บทที่ 6 ช่วยชีวิตและพากลับบ้าน
บุรุษผู้นั้นสวมใส่ชุดเกราะ มีด้ามมีดปักบนขาลึกจนเห็นกระดูก บริเวณหน้าผากก็มีรอยบาด
การแต่งกายเช่นนี้ ไม่ใช่นายพรานแน่นอน หากแต่เป็นทหารศึกเสียมากกว่า
กู้หมิงซวงหรี่ตาลง ยื่นมือออกไปอังใต้จมูกเขา
แต่ใครเล่าจะรู้ บุรุษที่หมดสติไปในคราแรกจะลืมตาพรวดขึ้นมากะทันหัน ดวงตาคู่นั้นนิ่งลึกเสมือนนภาในยามค่ำคืน
กู้หมิงซวงสะดุ้งโหยง กำลังจะก้าวถอยหลัง ชายผู้นั้นกลับเอื้อมมือมาจับข้อมือนางไว้อย่างแน่นหนาราวเหล็กกล้า
กู้หมิงซวงสะดุดล้มทับลงบนตัวของบุรุษผู้นั้น
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ยังไม่ทันได้มองผู้ที่อยู่เบื้องหน้าให้ชัด ก็รู้สึกหนักที่ช่วงอกเหมือนมีภูเขาหล่นทับ หนักจนเขาต้องกระอักเลือดออกมา จากนั้นก็หมดสติไปอีกครา
กู้เหวินจูนเป็นห่วงน้องสาว จึงรีบพยุงน้องสาวลุกขึ้น
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
มืออ้วนปานกีบหมูของนางบัดนี้ทั้งบวมทั้งแดงอย่างน่าสงสาร
“ข้าไม่เป็นไร” กู้หมิงซวงอดกลั้นความเจ็บที่ข้อมือเอาไว้พร้อมส่ายหน้า จากนั้นก็ทอดสายตามองบุรุษผู้นั้น
หนวดเคราปกคลุมใบหน้าของอีกฝ่ายจนเกือบจะครึ่งหน้า แต่ดูจากองค์ประกอบอื่นก็พอจะรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังอ่อนวัย อายุราวยี่สิบปีได้
บาดแผลของเขาค่อนข้างสาหัส แถมเมื่อสักครู่ยังกระอักเลือดออกมาอีก
หากปล่อยทิ้งเขาไว้ในป่าเขาลึกเช่นนี้ คงตายหยังเขียด
แต่ตระกูลกู้เพิ่งเกิดเรื่องครั้งใหญ่ แม้แต่ตนเองยังเอาตัวไม่รอด หากพาบุรุษเจ็บสาหัสผู้นี้กลับไปด้วย คงมีแต่สร้างภาระเพิ่ม
ในขณะที่นางกำลังลังเล กู้เหวินจูนก็นั่งยองๆลงข้างกายชายหนุ่มผู้นั้น ขมวดคิ้วมุ่นแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนสหายผู้นี้จะยังไม่ตาย เพียงแต่บาดเจ็บสาหัสไปหน่อย หากปล่อยไว้คงอันตรายถึงชีวิตเป็นแน่ ต้องรีบพากลับไปทำแผลใส่ยาให้เขา”
“ท่านพี่จะช่วยเขารึ?”
“อืม ป่าเขาลึกเช่นนี้ยามกลางคืนมักจะมีหมาป่าออกมาล่าเหยื่อ หากทิ้งเขาไว้ที่นี่ เขาคงถูกหมาป่ากัดตายเป็นแน่”
“ก็ได้”
ในเมื่อพี่ชายเห็นด้วย นางก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
แต่ดูท่าแล้วบุรุษผู้บาดเจ็บท่านนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่……
กู้หมิงซวงครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก็เดินเข้าไปถอดเสื้อเกราะของชายผู้นั้นโยนทิ้งลงลำธาร พร้อมฉีกเสื้อของเขาให้ขาดรุ่งริ่ง สร้างสถานการณ์แสร้งว่าเขาถูกสัตว์ป่าตะปบ
หลังจากกระทำทุกอย่างเสร็จ นางกับกู้เหวินจูนก็ออกแรงหามชายผู้นั้นลงเขา
ผู้คนในหมู่บ้านต้าเฉียวค่อนข้างหูไวตาไว สองพี่น้องจึงเลือกเดินอ้อมไปอีกทางกลับมาที่ตระกูลกู้ เมื่อมาถึงหน้าเรือน กู้หมิงซวงก็เหนื่อยหอบ
กู้เหวินจูนกลัวจะมีผู้ใดมาเห็น จึงรีบลากบุรุษผู้บาดเจ็บเข้าไปในบ้าน
ในระหว่างที่ถูกลาก เข็มขัดของชายหนุ่มก็ถูกต้นหญ้าเหนี่ยวรั้ง จี้หยกที่ห้อยอยู่บนเข็มขัดพลันร่วงหล่นลงในดงหญ้า
โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
ภายในเรือน นางเฉาซักผ้าเสร็จ ก็ให้อาหารไก่ แล้วจึงหุงหาอาหาร จากนั้นก็เตรียมเปลี่ยนผ้าพันแผลให้กู้หย่วนเต้า
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวนอกเรือน นางเฉาก็รีบวิ่งออกมาดู
พลันแสดงสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นกู้หมิงซวงและกู้เหวินจูนพาบุรุษบาดเจ็บผู้หนึ่งกลับมาด้วย
ไม่รอให้นางเอ่ยถาม กู้เหวินจูนก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านแม่ เปิดประตูห้องซวงเอ๋อร์ให้ที”
เมื่อนางเฉาเห็นแผลฉกรรจ์ของชายผู้นั้น จึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความสงสัยลงไปก่อน แล้วเดินเข้าไปเปิดประตูห้องตามที่บุตรชายบอก จากนั้นทั้งสามคนก็ออกแรงช่วยกันหามบุรุษผู้บาดเจ็บนอนลงบนเสื่อ
กู้หมิงซวงก้มลงแหวกเสื้อของชายหนุ่มออก จึงพบว่าเขาไม่เพียงได้รับบาดเจ็บที่ขา ร่างกายท่อนบนยังมีรอยดาบประทับอยู่หลายรอย
และเหมือนรอยฟันนั้นจะอยู่หลายวันแล้ว ผิวหนังบริเวณที่ถูกฟันถึงได้เน่าเปื่อย กลายเป็นน่าสยดสยอง
กู้หมิงซวงวางฝ่ามือแนบหน้าผากของเขา
ไม่เหนือจากที่นางคิดเอาไว้ ตอนนี้หน้าผากของเขาร้อนระอุ คาดว่าคงกำลังเป็นไข้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้นไม่ตาย ก็คงป่วยกายจนสติพร่า
“ท่านแม่” กู้หมิงซวงหันไปมองนางเฉา พร้อมกำชับออกมาอย่างเด็ดขาด “ไปหยิบสุราที่ท่านพ่อเก็บ ไว้ แล้วหยิบเชิงเทียนกับผ้าพันแผลกับยาห้ามเลือดที่จ้าวหลิงยีทิ้งไว้เมื่อวานมาด้วย ส่วนท่านพี่เอาสมุนไพรที่เราเก็บมาเมื่อสักครู่ไปล้างน้ำ ตำให้ละเอียดแล้วเอาใส่ถ้วยมาให้ข้าที”
“ได้”
กู้หมิงซวงมีสีหน้าท่าทีจริงจัง จนผู้เป็นแม่กับพี่ชายปฏิบัติตามที่นางบอกโดยไม่คิดอะไรให้มากมาย
นางเฉาและกู้เหวินจูนหยิบสิ่งของตามที่กู้หมิงซวงสั่ง เมื่อวางทุกอย่างลงบนโต๊ะ นางเฉาก็เมียงมองบุรุษมีเคราผมหนาตรงหน้า พร้อมเอ่ยถาม
“เหวินจูน ข้าลืมถามไปเลย เจ้ากับซวงเอ๋อร์ไปเจอคนผู้นี้ได้อย่างไรกัน? ไยบนตัวมีแต่รอยดาบฟัน คงมิใช่โจรป่าหรอกกระมัง?”
นางกล่าวพร้อมใบหน้าขาวซีด
ช่วงหลายปีมานี้คนในหมู่บ้านรายได้ไม่ดี บางครัวเรือนถึงขั้นมีคนอดตายด้วยซ้ำ
ช่วงต้นปีมีหลายคนสิ้นเนื้อประดาตัวจนต้องผันตัวไปเป็นโจรป่า ซุ่มตัวดักปล้นชาวบ้านในป่าเขา โจรคนไหนใจอ่อนก็จะปล้นไปแค่เงิน โจรคนไหนใจไม้ไส้ระกำก็จะปล้นพร้อมคร่าชีวิตไปด้วย
ไม่รอให้กู้เหวินจูนเอ่ยตอบ กู้หมิงซวงก็ชิงตอบก่อนโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “โจรป่ากระไรกัน ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย ข้ากับท่านพี่บังเอิญไปเจอในป่า คิดว่าหากไม่ใช่นายพรานก็คงเป็นผู้ลี้ภัย คงไม่ดีแน่หากเจอคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วย ดังนั้นข้ากับท่านพี่ถึงได้หามกลับมาด้วยนี่ไง”
ในระหว่างที่พูด มือของนางก็เคลื่อนไหวไม่หยุด
เขี่ยเนื้อที่เน่าเปื่อยตรงปากแผลออก จากนั้นก็สมานแผลด้วยการใส่ยาแล้วนำผ้ามาพัน การกระทำเป็นไปด้วยความคล่องแคล่ว
นางเฉาเห็นเช่นนั้น ก็อ้าปากกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา พลันเบี่ยงความสนใจจากบุรุษหนวดเครามาที่บุตรสาว ในใจก็ครุ่นคิดว่าบุตรสาวเก่งถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ข้าแอบเรียนมาจากจ้าวหลิงยีเมื่อวาน” กู้หมิงซวงรู้ว่านางเฉากำลังสงสัย และนางก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรให้มากมาย
พอนานวันเข้า พวกเขาก็จะรู้เองว่าความสามารถของนางไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หากต้องคอยอธิบายทีละอย่าง นางคงเหนื่อยตายเป็นแน่
กู้หมิงซวงถ่ายเลือดให้ผู้บาดเจ็บอย่างใจเย็นท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนางเฉาและกู้เหวินจูน จากนั้นก็หันหลังเดินไปอีกห้องเพื่อดูอาการของกู้หย่วนเต้า
โชคดีที่กู้หย่วนเต้าฟื้นตัวได้ดี ลมหายใจสม่ำเสมอและไม่ตัวร้อน ภายในสองวันนี้น่าจะฟื้นขึ้นมา
ขณะที่กู้หมิงซวงกำลังจะเรียกนางเฉาไปอุ่นซุป ซึ่งในทุกๆวันจะป้อนท่านพ่อวันละสองช้อน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังสะท้านฟ้ามาจากนอกเรือนเสียก่อน
“กู้เอ้อยา อย่าแกล้งตาย ออกมาหาข้าบัดเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นางเฉาและกู้เหวินจูนพลันหน้าเปลี่ยนสี