บทที่ 5 เก็บสมุนไพรในป่าลึก
กู้หมิงซวงเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงเปล่งเสียงเอ่ยพูดขึ้นมาอีกครา “ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าไปจะเก็บสมุนไพรบนเขา แล้วนำไปขายในเมือง ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ เราจะต้องรักษาท่านพ่อให้จงหาย”
ไม่เพียงแค่รักษาท่านพ่อ แต่นางอยากหลุดพ้นจากความยากจนในตอนนี้ และนำพาทุกคนในครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
ส่วนตระกูลสวี กู้หมิงซวงหรี่ตาลง นางจักต้องทำให้ตระกูลสวีได้รับผลการกระทำอย่างสาสม
กู้เหวินจูนและนางเฉามองหน้ากัน จากนั้นก็เหลือบมองกู้หมิงซวงที่ไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกมันมีทั้งดีใจและเสียใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น
ยามเมื่อดวงอาทิตย์อุทัย กู้หมิงซวงก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมไปเก็บสมุนไพรในป่าลึก
นางลากกู้เหวินจูนให้ย่องออกจากเรือนไปอย่างเงียบๆ
ขณะนี้เป็นยามอิ๋น เป็นช่วงที่ยามกลางคืนและกลางวันคาบเกี่ยวกัน
ฝนหยุดตกนานแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมีแสงรำไร ในระหว่างทาง ยังได้ยินเสียงไก่ขันจากบ้านเรือนในหมู่บ้านอีกด้วย
ชาวบ้านผู้ขยันขันแข็ง ตื่นขึ้นมาทำมาหากินในทุ่งนาตั้งแต่เช้าตรู่
กู้หมิงซวงบิดขี้เกียจ อากาศช่างดีสมกับเป็นชนบทเสียจริง
เดิมทีกู้เหวินจูนคิดไปว่า ผู้เป็นน้องสาวคงแค่คึกอยู่ชั่วคราว เดินได้ครึ่งทางต้องร้องอยากกลับบ้านเป็นแน่
แต่ใครเล่าจะรู้ พอเดินมาถึงหุบเขา ยิ่งรอบด้านเป็นป่าดงพงไพร นางก็ไม่มีทีท่าที่จะวกกลับทางเดิมเลย ซ้ำยังเดินเร็วกว่าเขาด้วยซ้ำ
อันที่จริง กู้เหวินจูนไม่รู้เลยว่ากู้หมิงซวงกำลังทุกข์ทนมากเพียงใด
ด้วยรูปร่างอ้วนใหญ่ของนาง ทุกฝีก้าวที่ขยับเคลื่อนกาย จึงพลอยสะเทือนถึงไขมันบนร่าง
เพราะมีไขมันบนร่างกายถ่วง เท้าทั้งสองข้างของกู้หมิงซวงจึงเหมือนมีโซ่ตรวน เหงื่อที่ออกเต็มแผ่นหลังเริ่มซึมไปตามเสื้อผ้า นางทำได้เพียงสะกดจิตตนเองให้เดินต่อไปข้างหน้าแม้นจะเหนื่อยขาดใจเพียงไหนก็ตาม
หมู่บ้านต้าเฉียวโอบล้อมไปด้วยภูเขา บนเขาเต็มไปด้วยพืชไม้นานาพันธุ์ ซึ่งสมุนไพรที่ขึ้นบริเวณรอบนอกถูกชาวบ้านเก็บไปขายหมดแล้ว ดังนั้นสองพี่น้องเลยต้องเข้าไปเก็บในป่าลึก
ในขณะที่กู้หมิงซวงกำลังจะทนไม่ไหว นางก็เห็นต้นหญ้าแปลกตาขึ้นอยู่ใต้รากต้นไม้ ชั่วขณะนั้นดวงตาของนางพลันเปล่งประกาย
หญ้าต้นนั้นมีลักษณะใบเป็นรูปวงรี มีดอกเป็นพุ่มๆ
กู้หมิงซวงรีบวิ่งเข้าไปเด็ดหญ้าต้นนั้นขึ้นมาวางไว้ในตะกร้าสานอย่างทะนุถนอม
“มันคืออะไร?”
กู้เหวินจูนเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
หญ้าต้นนี้ก็ดูเหมือนหญ้าธรรมดาทั่วไป แต่ไยน้องสาวถึงได้ทำเหมือนมันหายากกระไรนั้น คงมิใช่อาการบ้าบอกำเริบอีกหรอกกระมัง?
“หญ้าหลงด่าน”
กู้หมิงซวงกล่าวยิ้มๆ “มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบและบรรเทาความเจ็บได้ มันสามารถรักษาบาดแผลของท่านพ่อได้อย่างน่าอัศจรรย์แน่นอน รีบดูรอบๆเร็วเข้าว่ายังมีอีกหรือไม่”
เมื่อกู้เหวินจูนได้ยินว่าสมุนไพรชนิดนี้ช่วยรักษาบาดแผลของกู้หย่วนเต้าได้เป็นอย่างดี ก็รีบก้มหน้าก้มตามองหา
ทว่าเขาก้มหาได้ไม่ทันไร ก็หันมามองน้องสาวอย่างเคลือบแคลงใจ
“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้เรื่องสมุนไพรตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เอ่อ…….”
กู้หมิงซวงอึกอัก นางลืมไปเสียสนิทว่าเจ้าของร่างเดิมสติปัญญาไม่ดี อย่าว่าแต่สมุนไพรเลย แม้แต่ตัวหนังสือสักตัวยังอ่านไม่ออก
เมื่อเห็นกู้เหวินจูนมองมาที่ตนเอง นางก็ปั้นสีหน้า แล้วกล่าวเสียงดัง “หลังจากที่ข้ากลับมาจากยมโลก ก็มีความรู้แปลกใหม่ผุดเข้ามาในหัวตลอด คงเป็นเพราะท่านเทพเวทนาที่ข้าหัวช้ามาตลอดหลายสิบปีกระมัง”
คนโบราณมักจะเชื่อในเทพเจ้า เมื่อได้ยินถ้อยคำของกู้หมิงซวง กู้เหวินจูนจึงคลายข้อสงสัย แล้วกล่าวอย่างสงสาร “น่าเสียดายที่ตอนนี้ท่านพ่อนอนไม่ได้สติ หากท่านพ่อรู้ว่าเจ้าไม่ได้ปัญญาอ่อนอีกต่อไปแล้ว จักต้องดีใจมากแน่ๆ”
“ไม่ต้องห่วง ท่านพ่อต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน”
นัยน์ตาของกู้หมิงซวงฉายแววแน่วแน่ นางจะไม่ยอมให้ท่านพ่อกลายเป็นคนพิการเด็ดขาด
กู้เหวินจูนไม่ได้กล่าวอันใดออกมาอีก ก้มหาสมุนไพรต่อไป
เมื่อเก็บสมุนไพรได้จนเกือบเต็มตะกร้า สองพี่น้องก็เดินไปทางโพรงหญ้าที่กู้เหวินจูนเพิ่งถางออกเมื่อสักครู่ ทว่ากู้เหวินจูนที่เดินนำกลับต้องสะดุ้งโหยง รีบถอยกรูดไปหลายก้าว
เมื่อกู้หมิงซวงเห็นสีหน้าซีดขาวของเขา ก็มองมาอย่างสงสัย กำลังจะเอื้อมมือไปแหวกโพรงหญ้าออก ก็ได้ยินกู้เหวินจูนร้องเตือนว่า “ซวงเอ๋อร์อย่าเข้าไปใกล้ มีคนตายอยู่ตรงนั้น”
“กระไรนะ?”
กู้หมิงซวงหน้าเปลี่ยนสี ในป่าเขาลึกถึงเพียงนี้จะมีคนมาตายได้อย่างไร?
หรือว่าจะเป็นนายพรานในหมู่บ้านเข้ามาล่าสัตว์ แล้วถูกสัตว์ป่ากัดตาย?
ไม่สิ หากนายพรานออกมาล่าสัตว์แล้วหายไปทั้งคืนเช่นนี้ ชาวบ้านในหมู่บ้านต้าเฉียวคงไม่เงียบถึงเพียงนี้
นางจึงรีบแหวกโพรงหญ้าออกอย่างไม่สนสิ่งใด
และนางก็พบร่างของบุรุษผู้หนึ่งนอนราบอยู่ในโพรงหญ้ารกๆ