2 ทูตสันถวไมตรี
นานกว่าหนึ่งเดือนนับจากนั้น บ้านกึ่งตึกสองชั้นโทนสีส้มก็สร้างเสร็จเรียบร้อย หลายวันก่อนมีการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ โดยเพื่อนบ้านเชิญป้ารวีไปร่วมงาน แถมยังชวนเผื่อแผ่มาถึงหล่อนด้วย
เจนนิสาได้แต่ตีสีหน้าแสนเสียดาย เพราะจังหวะนั้นหล่อนกำลังจัดเสื้อผ้าลงในกระเป๋าเพื่อเดินทางไปหาพี่สาว เนื่องจากวันรุ่งขึ้นเป็นวันเกิดของหลานสาวตัวน้อย โดยจัดงานวันเกิดเป็นการภายในครอบครัวกันที่รีสอร์ตในจังหวัดภูเก็ต
‘คลาดกันอีกแล้ว ถึงตอนนี้เจนยังไม่เจอเพื่อนบ้านของเราสักที’
‘ไม่เป็นไร ป้าจะบอกบ้านโน้นไว้ให้ ยังไงเราก็ต้องเจอพวกเขาอยู่ดีนั่นแหละ’
ป้ารวีบอกเพื่อให้หล่อนสบายใจ ดูสีหน้าของป้าก็เสียดายแทนหล่อนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
เมื่อถึงเวลา เจนนิสาก็เดินทางไปภูเก็ตเพื่อร่วมงานวันเกิดของหลานสาว แต่พอเสร็จจากงานเลี้ยงเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น หล่อนก็พักอยู่ต่ออีกสองวันตามคำชวนของคุณแต้ว ซึ่งเป็นอาของหลานสาวที่พ่วงตำแหน่งภรรยาของเจ้าของรีสอร์ต
‘ถ้าเจนอยากได้แรงบันดาลใจในการทำงาน คราวหน้ามาพักที่นี่ได้เลยนะคะ ไม่ต้องไปพักที่รีสอร์ตอื่นอีกแล้ว’
‘เจนสู้ราคาไม่ไหวสิคะ เจนขายชิ้นงานได้หลักหมื่น นานๆ จะถึงหลักแสนกับเขาสักที แถมยังใช้เวลาทำนานเป็นเดือน ชิ้นล่าสุดก็ปาเข้าไปสองเดือนครึ่งกว่าจะเสร็จเรียบร้อย ถ้าต้องจ่ายค่าที่พักคืนละหลักแสนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เจนต้องกลายเป็นศิลปินไส้แห้งตามที่ป้าหมายหัวไว้แน่ๆ ค่ะ’
‘รีสอร์ตที่นี่มีตั้งแต่หลักพันค่ะ ส่วนวิวยังเป็นหลักแสนเหมือนเดิม เพียงแต่ห้องไม่เคยว่าง แต่ถ้าเจนขอมา พี่จะล็อกไว้ให้ล่วงหน้า แถมด้วยส่วนลดพิเศษ ส่วนค่าอาหาร พี่จะเลี้ยงตลอดรายการ ไม่ยอมให้เจนต้องไส้แห้งแน่นอน’
‘อุ๊ย! พี่แต้วใจดีจังเลย ของดีในราคาที่เจนนิสาเอื้อมถึง ขอเก็บไว้ในลิสต์เลยนะคะ ไว้เจนจะเช็กช่วงโปรโมชันของสายการบินด้วย สบจังหวะช่วงไหน เจนจะมารบกวนพี่แต้วแน่นอนค่ะ’
มิตรภาพที่ได้รับมานี้ทำให้เจนนิสาต้องแย้มรอยยิ้ม นึกไปถึงพี่สาวว่าโชคดีนักหนาที่ครอบครัวของพี่เขยให้การต้อนรับอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่สามีหรือน้องสามีอย่างคุณแต้ว แถมฝ่ายหลังยังเผื่อแผ่น้ำใจมาถึงหล่อนด้วยเสมอ
“ในโลกใบนี้จะมีผู้หญิงที่โชคดีเรื่องครอบครัวอย่างพี่หลิวสักกี่คน แถมหลานของเราทั้งสองคนก็น่ารักอีกด้วย”
เจนนิสาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเอนกายนอนบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นชมพู่ใกล้ชายคาหน้าบ้าน พอเห็นพวงชมพู่ห้อยย้อยอยู่แค่เอื้อม หล่อนจึงเอื้อมเด็ดมากัดกิน
“พี่แต้วกับคุณโต๋ก็น่ารัก”
เจนนิสารำพันขณะที่เคี้ยวชมพู่หวานกรอบไว้เต็มปาก พลันก็เบ้หน้า ครางเสียงอือในลำคอออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“อิจฉาแล้วสิ แล้วทำไมเราต้องเหี่ยวแห้งอยู่คนเดียวด้วย”
ปิ๊น! ปิ๊น!
เสียงแตรรถยนต์ดังอยู่หน้ารั้วบ้าน หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งแล้วชะโงกมองด้วยอยากรู้ว่าเป็นใคร จากมุมนี้ที่มองผ่านประตูรั้วใหญ่ เจนนิสาเห็นรถกระบะคันสีน้ำตาล แต่พอจะลุกขึ้นเดินไปดูใกล้ๆ พลันก็เห็นพุดจีบวิ่งตัดหน้าไปเสียก่อน
เจนนิสาจึงนั่งลงบนแคร่ตามเดิม ก่อนจะทิ้งกายนอนราบ แล้วครุ่นคิดถึงเรื่องติดอยู่ในใจต่อ
เสียงรถหน้าบ้านเคลื่อนออกห่างไปแล้ว ไม่ถึงนาทีต่อมาก็เห็นพุดจีบเร่งฝีเท้ากลับเข้าบ้าน คนบนแคร่เหลือบมองอย่างไม่สนใจนัก หากเมื่อเห็นก้อนกลมๆ สีเทาในอ้อมแขนของพี่เลี้ยงสาวใหญ่ เรียวคิ้วสวยก็ขมวดมุ่นอย่างอดสงสัยไม่ได้
“พี่พุดอุ้มอะไรมาด้วย”
หญิงสาวรำพึงถามตัวเอง แล้วเหลือบมองไปทางหน้าบ้าน แม้รู้ว่ารถคันนั้นแล่นลับหายไปแล้วก็ตาม
“เมื่อกี้ใครเอาของมาให้พี่พุด”
เมื่อถามตัวเองแล้วไม่มีคำตอบออกมา เจนนิสาจึงลุกขึ้นแล้วเดินตามพี่เลี้ยงเข้าไปในบ้าน พลันก็พบกับภาพแปลกตา...มันเป็นสิ่งที่เจนนิสาไม่คิดว่าจะได้เห็นในบ้านหลังนี้
แมวสีเทาตัวกลมนั่งอยู่บนโต๊ะกลางในห้องโถงบ้าน ท่าทางของมันนิ่งสงบ จนแวบแรกที่เห็นทำให้เจนนิสาเข้าใจไปว่าเป็นตุ๊กตาแมวเสียด้วยซ้ำ
“ป้าเอาแมวที่ไหนมาเลี้ยงคะ”
ป้ารวีที่นั่งอยู่บนโซฟาพลางลูบตัวแมวสีเทาอย่างเอาใจเงยหน้าขึ้นมาตอบหลานสาว
“บ้านข้างๆ เขาเอามาฝากเลี้ยง เพราะเขาจะไม่อยู่สัปดาห์หนึ่ง”
“บ้านข้างๆ? ป้าหมายถึงใคร”
เจนนิสาขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกงุนงงสุดขีด หากเจ้าสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโต๊ะก็จูงใจให้หล่อนนั่งลงแล้วทอดสายตามองมันอย่างอยากรู้อยากเห็น และคนที่ตอบคำถามของหล่อนนั้นกลับกลายเป็นคนที่อุ้มแมวเข้ามาในบ้านแทน
“เพื่อนบ้านคนใหม่ของเรายังไงคะคุณเจน เขาเพิ่งซื้อแมวมาเลี้ยง เพราะจะให้เป็นเพื่อนเล่นของหลานสาว แต่ตอนนี้ที่บ้านนั้นมีแต่คนงานที่วุ่นอยู่กับการดูแลบ้านและตกแต่งสวนนอกบ้านที่ยังไม่เรียบร้อย เขาเลยกลัวว่าคนงานจะเลี้ยงดูแมวได้ไม่ดี”
“เขาก็เลยเอามาฝากเราเลี้ยงงั้นสิ”
“ใช่ค่ะ เขาฝากเราเลี้ยง เพราะไว้ใจคนบ้านเรา”
พุดจีบบอกพลางยิ้มอย่างภูมิใจ จนเจนนิสาต้องขัดคอไว้
“พี่พุดบอกเขาไปหรือเปล่าว่าบ้านเราไม่เลี้ยงสัตว์สักตัว ไม่ว่าแมวหรือหมา”
“ไม่จริงนะคะ เมื่อก่อนคุณเจนมีน้องหมาตัวหนึ่ง ตอนมันตาย คุณเจนร้องไห้ยังกับเผาเต่า คุณเจนลืมไปได้ยังไง”
“นั่นมันตั้งแต่เจนเรียนประถม หลังจากนั้นเจนก็ไม่เลี้ยงหมาอีก”
เจนนิสาอึกอักขึ้นมาเมื่อนึกถึงเจ้าปากแดงหมาพันธุ์ไทยตัวนั้น เพื่อนสี่ขาที่หล่อนรู้จักมันตั้งแต่เริ่มรู้ความ พอมันตายด้วยความชรา หล่อนก็เศร้าเสียใจและร้องไห้อยู่หลายวัน
นั่นเป็นครั้งแรกที่เจนนิสาเข้าใจกับคำว่าสูญเสีย มันยิ่งใหญ่และเจ็บปวดเกินกว่าหัวใจดวงเล็กๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งจะรับไว้ได้
หลังจากนั้นหล่อนจึงหลีกเลี่ยงตลอดมา เจนนิสาไม่คิดจะเลี้ยงสัตว์ตัวไหนอีก หล่อนไม่ต้องการผูกพันกับมัน เพราะไม่อยากเจอวันที่ต้องพลัดพรากอีก
ป้ารวีชายตามองเจนนิสา เมื่อเห็นสีหน้าของหล่อนก็รู้ทันว่ากำลังคิดอะไร นางจึงพูดขึ้นหวังจะดึงหลานสาวออกจากความทรงจำนั้นเสีย
“ช่วงนี้เจนอยู่ว่างๆ ก็เอาแมวของเขาไปเลี้ยงสักสัปดาห์ แต่อย่าชวนกันกินและนอนทั้งวันละ แมวมันจะเสียนิสัยตามเรา”
ดูเหมือนว่าได้ผล คำพูดของป้ารวีดึงเจนนิสาออกจากความหลังอันแสนเศร้าได้อย่างชะงัด
“ป้า! ทำไมพูดอย่างนี้ เจนเสียหายหมดเลย เจนไม่ได้ขี้เกียจสักหน่อย ช่วงนี้เรียกว่าเป็นช่วงพักสมองต่างหาก ป้าก็เห็นว่าเจนเพิ่งทำงานชิ้นใหญ่เสร็จ เจนเพิ่งรับเช็คมาเข้าบัญชีสดๆ ร้อนๆ แถมยังไม่ได้ใช้เงินเลย”
“งั้นเงินที่ทำงานได้ก็เอาไปซื้ออาหารแมว ป้าไม่รู้ว่าแมวฝรั่งเขาเลี้ยงยังไง พอถามจากเจ้าของ เขาก็ยังไม่รู้ แต่บอกว่ากำลังศึกษาวิธีเลี้ยงอยู่เหมือนกัน”
“อ้าว! ทำอย่างนี้ได้ยังไง เขาซื้อแมวมาเลี้ยง แต่ไม่รู้วิธีเลี้ยง พวกเห่อสัตว์เลี้ยงนี่เป็นปัญหาสังคมจริงๆ” เจนนิสาอดที่จะบ่นด้วยความขัดใจไม่ได้
“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย เขาซื้อมาให้หลานสาว เพราะหมอแนะนำมาว่าสัตว์เลี้ยงจะเป็นเพื่อนของเด็กๆ ได้ เขามีความจำเป็น ไม่ใช่ว่าเขาซื้อมาเลี้ยงเพราะเห่อตามใครสักหน่อย”
“แล้วถ้าหลานของเขาไม่ชอบแมวตัวนี้ล่ะป้า เขาไม่ต้องเอาไปปล่อยวัดหรือ”
“ไม่หรอก ยังไงเด็กก็ชอบสัตว์ทั้งนั้น”
“ป้าก็เป็นไปกับเขาอีกแล้ว”
เมื่อแย้งไปอย่างไร ป้ารวีก็โต้แทนเจ้าของแมวกลับมาทุกคำ เจนนิสาจึงได้แต่ค้อนตาคว่ำ แต่พอมองตัวต้นเหตุก็เห็นว่ามันกำลังมองหล่อนตาแป๋ว หญิงสาวจึงไม่อาจลุกเดินหนีตามที่ตั้งใจไว้…ก่อนจะเปลี่ยนใจโน้มตัวไปพูดกับมันด้วยเสียงจริงจัง
“ชื่ออะไรล่ะเรา หืม? ถามไม่ตอบอีกแน่ะ สงสัยจะยังไม่มีชื่อ เอาเป็นว่าเราชื่อหนุงหนิงแล้วกันนะ แล้วรู้หรือเปล่าว่าทาสของเราเอาเรามาทิ้งไว้ที่นี่ อาหารก็ไม่มีมาให้ด้วย แต่ฉันใจดี อนุญาตให้เราพักอยู่บ้านนี้ได้สัปดาห์หนึ่ง เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้ออาหารมาให้แล้วกันนะ ร้านสัตว์เลี้ยงอยู่ถัดไปอีกซอยนี่เอง อยู่กับฉันไม่ต้องกลัวอด แต่เราจะขี้เกียจไม่ได้รู้ไหม เพราะจะเสียชื่อมาถึงฉัน”
ตลอดเวลาที่เจนนิสาพูดกับเจ้าแมวตัวน้อยที่นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะกลางหน้าโซฟา ป้ารวีและพุดจีบก็เบือนหน้ามาสบตากัน แล้วต่างคนก็ลอบยิ้มกับภาพที่เห็น