บทที่ 7 ตระกูลสวีมาปล้นถึงที่
“เหมือนจะเป็นสวีเฟิงฉิน”
“หรือจะมาชดใช้?”
กู้เจ้าสามถูกทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ คนเราหากรู้สำนึก ต่อให้ไม่ชดใช้ค่าเสียหาย ก็ควรที่จะก้มหัวสำนึกผิดบ้าง
กู้เหวินจูนเหลือบมองบิดาที่นอนอยู่บนเตียงไม้ จากนั้นก็กำหมัดแน่น “ท่านแม่อยู่ในนี้ไปก่อน ข้าจะออกไปดู ไม่ว่าตระกูลสวีจะมาเพื่อขอชดใช้หรือไม่ ท่านพ่อถูกทำร้ายถึงเพียงนี้แล้ว ข้าจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆเด็ดขาด!”
นางเฉาพยักหน้าโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นางเป็นพวกอ่อนแอขี้ขลาด พอสามีล้มป่วย จึงต้องฝากความเชื่อมันไว้ที่บุตรชาย
ด้านกู้หมิงซวงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับกระตุกยิ้มออกมา
นางขำที่นางเฉากับกู้เหวินจูนใสซื่อเกินไป อย่างสวีเฟิงเฉินน่ะหรือจะยอมมาก้มหัวขอขมาถึงที่ เกรงว่าจะหาเรื่องเสียมากกว่า
แต่ก็ดีเหมือนกัน เดิมทีนางก็กำลังคิดอยู่แล้วว่าควรไปสั่งสอนตระกูลสวีเมื่อไหร่ ในเมื่ออีกฝ่ายมาหาถึงที่ขนาดนี้จักรอช้าอยู่ไย
ยิ่งชักช้าเท่าไหร่ สวีเฟิงฉินที่อยู่ข้างนอกก็พ่นคำด่าทอออกมาหยาบคาย
“กู้เอ้อยา อีหมูอ้วน นังลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน ถ้ายังไม่โผล่หัวออกมา ข้าจะพาคนมาด่าทอเจ้าถึงหน้าบ้าน ดูซิเจ้าจะหลบไปได้สักกี่น้ำ”
สีหน้าของกู้เหวินจูนย่ำแย่สุดขีด
เขาไม่ได้โง่ เดิมทีนึกว่าอีกฝ่ายจะมาชดใช้เสียอีก แต่หลังจากได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ก็รู้ได้ในทันทีว่ามาทวงหนี้
เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ทันทีที่กู้เหวินจูนเปิดประตูออก สวีเฟิงฉินก็กระชากเสื้อของกู้เหวินจูน ตะคอกถามเเสียงหวีดแหลมว่า “อีอ้วนกู้เอ้อยานั่นอยู่ไหน?”
สวีเฟิงฉินครบสูตรสตรีดุห่ามในชนบททุกระเบียดนิ้ว คนผอมกะหร่องอย่างกู้เหวินจูนไยจะไปต้านไหว เขาต้องออกแรงเกือบสุดตัวกว่าจะดึงชายเสื้อของตัวเองออกมาจากมืออีกฝ่ายได้ จากนั้นกู้เหวินจูนก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้ามาหาซวงเอ๋อร์ทำไม?”
“มาหานางทำไมงั้นหรือ? คิดว่าข้ามาหานางเพราะมีเรื่องอยากจะคุยด้วยหรือกระไร? รีบเรียกนังบ้านั่นออกมาได้ละ นางทำร้ายข้าจนมีสภาพเช่นนี้ หากนางไม่ยอมชดใช้ให้ข้าล่ะก็ ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
สวีเฟิงฉินกล่าวอย่างเดือดจัด จนน้ำลายกระเด็นลอดไรฟันออกมา ร้อนถึงกู้เหวินจูนต้องถอยหลบ
“ซวงเอ๋อร์ไปทำร้ายเจ้าเมื่อใดกัน? มีแต่ตระกูลสวีของเจ้านั่นแหละที่ทำร้ายพ่อข้ากับซวงเอ๋อร์ ไยเจ้าต้องโยนความผิดให้ผู้อื่นเช่นนี้?”
“ข้าโยนความผิด? มาๆๆ เจ้ามาดูรอยฟันบนแขนข้ามันจะไม่ใช่รอยกัดของอีอ้วนได้เยี่ยงไร? หากเด็กเปรตอย่างกู้เอ้อยาเกิดขี้ขลาดไม่กล้าออกมาก็จงได้ อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรสาวของตระกูลกู้ ดังนั้นแผลนี้ก็ให้ตระกูลกู้รับผิดชอบแทนนางก็แล้วกัน!”
ขณะที่พูด สวีเฟิงฉินก็กวาดสายตามองไปทั่ว จนหยุดมองที่แม่ไก่ในเหล้า จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทางละโมบโลภมาก
“เอาเยี่ยงนี้ ข้าจะเห็นแก่ที่กู้เจ้าสามเพิ่งเกิดเรื่อง ข้าจักไม่เอากระไรมากมาย แต่เจ้าต้องให้ข้าจับแม่ไก่สามตัวนั้นไปต้มกินบำรุงกาย แล้วข้าจะยอมปล่อยพวกเจ้าไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู้เหวินจูนก็โกรธจนมือทั้งสองข้างสั่นเทา ใบหน้าดำคล้ำเขียว
หน้าไม่อาย!
ช่างน่าไม่อาย!
ท่านพ่อเพิ่งเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมา ซ้ำตอนนี้ยังนอนหมดสติยังไม่ฟื้น
แต่ตระกูลสวีไม่เพียงแค่ไม่ยอมชดใช้ แต่กลับฉวยโอกาสช่วงที่ตระกูลกู้กำลังชุลมุน มาขอค่าสินไหมถึงที่
พูดออกมาได้อย่างไร ว่าขอแม่ไก่สามตัว!
ไยพวกเขาไม่มาขโมยเอาเลยล่ะ?
คิดมาถึงตรงนี้ได้ไม่ทันไร ก็เห็นสวีเฟิงฉินข้ามเหล้าไก่เข้าไปโดยไม่แม้แต่จะขออนุญาตกู้หวินจูน แล้วไล่จับแม่ไก่ใส่กระสอบทั้งซ้ายขวา
“นี่มันไก่ของพวกข้า เจ้าจะเอาไปไม่ได้!”
แม้นกู้เหวินจูนจะเป็นบุตรชายคนโตของครอบครัว แต่ก็มีอายุเพียงแค่สิบสี่ปี เมื่อเห็นสวีเฟิงฉินเอาของหนึ่งเดียวที่สามารถแลกเป็นเงินหาเลี้ยงท้องไส้ของคนในบ้านได้ กรอบตาของเขาพลันแดงก่ำ
ในหัวคิดแค่อย่างเดียว คือต้องขวางไม่ให้คนพวกนั้นช่วงชิงแม่ไก่ไปเด็ดขาด
ในบ้านเขามีแค่แม่ไก่สามตัวนี้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดพอยาไส้คนในบ้านได้แล้ว เขายังคิดที่จะนำมันไปขายเพื่อแลกกับยารักษาท่านพ่ออยู่เลย หากคนพวกนั้นขโมยไป จะได้ยามาให้ท่านพ่อได้อย่างไร?
หากไม่มียา ท่านพ่อก็คงต้องนอนรอความตายเท่านั้น
ไก่เหล่านี้คือสิ่งช่วยชีวิตท่านพ่อ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะให้ฝ่ายนั้นแย่งไปไม่ได้เด็ดขาด
กู้เหวินจูนไม่สนใจคนข้างหลังสวีเฟิงฉิน รุดตัวเข้าไปกอดขาของนางไว้แน่น ไม่ยอมให้นางเอาแม่ไก่สามตัวนั้นไป
ชาวบ้านที่อยู่นอกรั้วบ้านต่างมองเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็น
หลายคนยืนดูเหตุการณ์อย่างนิ่งเฉย กระนั้นก็มีบางคนใจอ่อนทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงอดที่จะส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “สวีเฟิงฉินใจดำเกินไปแล้ว ตระกูลกู้เป็นถึงขนาดนี้แล้ว นางยังจะไล่บี้เอาให้ถึงตายเลยหรือ”
“นั่นสิ อยากเห็นครอบครัวคนอื่นล่มจมขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“อภัยได้ให้พึงอภัย ไยจึงต้องต้อนจนอีกต่ายไร้หนทางเช่นนี้…..”
เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบดังมาจากข้างนอก สีหน้าของสวีเฟิงฉินก็พลันเปลี่ยน ส่วนสวีจิ้นหยวนก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป
“ท่านอา จัดการเสร็จแล้วหรือยัง? ถ้าเสร็จก็ควรเข้าเรื่องได้แล้ว วันนี้เรามาเพื่อถอนหมั้นไม่ใช่หรือ? อย่าปล่อยให้ชาวบ้านนินทาอยู่เช่นนี้”
“ก็ได้ รีบถอนหมั้น จะได้กลับเรือนไปต้มไก่ให้เจ้ากิน”
แม้นสวีเฟิงฉินจะหน้าด้าน แต่นางก็ต้องรักษาหน้าให้หลานชายตนเอง
ตอนนี้จิ้นหยวนได้เป็นถงเซิงแล้ว หากในไม่กี่เดือนข้างหน้าสามารถเลื่อนขั้นเป็นซิ่วฉายได้ ตระกูลสวีก็จะมีท่านซิ่วฉายในตระกูลแล้ว
เป็นที่รู้กันดีว่าผู้ใดได้เป็นท่านซิ่วฉาย หาได้จำเป็นต้องคุกเข่าทำความเคารพเหล่าขุนนางไม่
อย่าว่าแต่ในหมู่บ้านต้าเฉียวเลย แม้นเป็นหมู่บ้านอื่นจักต้องมีคนเคารพไม่ต่างกัน
ก่อนหน้านี้สวีเฟิงฉินไม่แม้แต่จะแยแสผู้เป็นหลานชาย ทว่าปัจจุบันกลับเคารพเกรงใจเขาเป็นอย่างมาก
คิดมาถึงตรงนี้ นางก็ยกเท้าถีบกู้เหวินจูน จากนั้นก็ถุยน้ำลายลงบนพื้นอย่างรำคาญ “เกือบโดนเจ้าปั่นหัวจนลืมเรื่องสำคัญไปเลย รีบเรียกแม่เจ้าออกมาได้แล้ว ยอมถอนหมั้นให้จิ้นหยวนกับอีอ้วนนั่นซะดีๆ”
นางเฉาหลบอยู่หลังประตูคอยมองเหตุการณ์ผ่านช่องประตูอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าจู่ๆสวีเฟิงฉินพูดถึงตนเอง ร่างกายผ่ายผอมก็สะดุ้งโหยง
นางเป็นคนขี้กลัว เมื่อเห็นชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำข้างหลังสวีเฟิงฉิน นางก็กลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลัวว่าหากตนเองออกไปจะถูกฝ่ายนั้นฉีกออกเป็นชิ้นๆ
แต่สถานการณ์ในขณะนี้ บีบบังคับให้นางต้องออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นางเฉาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เตรียมที่จะเดินออกไปข้างนอกประตู
ทว่ากลับเห็นบุตรสาวที่ตามมายืนอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้ ถีบประตูผลั้วแล้วก้าวอาดๆออกไปนอกบ้าน
นางเฉาสะดุ้งตกใจ รีบตามบุตรสาวไปทันที
ขณะที่สวีเฟิงฉินมองรอบๆเพื่อหาสิ่งของมีค่าที่พอจะฉกฉวยกลับไปได้ ก็เดินกู้หมิงซวงเดินดุ่มๆออกมา
ยังไม่ทันที่นางจะได้ตั้งตัว ฝ่ามืออรหันต์ก็ฟาดลงบนหน้า จนนางกลิ้งหลุนๆหลายตลบ สุดท้ายก็ล้มแหมะอยู่ในบ่อโคลน
ยามถัดมากู้หมิงซวงก็เข้าไปกระชากผมของสวีเฟิงฉิน ไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้ลุกขึ้น กู้หมิงซวงก็ใช้ก้นอันอวบอัดของตนนั่งทับตัวอีกฝ่ายไว้ “เพี้ยะๆๆ” เสียงฝ่ามือสะบัดลงบนหน้ารัวๆเหมือนยิงลูกธนู
สวีเฟิงฉินหวีดร้องเสียงแหลม เมื่อถูกตบตีรุนแรงถึงเพียงนี้เสมือนเป็นการปลุกฝันร้ายของนางในอดีตขึ้นมา
“เก่าจือ เสียนต้าน พวกเอ็งมั่วยืนเซ่อทำอะไรอยู่? รีบเข้ามาช่วยข้าสิ!”
เมื่อสวีเฟิงฉินตะคอกออกไปเช่นนี้ เก่าจือและเสียนต้านที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ค้างๆพลันได้สติ จากนั้นก็รีบถกกางเกงเดินเข้าไปหากู้หมิงซวง
ปีนี้กู้หมิงซวงอายุได้สิบสองปี ร่างกายจึงยังไม่เจริญเต็มวัน แม้แรงจะเยอะ แต่ในสายตาของชายฉกรรจ์ทั้งสองคนแล้วก็เป็นเพียงเด็กอ้วนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับหมูตัวหนึ่ง พวกเขาจึงไม่เห็นว่ากู้หมิงซวงมีอะไรน่าเกรงกลัวเลยสักนิด
เก่าจือและเสียนต้านเดินเข้าไปหากู้หมิงซวง เตรียมหิ้วปีกนางทั้งซ้ายและขวา