1 เพื่อนบ้านคนใหม่ 2
ตุ๊กตากระต่ายน้อยตัวสีขาวอยู่ในอ้อมแขนของเด็กหญิงวัยสามขวบ ดวงตากลมบนใบหน้าจิ้มลิ้มเบิกโตขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของคนเป็นอาเดินเข้ามาในห้องที่เจ้าตัวนั่งอยู่ตามลำพังเป็นนานสองนาน เมื่อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น เด็กน้อยก็ก้มหน้างุดเสีย
อิทธินั่งคุกเข่าเบื้องหน้าหลานสาว เขายังคงรักษาระยะห่างเอาไว้เพื่อไม่ให้เด็กน้อยตื่นกลัวและตกใจ ภาพการพบเจอครั้งแรกนั้นยังติดอยู่ในใจของเขา หลานสาวมองเขาอย่างระแวง ไม่ยอมเข้ามาเฉียดใกล้ ได้แต่ซุกอยู่กับแม่ของตัวเอง
“ปันปันหิวหรือยังคะ เราออกไปกินข้าวข้างนอกกันดีไหม”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังตามมา ดวงตาคมของชายหนุ่มทอดมองหลานสาวอย่างใส่ใจ การที่จู่ๆ หนุ่มโสดที่ใช้ชีวิตโลดโผนอยู่ในต่างแดนนานเกือบสิบปีต้องกลับมาดูแลหลานสาววัยสามขวบนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่าย...ใครๆ ก็บอกว่าเขาไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่พอเห็นดวงตากลมที่ละม้ายพี่ชาย เขาก็ตัดใจจากแม่หนูไม่ได้
เด็กน้อยยังนั่งนิ่งเงียบ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ อิทธิจึงลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือไปหา เจ้าตัวจึงปรายตาขึ้นมามอง ชายหนุ่มยิ้มแล้วพยักหน้าทำท่าเชิญชวน
เขาไม่รู้หรอกว่าการจะเข้าหาเด็กผู้หญิงวัยนี้ต้องใช้วิธีไหน แต่คิดว่าหลานสาวโตพอที่จะรู้ความแล้ว เขาจึงเลือกที่จะสื่อสารด้วยคำพูดและบอกกล่าวกันตรงๆ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องสำคัญ เมื่อต้องพาเจ้าตัวเดินทางจากฮ่องกงเพื่อมาเมืองไทย โดยที่คนเป็นแม่ได้เดินทางมาส่งด้วย ก่อนเธอจะลากลับไปยังห้องพักที่โรงแรมใกล้กับสนามบินเพื่อรอเดินทางกลับฮ่องกงในวันรุ่งขึ้น แม้เห็นรอยอาลัยในแววตา แต่อิทธิก็สัมผัสได้ว่าเธอไม่มีความลังเล แม้แต่ความรู้สึกสักขณะจิตที่อยากรั้งลูกน้อยเอาไว้ในอ้อมอกก็ไม่มีให้เห็น
อิทธิได้คุยกับอัศนัยผู้เป็นพี่ชายถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เมื่อครั้งที่เจ้าตัวย้ายจากฮ่องกงเพื่อกลับไปเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยเก่าที่อเมริกา แล้วได้แวะไปหาเขาที่อยู่คนละรัฐ
ตอนนั้นนั่นแหละที่ทำให้อิทธิได้รู้เรื่องราวของพี่ชายหลังจากแยกห่างกันไปหลายปี
‘ฉันกับซินเวียร์เคยคิดถึงเรื่องแต่งงาน แต่พอเราอยู่ด้วยกันนานหลายปีเข้า ความรักมันก็เหือดแห้งลงทุกวัน จนวันนี้เราไม่เหลือแรงบันดาลใจที่สร้างครอบครัวด้วยกันอีก’
‘แล้วนายกับแฟนปล่อยให้เด็กเกิดมาทำไม’
‘เราไม่ตั้งใจให้เกิด’ พี่ชายของเขาถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อโดยไม่ยอมสบตาเขา ‘ตอนที่ซินเวียร์ท้อง เราก็ไม่ได้ตกใจ เราตั้งใจเลี้ยงดูปันปันอย่างดีที่สุด คิดแค่ว่าปันปันเกิดมาเร็วกว่าที่คิดก็ไม่เป็นไร แต่พอวันนี้มันไม่ใช่แล้ว หลายอย่างมันไม่เหมือนเดิม’
‘ลูกก็เลยกลายเป็นส่วนเกินของพ่อกับแม่ไปแล้วอย่างนั้นสิ’ อิทธิถอนหายใจอย่างปลงๆ แล้วถามต่อ ‘นายคิดจะทำยังไงต่อไป’
‘ฉันจะให้อาม่าช่วยเลี้ยงปันปัน’
‘ถ้านายยังจำได้ นายคงรู้ว่าปีนี้อาม่าอายุเจ็ดสิบแปดแล้ว’
‘จ้างคนดูแลเด็กไว้ให้สักคนก็คงไม่เป็นไร’
‘นายคิดง่ายดีนะ แล้วแม่ของเด็กล่ะ เธอจะยอมให้นายเอาลูกมาเลี้ยงเองหรือ’
‘ครอบครัวของซินเวียร์อยู่ที่เฉิงตู พวกเขายังไม่รู้เรื่องที่เราเคยคบกัน’
‘นายอย่าบอกนะว่าที่บ้านของซินเวียร์ไม่รู้ว่าพวกเขามีหลานเป็นตัวเป็นตนอยู่อีกทั้งคน’
อิทธิอุทานถามขึ้นอย่างประหลาดใจ อัศนัยปรายตามองน้องชายอย่างประเมินท่าที แล้วพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงตอบรับ
‘พวกนายทำอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้’
อิทธิครางในลำคอด้วยไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมาได้อีก
อัศนัยถือเป็นคนเก่ง ทำอะไรก็ได้ดังใจผู้ใหญ่ ผิดกับเขาที่ชอบทำตัวออกนอกลู่นอกทาง แม้แต่ตอนที่อากงและอาม่าส่งไปเรียนต่อที่อเมริกา พวกท่านยังย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าไปข้องแวะกับยาเสพติดหรือพวกอันธพาล ทั้งที่เขาไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับของพวกนี้เลยสักนิด แถมยังกำชับให้อัศนัยช่วยเป็นหูเป็นตาแทนอีกด้วย
อากงและอาม่าไว้ใจอัศนัยเสมอมา และเขาก็เช่นเดียวกันที่เชื่อมั่นในตัวพี่ชายคนเดียวมาตลอด เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น มันจึงทำให้เขารู้สึกช็อกอยู่ไม่น้อย
อิทธิจมกับความคิดนานเท่าไรก็ไม่รู้ พลันรู้สึกตัวเมื่อร่างจ้อยของหลานสาวลุกจากเก้าอี้แล้วมายืนใกล้ๆ แม่หนูกระตุกชายเสื้อของเขาพลางเงยหน้าขึ้นมอง
“อาดิน”
อิทธิกะพริบตาถี่แล้วยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาคมเจิดจ้า และท่าทางของเขาก็ทำให้เด็กน้อยสงสัย
“หนูเรียกอาใช่ไหมคะ” เจ้าของเสียงทุ้มห้าวพร่าถามขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่ปันปันเรียกเขาว่า ‘อาดิน’ แม้จะยังไม่ได้ยินคำพูดอื่น แต่นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับความเป็นอาหลาน
“ไป เราออกไปกินข้าวข้างนอกกัน อาเบื่อที่อยู่ในห้องพักโรงแรมเต็มทีแล้ว อาจะให้ปันปันเลือกร้านเอง ฉลองการมาอยู่เมืองไทยของเราทั้งสองคน แล้วช่วงบ่ายเราก็จะกลับบ้านเหล่ากงเหล่าม่าของปันปันที่นครปฐมด้วยกัน”
เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อทีเชิ้ตกับกางเกงยีนสีเข้มยื่นมือไปให้อีกรอบ เด็กน้อยลังเลอยู่ไม่กี่วินาที ก่อนจะยื่นมือมาจับเอาไว้ แล้วแย้มรอยยิ้ม
แม้ดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้นนั้นจะยังดูไม่สดใสนัก แต่ก็ทำให้หัวใจของอิทธิชุ่มชื่นขึ้นมาได้อีกมากโข
“บ้านจะสร้างเสร็จแล้วมั้ง ยังไม่เห็นเจ้าของบ้านมาดูบ้านสักที สงสัยคงรวยเอาการ ถึงได้มาสร้างบ้านทิ้งขว้างอยู่ข้างบ้านเรา”
เจนนิสาชะเง้อมองไปทางบ้านที่สร้างในที่ดินติดกัน ระยะทางก็ไม่ใกล้นักหรอก เพราะที่ดินแปลงนั้นกว้างเป็นสิบไร่ แถมตัวบ้านก็สร้างใกล้กับเขตที่ดินอีกฝั่ง
“เขามาแล้ว”
เสียงตอบนั้นทำให้คนที่กำลังอยากรู้ถึงกับหันขวับมามองด้วยความสงสัย...นับเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้
“ป้าหมายถึงเจ้าของบ้านหลังนั้นหรือคะ”
“ใช่ เขามาดูบ้านของเขา แล้วแวะมาที่บ้านเรา”
“แล้วทำไมเจนไม่เห็น”
เจนนิสาถามเสียงสูง ไม่เก็บอาการอยากรู้ไว้อีกแล้ว เพราะเหมือนว่าป้ากับเจ้าของบ้านหลังนั้นทำอะไรลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน หล่อนเป็นหลานสาวแท้ๆ ของป้าก็ควรได้รู้เรื่องทุกเรื่องด้วยสิ
“ก็เราทำงานอยู่ข้างบน แล้วยังบอกกับทุกคนไว้เองไม่ใช่หรือว่าห้ามใครรบกวน”
“แต่มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย”
เจนนิสาคราง ทำไมป้าไม่เข้าใจหล่อนเลย...สุดท้ายจึงต้องถามออกไปตรงๆ
“บ้านหลังนั้นเป็นของใครคะ เจนรู้จักหรือเปล่า”
“เราคงเคยเห็นหน้าเขาตั้งแต่ตอนเด็ก แต่ป้าก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะจำเขาได้ไหม”
“แสดงว่าเป็นคนบ้านเรา ไม่ใช่คนต่างถิ่น แต่คนแก่ๆ หน้าไม่ค่อยเปลี่ยนหรอก ทำไมเจนจะจำไม่ได้ แล้วเขาย้ายมาอยู่ตรงนี้ทั้งครอบครัวเลยหรือ ถูกหวยรางวัลใหญ่หรือไง จู่ๆ ถึงได้สร้างบ้านใหญ่โต”
“บ้านเดิมของเขาอยู่ในตัวเมือง คนในบ้านก็แก่มากแล้ว เขาอยากให้มาอยู่นอกเมืองที่อากาศดีๆ ไม่ต้องอุดอู้ในตึกแถว แล้วคราวนี้ยังมีเด็กตัวเล็กๆ ด้วย เลยตกลงใจมาซื้อที่ของเถ้าแก่เกี๊ยงแล้วสร้างบ้านไว้ตรงนั้น”
“อ๋อ! มีทั้งเด็กและคนแก่ บรรยากาศน่าจะครึกครื้น จะว่าไปก็ดีนะคะ ที่ดินตรงนั้นปล่อยทิ้งไว้นานแล้ว คราวนี้มีคนมาสร้างบ้านอยู่ บ้านหลังเดียวแต่ครอบคลุมพื้นที่ไปสิบไร่ ดีกว่าขายให้พวกสร้างหอพักหรือบ้านจัดสรร ไม่อย่างนั้นคงวุ่นวายแน่ๆ”
“สรุปว่าเราไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“ไม่มีค่ะ”
เจนนิสาตอบทันควัน พลันนึกได้ว่าการที่คนอื่นจะมาหรือไปก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหล่อน แล้วป้าจะถามความเห็นของหล่อนไปทำไม
หากพอจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อ เจนนิสาก็เห็นป้ารวีไปนั่งกำกับเด็กทำงานบ้านหั่นยอดมะพร้าวอ่อนเพื่อเตรียมไว้ทำกับข้าวมื้อเย็นนี้เสียแล้ว
หญิงสาวเบือนหน้าไปมองบ้านหลังนั้นอีกรอบ บ้านสองชั้นรูปทรงกึ่งตึกที่เห็นทำให้คิดไปว่าเจ้าของบ้านคงยังไม่แก่นัก เพราะรูปแบบบ้านทันสมัยอยู่ไม่น้อย อีกทั้งโทนสีบ้านยังเป็นสีส้ม...ไม่อยากบอกเลยว่าถูกใจหล่อนจริงๆ