บทที่ 10 ฉีกทำลายจดหมายหมั้น
“ตระกูลสวีทำเช่นนี้ มันไม่เกินไปหน่อยหรือไร”
“นั่นสิ ลืมบุญคุณไม่เท่าไหร่ แต่นี่ยังประทุษร้ายผู้มีบุญคุณอีก”
“อยู่อาศัยในหมู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ไยก่อนหน้านี้ถึงดูไม่ออกว่าตระกูลสวีใจไม้ไส้ระกำถึงเพียงนี้…..”
ชาวบ้านพูดใครพูดมัน ต่างพากันตำหนิตระกูลสวีทั้งนั้น
โลกมันก็เป็นเช่นนี้แล บางครั้งบางคราความจริงก็ไม่ได้มีผลเท่าคำวิจารณ์ของผู้คน
ถึงในอดีตตระกูลกู้กับตระกูลสวีจะผูกดองกัน แต่พอสวีจิ้นหยวนสอบติดถงเซิง แม้นจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ทุกคนก็คิดในใจอยู่ดีว่า สตรีที่ทั้งอ้วนทั้งขี้เหร่ผู้นี้ไม่คู่ควรกับสวีจิ้นหยวนเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น การที่ตระกูลสวีขอถอนหมั้น จึงมีหลายคนเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้
แต่บัดนี้ พอกู้หมิงซวงบอกเล่าทุกอย่างออกมาอย่างแจ่มชัด ความคิดของทุกคนก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อสวีเฟิงฉินและสวีจิ้นหยวนเห็นว่าชาวบ้านพากันหันไปอยู่ข้างตระกูลกู้ ซ้ำยังพ่นคำต่อว่าตนเองออกมาเป็นชุด สองอาหลานพลันทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที
โดยเฉพาะสวีเฟิงฉิน นางรีบสบถด่าออกมาเสียงดังว่า “กู้เอ้อยา เจ้ามันปัญญาอ่อนสันดานหมา พูดจามั่วซั่วอย่างกับสัตว์ปล่อยมูลเรี่ยราด เห็นๆกันอยู่ว่าเจ้านั่นแหละที่ทำร้ายข้า นี่เจ้ายังจะมาโยนความผิดให้พวกข้าอีกหรือ”
“หุบปาก!”
เมื่อกู้เหวินจูนเห็นสวีเฟิงฉินดิ้น ก็รีบกดศีรษะของนางไว้ พร้อมขยับมีดเข้าไปใกล้
เมื่อสวีเฟิงฉินพูดอะไรไม่ได้ ยังมีสวีจิ้นหยวน
เขาจึงรีบกลาวขึ้นมาว่า “ท่านอาของข้าพูดถูก พวกเจ้าอย่าโดนกู้เอ้อยาหลอกเชียว นางเป็นฝ่ายทำร้ายท่านอาของข้าก่อนเห็นๆ รุนแรงถึงขั้นทำฟันท่านอาข้าหลุดด้วยซ้ำ”
ต่างฝ่ายต่างให้การกันคนละแบบ อีกอย่างฟันของสวีเฟิงฉินก็หลุดจริงๆ ดังนั้นชาวบ้านจึงงุนงงกับสถานการณ์เป็นอย่างมาก
ตกลงแล้วใครทำร้ายใครกันแน่
ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น กลับเห็นกู้หมิงซวงเดินเข้ามา แล้วถกแขนเสื้อทั้งสองข้างเผยให้เห็นบริเวณท้องแขน
เมื่อได้เห็นแขนอวบอัดเหมือนหัวไชเท้าของกู้หมิงซวง ทุกคนพลันสะดุ้งวูบ
บนแขนที่ทั้งดำทั้งอ้วนของกู้หมิงซวง เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและห้อเลือด มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าถูกตีด้วยแส้และไม้หน้าสามมา
นางเฉาเห็นเช่นนั้น ก็ปิดปากตัวเองอย่างอึ้งทึ่ง น้ำตาพลันร่วงไหลลงมา แววตาเปี่ยมไปด้วยความสงสาร
“ใครเป็นคนทำเจ้า? โหดร้ายเหลือเกิน……”
“ข้าจะบอกทุกคนอย่างไม่ปิดบังเลยแล้วกัน แผลพวกนี้ข้าถูกสวีเฟิงฉินทุบตีมา”กู้หมิงซวงแสยะยิ้ม จากนั้นก็ขึ้นเสียงว่า “ข้ายอมรับว่าข้าตบตีสวีเฟิงฉินจนฟันหลุด สุนัขพอมันจนตรอกก็ย่อมทำได้ทุกอย่างไม่ใช่หรือ ถ้าไม่ใช่เพราะสวีเฟิงฉินทำร้ายข้าก่อน แล้วข้าจะทำร้ายนางไปทำไม? ลองถามใจตัวเองดู ว่าถ้าหากถูกทุบตีจนมีสภาพเช่นข้า พวกเจ้าจะไม่เอาคืนหรืออย่างไร?”
“ก็ต้องเอาคืนสิ!”
“ใช่ ผู้ใดกล้ามาทำร้ายข้าจนมีสภาพเช่นนี้ ข้าจะกลับไปเอาพลั่วมาตีหัวมันแน่”
“........”
“เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”
ขณะนี้ เวลานี้ ยามเมื่อสวีจิ้นหยวนมองมาที่กู้หมิงซวง เขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่รู้จักอีกฝ่ายเลยสักนิด
เขารู้สึกเหมือนตนเองเสียเวลาร่ำเรียนมาตั้งหลายปี ศึกษาทฤษฎีมาเต็มคลัง แต่กลับไม่สามารถพูดเอาชนะอีอ้วนนี้ได้แม้แต่คำเดียว
สวีจิ้นหยวนไม่ได้คิดในทางกลับกันเลยว่า กู้หมิงซวงไม่ได้ฝีปากร้าย แต่เป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่ทฤษฎีไม่แน่น
หากเขาทฤษฎีแน่นพอ ต่อให้กู้หมิงซวงจะพูดน้ำไหลไฟดับถึงเพียงไหน ก็ไม่สามารถกลับดำเป็นขาวได้
“กู้เอ้อยา ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆสินะ!” สวีจิ้นหยวนกำหมัด สีหน้าทอแววอึมครึม “ในเมื่อเจ้าบังอาจสร้างเรื่องเช่นนี้ ข้าก็จะไม่แต่งงานกับเจ้า!”
“แล้วใครว่าข้าอยากแต่งกับเจ้า!”กู้หมิงซวงเดินมาหยุดตรงหน้าสวีจิ้นหยวน พร้อมฉีกจดหมายหมั้นในมือทิ้ง แล้วปาใส่หน้าสวีจิ้นหยวน กล่าวอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ว่า “จดหมายหมั้นเป็นอันโมฆะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแม้แต่ปลายนิ้ว!”