
ทุกอย่างนี้ ต้องเป็นแผนล่อจับเขาของนางแน่ๆ!
ดวงหน้าของสวีจิ้นหยวนทอแววอวดดีอีกหน ความหงุดหงิดที่มีต่อกู้หมิงซวงก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ กล่าวด้วยน้ำเสียงแกมบังคับว่า
“ข้าขอเตือนเจ้า รีบปล่อยท่านอาของข้าซะ มิเช่นนั้น เจ้าอย่าหวังว่าข้าจะพูดกับเจ้าอีก”
เมื่อเห็นใบหน้าทะนงตนของคนตรงหน้าต้องแสงอาทิตย์จนเป็นประกายวาววับ กู้หมิงซวงพลันเกิดความรู้สึกรังเกียจ
นางล่ะอยากจะรู้จริงๆ ว่าเจ้าของร่างเดิมเอาตาที่ไหนมอง ถึงได้หลงผิดมาชอบบุรุษผู้นี้
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังหลงตัวเองไม่เลิก กู้หมิงซวงก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสวีจิ้นหยวนอย่างไม่อาจทนไหว จากนั้นก็ชูจดหมายหมั้นขึ้นมา พร้อมกล่าวเสียงดัง “ในเมื่อทุกคนในหมู่บ้านมาอยู่ที่นี่แล้ว วันนี้โปรดช่วยเป็นพยาน คิดว่าทุกคนคงรู้กันอยู่แล้ว ว่าไม่กี่ปีก่อน ท่านพ่อของข้าทำเรื่องหมั้นหมายให้ข้ากับสวีจิ้นหยวน”
เรื่องนี้หาใช่ความลับไม่ คนในหมู่บ้านมักจะนำเรื่องนี้มาเย้าแหย่สวีจิ้นหยวนอยู่หลายครั้ง ทั้งยังล้อเขาว่าในอนาคตจะมีเมียเป็นหญิงอ้วน ไม่กล้าทำลูกแน่ๆ
ทว่าในขณะนี้ ทุกคนกลับไม่มีผู้ใดรู้เลย ว่ากู้หมิงซวงกำลังจะทำอะไร
อีกอย่าง กู้เอ้อยาเป็นคนปัญญาอ่อนมิใช่หรือ?
เหตุใดวันนี้ถึงได้พูดจาฉะฉานมีหลักการเสียยิ่งกว่าซิ่วฉายเฒ่าในหมู่บ้านเสียอีก
ในขณะที่ทุกคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น กู้หมิงซวงก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า
“ในตอนนั้น ตระกูลสวีใกล้จะอดตาย ถึงได้มาหาพ่อของข้า ขอแบ่งที่นาสองไร่ แลกกับการหมั้นหมายในครั้งนี้ หลายปีที่ผ่านมา ท่านพ่อของข้าช่วยเหลือตระกูลสวีมาตลอด ทุกคนก็น่าจะรู้ว่าเดือนที่แล้ว คู่หมั้นของข้าสอบติดถงเซิง พอดีดตัวขึ้นไปที่สูงได้ก็ลืมกำพืดตัวเอง ก้าวเข้าไปเหยียบสำนักวิชาได้ไม่ทันไร ก็ดูถูกตระกูลข้า เอ่ยย้ำซ่ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะขอถอนหมั้น”
เรื่องที่ตระกูลสวีต้องการถอนหมั้น ชาวบ้านรู้กันตั้งนาน
หมู่บ้านต้าเฉียวคับแคบถึงเพียงนี้ พอมีเรื่องอะไรก็กระจายถึงกันอย่างปิดไม่อยู่
แต่ทุกคนรู้เพียงเรื่องที่สวีจิ้นหยวนสอบติดถงเซิง และรู้เพียงว่าตระกูลสวีต้องการถอนหมั้น แต่ไม่ได้นำทั้งสองเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกัน
เมื่อกู้หมิงซวงกล่าวออกมาเช่นนี้ หากผู้ใดฉลาดหน่อยก็จะคิดได้เอง
ในยามที่ตระกูลสวีอับจนหนทาง ก็เป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือจากตระกูลกู้เองถึงที่ บัดนี้พอไปได้ดิบได้ดี กลับคิดที่จะถีบหัวส่งตระกูลกู้
ช่างไม่รู้จักบุญคุณ!
แววตาที่ทุกคนมีต่อตระกูลสวีเริ่มเปลี่ยนไป
สวีจิ้นหยวนเห็นเช่นนั้น พลันมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาเป็นถึงผู้มีการศึกษา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือศักดิ์ศรีและหน้าตา จะยอมปล่อยให้กู้หมิงซวงทำให้เสื่อมเสียได้เยี่ยงไร
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอธิบาย กู้หมิงซวงก็ถอนหายใจออกมา แล้วชิงพนูดขึ้นมาว่า
“ตระกูลสวีอยากถอนหมั้นก็ไม่เป็นไร ข้าเองก็รู้ ตอนนี้สวี่จิ้นหยวนเป็นถึงถงเซิง ไม่แปลกที่จะรังเกียจครอบครัวข้า อยากถอนหมั้นก็ถอนเลย ข้าในฐานะตัวแทนตระกูลกู้จะไม่กล่าวอันใดมาก จดหมายหมั้นก็ถือมาพร้อมแล้ว แต่….แต่พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย พวกท่านก็น่าจะเห็นแล้ว ตอนนี้พ่อข้านอนป่วยอยู่ในเรือน จักเป็นหรือตายก็มิมีผู้ใดล่วงรู้ กระนั้นตระกูลสวีก็ยังมากระทบกระทั่ง สร้างเรื่องอับอายให้กันถึงที่!”
น้ำเสียงของกู้หมิงซวงประเดี๋ยวสูงประเดี๋ยวดิ่ง กอปรกับท่าทางอับจนหนทางที่แสดงออกมา จึงได้รับความเห็นอกเห็นใจจากชาวบ้านอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้างบางคนที่ตอนแรกไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกู้หมิงซวงในตอนแรก ก็เริ่มทยอยย้ายข้างมาอยู่ข้างนาง