2 ทูตสันถวไมตรี 2
รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่คันสีน้ำตาลแล่นไปจอดด้านหลังร้านขายวัสดุก่อสร้างที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากกลางเมืองนครปฐม ร้านนี้ถือเป็นร้านเก่าแก่ของจังหวัด เมื่อกว่ายี่สิบปีก่อนยังเป็นตึกแถวขนาดสามคูหา แต่หลังจากซื้อตึกแถวติดกันเพิ่มขึ้นมาจนได้พื้นที่เพียงพอ เจ้าของร้านจึงทุบอาคารเดิมแล้วก่อสร้างเป็นห้างขนาดย่อมที่ขายวัสดุก่อสร้าง รวมถึงสุขภัณฑ์และวัสดุซ่อมบำรุงครบวงจร
คนขับรถกระบะคันนั้นเปิดประตูรถแล้วก้าวลงมา ก่อนเขาจะเดินไปทางด้านหลังซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ที่ปรับปรุงใหม่ให้เป็นที่พักอาศัย ซึ่งสภาพภายในแลดูทันสมัยและสะอาดสะอ้าน อีกทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นด้วยโทนสีไม้ จนเป็นที่พอใจของหญิงชายชราผู้เป็นเจ้าของยิ่งนัก
ทันทีที่ผู้ชายร่างสูงย่างเท้าเข้าไปในบ้าน ร่างเล็กจิ๋วของเด็กหญิงวัยสามขวบที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ลุกขึ้นมาแล้วโผไปหาเขาทันที
“อาดิน”
เสียงเล็กๆ ที่เรียกหานั้นสร้างรอยยิ้มให้เกลื่อนบนใบหน้าคร้ามคมจนดูอ่อนโยนลง เขายกมือแข็งแรงขึ้นมาลูบศีรษะของเด็กหญิง ก่อนจะจับจูงพากันเดินไปหาเจ้าของสายตาสองคู่ที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ไปคุยกับหมอมา ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง”
อาม่าถามทันทีเมื่อหลานชายทรุดกายนั่งลงบนโซฟา โดยมีร่างของเด็กหญิงปีนขึ้นไปนั่งเคียงข้าง นางมองสองชีวิตตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ความห่วงใยยังมีอยู่ไม่น้อยเลย
“ตอนนี้เรายังไม่ควรให้ปันปันเข้าโรงเรียนครับ เรื่องภาษาไม่มีปัญหา เพราะตอนอยู่ฮ่องกง ปันปันอยู่กับไม้เป็นส่วนใหญ่ เลยพูดและเข้าใจภาษาไทยได้ดีกว่าภาษาจีนหรืออังกฤษ แต่เหตุผลสำคัญเป็นเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ใหม่ และปันปันเพิ่งแยกจากครอบครัวเดิม จึงต้องให้เวลาปันปันปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปครับ”
“ฉันก็คิดอย่างนั้น จริงๆ ไม่ต้องถึงมือหมอเด็กหรอก ถามฉันก็ตอบได้ ปันปันเพิ่งย้ายบ้านข้ามประเทศ ยังไม่คุ้นกับที่นี่ แต่จู่ๆ แกจะส่งหลานไปผจญภัยในโรงเรียนอนุบาลต่อได้ยังไง เครียดตายกันพอดี เอาไว้อยู่ที่บ้านนี่แหละ”
“แต่อาม่ากับอากงไม่ยอมย้ายไปอยู่บ้านใหม่ของผม”
อิทธิแย้งขึ้น หลังจากเขากล่อมอากงและอาม่าให้ย้ายไปอยู่ด้วยกันตั้งหลายหน แต่สองผู้อาวุโสก็ยังยืนยันคำเดิม
“ฉันต้องคอยดูแลพนักงานของร้าน อีกอย่างบ้านหลังนี้ก็สบายดี แกมาทำให้จนน่าอยู่ ฉันไม่ย้ายไปไหนหรอก”
“นี่เป็นเพราะผมมารีโนเวตบ้านให้อากงอาม่าใช่ไหม ผมเลยถูกทิ้งให้อยู่บ้านใหม่กับปันปันแค่สองคน”
“ฉันบอกให้แกแต่งเมียเข้าบ้าน เขาจะได้ช่วยดูแลบ้านและดูแลหลาน แต่แกมันเรื่องมากเอง”
“อาม่าพูดเป็นเล่นไปได้ จะให้ผมแต่งกับใครล่ะ”
“แต่งกับคนที่เขาอยากแต่งกับแกนะสิ นี่ถ้าไม่โยกโย้ เอาหลานแม่รวีไปอ้างจนเขาเคืองบ้านเราไป ป่านนี้แกก็ไม่ต้องวุ่นวายจัดการเรื่องบ้านอยู่คนเดียว”
“ผมไม่ได้อ้าง”
“แกว่าอะไรนะ”
“ผมเอาจริง”
แม้น้ำเสียงของอิทธิจะเรียบเรื่อย แต่สีหน้าและท่าทางของเขาทำให้คนที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กๆ นั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาจริงจังขนาดไหน
“เอ๊ย! แกพูดอย่างนี้ เดี๋ยวแม่รวีก็มาถอนหงอกฉันพอดี ไหนตอนแรกบอกว่าขอแค่เอาชื่อหลานเขามาอ้าง เพราะไม่อยากแต่งกับลูกสาวคุณนทีไง”
“ผมสนใจหลานของป้ารวีจริงๆ แล้วมันเสียหายตรงไหน คนอย่างผมไม่ดียังไง ทำไมอาม่าถึงต้องตกใจด้วย”
“ไม่ดีตรงที่เขาไม่ได้ชอบแกน่ะสิ”
หญิงชราสวนกลับทันควัน เพราะรู้ดีถึงเหตุผลที่หลานชายยังยืนยันที่จะเกี่ยวข้องกับหลานสาวบ้านนั้น และมันก็เป็นเรื่องที่นางไม่เห็นด้วย
“อาม่าปล่อยเรื่องนี้ให้ผมจัดการแล้วกัน ผมคิดดีแล้ว รับรองว่าจะไม่ให้เสียหายมาถึงอากงกับอาม่าแน่นอน”
หญิงชรามองหลานชายอย่างไม่วางใจ เพราะเรื่องลูกสาวของนายนทีที่เป็นนักธุรกิจใหญ่และมีสายสัมพันธ์อันดีกับนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่นี้ก็ยังเคลียร์กันไม่เสร็จสิ้น พอวันนี้พ่อตัวดีก็ยืดอกบอกว่าจะเดินหน้าเรื่องของหลานสาวคุณรวี และจะไม่ให้กระทบมาถึงนาง...มันเชื่อได้แค่ไหน
ส่วนชายชราที่นั่งอยู่ข้างๆ ถอนสายตาจากสารคดีอาหารรสเลิศของจีนแผ่นดินใหญ่มามองหลานชายแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะเบนสายตากลับไป ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องของหนุ่มสาว ไม่ใช่กิจธุระของคนแก่อย่างตนจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ย่างเข้าวันที่สามที่สมาชิกใหม่ตัวสีเทาเข้ามาอยู่ร่วมบ้าน นอกจากอาหารเม็ดที่เจนนิสาเฟ้นหายี่ห้อดีที่สุดมาให้แล้ว ยังมีของใช้ส่วนตัวที่ทยอยเข้ามาอยู่ในบ้านทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อมาจากร้านสัตว์เลี้ยงในซอยถัดไป หรือแม้กระทั่งสั่งซื้อจากร้านออนไลน์ที่ส่งตรงมาจากกรุงเทพฯ
“เจ้าของแมวฝากแมวกับเราแค่สัปดาห์เดียว อีกไม่กี่วันเขาก็มารับคืนแล้ว เราจะขนซื้ออะไรเยอะแยะ พอแมวไม่อยู่ อาหารเม็ดพวกนี้เราไม่ต้องกินเองหรือยายเจน”
เสียงบ่นของป้ารวีลอยมาให้ได้ยิน จนคนที่นอนอยู่บนพื้นกลางโถงบ้านพลางเล่นลูกบอลกับเจ้าสี่ขาตัวกลมนั้นต้องเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนหล่อนจะโต้เสียงใส
“โธ่ป้า! เราก็ให้อาหารเม็ดไปกับเจ้าของเขาด้วยสิ นี่นะ เจนต้องซื้ออาหารเม็ดยี่ห้อนี้ให้หนุงหนิงกินเท่านั้น เพราะยี่ห้ออื่นมันเค็ม ถ้าหนุงหนิงกินเค็มเข้าไปมากๆ ก็จะเสี่ยงเป็นโรคไต”
“แล้วแมวฝรั่งพวกนี้มันกินอาหารเหมือนเราๆ ไม่ได้หรือไง”
“กินได้นั่นแหละ เจนก็ตั้งใจว่าถ้าหนุงหนิงโตกว่านี้ก็จะให้กินอาหารอื่นสลับด้วย แต่ตอนนี้ต้องให้อาหารเม็ดยี่ห้อนี้ไปก่อน เพื่อความมั่นใจว่าหนุงหนิงจะแข็งแรง ไม่ป่วยไข้ และขนไม่ร่วง”
คนเลี้ยงแมวมือใหม่พูดฉะฉานเหมือนหาข้อมูลมาอย่างดี ทว่าถ้อยคำหนึ่งทำให้คนฟังต้องนิ่วหน้า ‘ถ้าหนุงหนิงโตกว่านี้’ ชะรอยเจนนิสาจะลืมไปว่าหล่อนต้องคืนแมวเปอร์เซียหน้าตาบ้องแบ๊วนี้ให้เจ้าของ
หากหญิงวัยกลางคนไม่ทันได้ทักท้วง หลานสาวก็พูดออกมาเสียก่อน
“บ้านใหม่ของหนุงหนิงอยู่ใกล้แค่นี้เอง เจนตั้งใจว่าถึงเจ้าของรับกลับไปแล้ว แต่เจนก็จะติดตามให้มั่นใจว่าหนุงหนิงได้รับการดูแลอย่างดีและดูแลอย่างถูกวิธีด้วย เจนไม่ชอบเลยนะป้าที่เขาซื้อแมวมาเลี้ยงโดยที่รู้แก่ใจว่าตัวเองไม่พร้อม ถึงมีเหตุผลว่าซื้อมาให้เป็นเพื่อนกับเด็กที่บ้านเขาก็เถอะ แต่แมวก็มีชีวิตเหมือนกัน หนุงหนิงไม่ใช่ตุ๊กตา ก่อนจะพาหนุงหนิงมา เขาควรมั่นใจก่อนว่าพร้อมที่จะดูแลหนุงหนิง”
เจนนิสายังร่ายยาวอีกหลายคำดังเป็นวาระสำคัญระดับชาติ ส่วนป้ารวีถึงกับเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดว่าหลานสาวจะถือเป็นจริงเป็นจังกับแมวตัวนี้
หากนั่นทำให้ป้ารวีนึกไปถึงเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เจนนิสายังเป็นเด็กเล็กนัก เด็กชายคนนั้นที่นางคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีได้อุ้มสุนัขพันธุ์ไทยตัวสีน้ำตาล มีปากสีแดงอันเป็นลักษณะเด่นที่จดจำได้ เจ้าตัวมากดกริ่งประตูรั้วแล้วยื่นมันให้กับนางด้วยตัวเอง
‘ดินเอาไอ้ปากแดงมาให้น้องเจนครับ พอน้องหลิวไปโรงเรียน น้องเจนอยู่บ้านคนเดียวจะได้ไม่เหงา’
มันเป็นความบังเอิญที่น่าประหลาดใจ...ป้ารวีมองทั้งคนทั้งแมวที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น
เจนนิสาจะรู้ไหมว่าเจ้าของแมวเปอร์เซียตัวนี้เป็นคนเดียวกับคนที่เคยนำเจ้าปากแดงมาให้สมัยที่เจ้าตัวยังแทบจำความไม่ได้