บทที่ 11 โฉนดอยู่ในมือ
เมื่อจดหมายหมั้นถูกปาลงบนหน้า สวีจิ้นหยวนก็กำหมัดทั้งสองข้างแน่น ดวงตาแดงเถือกถลึงมองมาที่กู้หมิงซวง ราวกับจะกินนางอย่างไรอย่างนั้น
หากไม่ใช่เพราะรอบกายมีคนอยู่เยอะ ป่านนี้เขาคงตบหน้ากู้หมิงซวงไปแล้ว
สวีจิ้นหยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เอ่ยพูดลอดไรฟันว่า “กู้เอ้อยา เจ้ามันร้าย รีบปล่อยท่านอาของข้าเสีย นับแต่นี้เป็นต้นไปตระกูลข้ากับตระกูลเจ้าไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีก!”
สวีเฟิงฉินที่ถูกกู้เหวินจูนกดศีรษะเอาไว้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยังดีที่หลานชายยังนึกถึงนาง
แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ ว่ากู้หมิงซวงจะยิ้มเยาะออกมา แล้วย้อนถามกลับไปว่า “กระไร ให้ปล่อยท่านอาของเจ้า แล้วพวกเจ้าก็จะกลับไปทั้งอย่างนี้งั้นหรือ?
“เจ้ายังต้องการอันใดอีก?”
สวีจิ้นหยวนถลึงตาใส่นางอย่างเหลือเชื่อ
เกือบฆ่าท่านอาของเขาต่อหน้าชาวบ้าน ซ้ำยังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาแทบไม่มีเหลือ ยังไม่พออีกหรือ?
“ดูเหมือนว่าข้าจะยังพูดไม่ชัดเจนพอสินะ ตอนนั้นแม่ของเจ้าบากหน้ามาขอเกี่ยวดองกับตระกูลข้าและขอแบ่งที่นาสองไร่เพื่อเลี้ยงดูเจ้า ในเมื่อตอนนี้จดหมายหมั้นเป็นอันโมฆะ ก็ต้องคืนที่นาสองไร่นั้นกลับมาให้พวกข้าด้วย!”
กู้หมิงซวงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
แค่เมื่อสักครู่พลาดแม่ไก่สามตัวนั้นไป สวีเฟิงฉินก็เจ็บใจแล้ว
บัดนี้พอมาได้ยินว่าจะต้องคืนที่นาสองไร่ให้ตระกูลกู้ นางก็ดิ้นเหมือนถูกถลกหนัง พลันตะคอกด่าออกมาว่า
“กู้เอ้อยา เจ้ามันหน้าไม่อาย ในเมื่อพวกเจ้าแบ่งที่นาสองไร่นั้นให้แก่พวกข้าแล้ว มันก็สมควรที่จะเป็นของพวกข้าต่อไป เหตุใดเจ้าถึงได้หน้าไม่อาย….โอ๊ย!”
สวีเฟิงฉินพูดได้เพียงถึงครึ่ง กู้หมิงซวงก็ก้าวเดินพรวดพราดเข้าไปยกเท้าถีบนาง จนสวีเฟิงฉินกลิ้งหลายตลบ
“หากเจ้ายังพูดมากอีก ข้าจักถีบเจ้าให้ตาย ไม่เชื่อก็ลองดูสิ”
กู้หมิงซวงเท้าสะเอว ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร
สวีเฟิงฉินถูกสยบคาฝ่าเท้า ไม่กล้าแม้นจะอ้าปากจะพูดสิ่งใดออกมา
เมื่อเห็นสวีเฟิงฉินยอมหุบปาก กู้หมิงซวงก็หันไปมองสวีจิ้นหยวนที่กำลังมองอย่างไม่ยินยอม จากนั้นก็เย้ยหยันว่า
“สวีจิ้นหยวน เจ้าเป็นถงเซิงมิใช่หรือ? ไหนว่าในภายภาคหน้าอาจจะได้เป็นท่านซิ่วฉายด้วยล่ะ ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยถึงเพียงนี้ก็ยังอยากได้ พูดให้ผู้ใดฟังก็คงขำจนฟันร่วง….เล่เข้ามาเร็ว ท่านพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย มาช่วยกันเป็นพยาน ว่าตระกูลสวีคิดจะกินรวบที่นาของคนอื่นไม่ยอมคืน อุตส่าห์ได้เป็นถึงบัณฑิต ช่างหน้าไม่อายเสียจริง…..”
เมื่อหางตาเหลือบเห็นว่าสวีจิ้นหยวนมีสีหน้าย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ มุมปากของกู้หมิงซวงก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ
สวีจิ้นหยวนรักศักดิ์ศรีเสียยิ่งกระไร เมื่อนางพูดออกไปเช่นนี้ ที่นาสองไร่นั้นก็เปรียบเสมือนขี้ร้อนๆในสายตาของเขา ถึงเขาจะอยากได้เพียงใดก็ทำใจรับไว้ไม่ลง
เป็นดั่งที่คิดเอาไว้ สวีจิ้นหยวนไม่อาจต้านทานสายตาแปลกๆเหล่านั้นของชาวบ้านได้ จึงกัดฟันกรอดแล้วกล่าวว่า “ได้ แล้วแต่เจ้า อยากได้นักก็เอาคืนไป แต่เจ้าต้องปล่อยท่านอาของข้าก่อน!”
กู้เหวินจูนกำลังจะคลายมือ แต่กู้หมิงซวงรีบพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ เจ้าต้องให้คนไปเอาโฉนดมาก่อน”
ขณะที่พูด สายตาของนางก็ทอดมองไปยังเก่าจือกับเสียนต้าน จากนั้นก็หรี่ตาลงแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคน ผู้ใดก็ได้ กลับไปเอาโฉนดที่ดินมาบัดเดี๋ยวนี้!”
ตอนแรกสองคนนั้นว่าจะไม่ไป แต่พอสบตากับกู้หมิงซวง ก็สาวเท้าวิ่งอย่างเร็วไว
ผ่านไปพักใหญ่ เสียนต้านก็กลับมาพร้อมโฉนดที่ดิน
เมื่อโฉนดมาถึงมือ มุมปากของกู้หมิงซวงก็ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
เยี่ยม!
พอมีที่ดินสองไร่นั้น ครอบครัวนางจะได้มั่นคงขึ้นมาหน่อย หากแต่จะทวงเงินที่ท่านพ่อเคยให้ตระกูลสวีกลับมาด้วย ก็คงเป็นไปได้ยาก
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ย่อมมีหวัง อย่างไรเสียต้องมีโอกาสนั้นสักวัน
กู้หมิงซวงเก็บโฉนดเอาไว้ ทั้งยังเชื้อเชิญให้เหล่าชาวบ้านช่วยเป็นพยาน จากนั้นถึงได้บอกให้กู้เหวินจูนปล่อยสวีเฟิงฉิน
ด้านสวีเฟิงฉินที่นัยน์ตาแดงเถือก ทันทีที่กู้เหวินจูนปล่อยมือจากนาง นางก็พุ่งเข้าใส่กู้หมิงซวงในทันใด