1 เพื่อนบ้านคนใหม่
ที่ดินว่างทางด้านซ้ายกำลังมีการก่อสร้าง หลังจากที่ล้อมรั้วสังกะสีปิดเอาไว้เกือบปี เจนนิสาเคยเห็นรถขนดินวิ่งเข้าออกอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะหายเงียบไป กระทั่งเห็นคนงานเข้ามาทำงานเมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วตามด้วยเสียงเครื่องจักรใหญ่ดังให้ได้ยินตลอดสัปดาห์
“บ้านใครหรือพี่พุด ลูกเถ้าแก่เกี๊ยงคนไหนแต่งงานหรือ ถึงได้มาสร้างบ้านหลังใหญ่โตตรงนั้น”
เจนนิสาถอนสายตากลับมาแล้วถามคนทำงานบ้านซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลหล่อนกับพี่สาวตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเล็กๆ
“ลูกเถ้าแก่เกี๊ยงที่ไหนกันล่ะคะ ที่ดินแปลงนั้นเถ้าแก่ขายยกแปลงไปตั้งนานแล้ว”
“อ้าว! อย่างนั้นหรือ งั้นก็เป็นบ้านของเจ้าของใหม่ละสิ เจนมองจากชั้นบนบ้านเราเห็นเขาวางโครงสร้างบ้านไว้ใหญ่มาก แล้วอย่างนี้ไม่รู้ว่าจะสร้างนานหรือเปล่า”
เมื่อมองจากระยะไกลๆ ก็เห็นว่าบ้านหลังนั้นดูใหญ่โต ขนาดใหญ่กว่าบ้านของป้ารวีหลังนี้ที่หล่อนอาศัยมาตั้งแต่จำความได้เป็นเท่าตัวเลยกระมัง เจนนิสาไม่รู้ว่าเจ้าของใหม่เป็นใคร แต่หล่อนพอเดาได้ว่าเขาคงร่ำรวยน่าดู อย่างน้อยก็มีกำลังซื้อที่ดินแปลงใหญ่ที่มีพื้นที่กว่าสิบไร่ของเถ้าแก่เกี๊ยงมาได้ เพราะที่ดินแปลงนี้มีคนต้องการซื้อหลายรายแล้ว แต่สู้ราคาไม่ไหว เถ้าแก่เกี๊ยงเองก็ไม่ยอมแบ่งเป็นแปลงเล็กขายให้ใคร ด้วยเหตุผลง่ายๆ ตามประสาคนไม่รีบร้อนขายว่า...ยุ่งยาก!
“เขาบอกว่าสร้างไม่เกินสามเดือนก็เสร็จแล้วค่ะ”
“อะไรนะ! สามเดือนเลยหรือ แล้วอย่างนี้งานของเจนจะเสร็จได้ยังไง ถ้ามีเสียงดังรบกวนเข้ามาทุกวัน เจนทำงานไม่ได้หรอก”
เจนนิสาอุทานเสียงหลง มันน่าตกใจน้อยเสียเมื่อไร เมื่อคนจ้างงานชิ้นที่หล่อนกำลังจะเริ่มทำนั้นเป็นดีไซน์เนอร์ชื่อดังซึ่งสังกัดห้องเสื้อใหญ่อยู่ที่ฝรั่งเศส หล่อนอุตส่าห์แพ็กกระเป๋าไปพักร้อนที่รีสอร์ตบนเกาะพะงันนานกว่าสัปดาห์ เพราะต้องการให้สมองโล่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานชิ้นใหม่ แต่พอจะเริ่มทำงานจริงจัง กลับพบว่าบ้านที่แสนร่มรื่นและเงียบสงบซึ่งหล่อนใช้เป็นสถานที่ทำงานนั้นไม่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ผลงานเสียแล้ว
จนได้ยินเสียงของป้ารวีดังมาจากด้านหลัง หญิงสาวจึงหันไปมอง
“เสียงดังไม่นานหรอกยายเจน แค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้นแหละ ส่วนสามเดือนตามที่แม่พุดบอก เขาหมายถึงรวมงานตกแต่งบ้านไว้ด้วย”
“ทำไมป้ารู้เยอะจัง ป้าคุยกับเขามาแล้วหรือ”
“เขามาบอกเราแล้ว”
“อ้าว! แล้วทำไมป้าไม่บอกเจนด้วยล่ะ”
“ทำไมป้าต้องบอกเราด้วย มันสำคัญยังไง นั่นมันที่ดินของเขา และบ้านก็เป็นของเขา”
“แต่เสียงดังรบกวนมาถึงบ้านเรานี่คะ อย่างนี้ถือว่าไม่มีความเกรงใจกันเลย”
“เขาเลี่ยงได้ที่ไหนกันล่ะ เราก็อดทนหน่อยเถอะ ระหว่างนี้ก็เข้าไปทำงานในบ้าน ปิดห้องให้มิดชิด แล้วเปิดแอร์ทำงานไปสักระยะ”
“เจนไม่ชอบนี่นา อยู่ในบรรยากาศอย่างนั้น ไอเดียก็ไม่บรรเจิดกันพอดี และถ้าเจนทำงานในห้องมิดชิดได้ ป่านนี้เจนหนีป้าไปเช่าคอนโดอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้ว”
“ถ้าอยากไปนักก็ตามใจ”
“ป้างอนเจนอีกแล้ว เจนก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เจนไม่ไปไหนหรอก เจนจะอยู่กับป้าจนเบื่อหน้ากันไปเลย”
เจนนิสาปราดไปสวมกอดป้าแล้วซบหน้าลงกับไหล่บางนั้นไว้นิ่งนาน ก่อนจะรำพันออกมา
“มีแต่ป้าเท่านั้นแหละที่ขยันไล่เจนออกจากบ้านอยู่เรื่อย”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เสียงของเจนนิสาก็เครือขึ้นจมูก ดวงหน้านวลงอง้ำด้วยรู้สึกน้อยใจขึ้นมาแทน
ป้ารวีเหลือบมองเสี้ยวหน้าหลานสาวคนเล็กที่ซบอยู่กับไหล่ของตน แล้วลอบถอนหายใจ สายตาอ่อนโยนคู่นั้นปรายไปทางบ้านที่กำลังสร้าง แล้วพูดขึ้นเบาๆ
“จำไว้นะยายเจน การให้เราอยู่ห่างจากบ้าน นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ป้าจะทำ”
กำหนดส่งงานชิ้นใหม่จะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า ทำให้เจนนิสาไม่อาจรอให้บ้านหลังนั้นสร้างเสร็จได้ การขนอุปกรณ์ทำงานที่วางซุกอยู่ตรงมุมโถงบ้านชั้นล่างให้เข้าไปอยู่ในห้องทำงานบนชั้นสองทางปีกขวาจึงเป็นทางเลือกที่เจนนิสาจำต้องยอมรับ
“คอยดูนะ ถ้างานชิ้นนี้ไม่ถูกใจคนจ้างจนถูกเขาตีกลับ ฉันจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียเวลาจากเจ้าของบ้านหลังนั้นเสียให้เข็ด”
เจนนิสาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ความคิดยังติดพันอยู่กับคนต้นเหตุที่ทำให้การทำงานต้องเจอกับอุปสรรค...ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดีอยู่แล้ว
หากคนที่หอบข้าวของเต็มสองมือเดินตามหลังมาติดๆ นั้นถึงกับเบิกตาโต แล้วอุทานถามอย่างตื่นเต้น
“อุ๊ย! หนูเพิ่งรู้ว่าเราเรียกเงินได้ด้วย แล้วอย่างตอนเช้าหนูได้ยินเสียงตอกอะไรไม่รู้ดังตึงๆ มันรบกวนหนูเวลาล้างจานอยู่ในครัวมากเลยค่ะ หนูเรียกเงินจากเขาด้วยได้ไหมคะ”
“มะเหงกสิ! ทีเรื่องอย่างนี้สามัคคีกันหัวหมอดีนักนะ”
ป้ารวีที่ตามขึ้นมาดูแลความเรียบร้อยทันได้ยินเสียงทั้งสองคนคุยกัน นางถึงกับอดใจไว้ไม่ไหวจึงต้องออกปากปราม หากสิ่งที่นางทำลงไปนั้นกลับสร้างความหมั่นไส้ให้กับหลานสาวยิ่งกว่าเดิม
“ทำไมป้าต้องปกป้องเขาด้วย นี่เจนเป็นหลานสาวของป้านะ หลานแท้ๆ ด้วย แต่ทำไมป้าไม่เคยเข้าข้างกันเลย ส่วนเจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นใครก็ไม่รู้”
เจนนิสาพ้อเสียงดัง ก่อนจะเบิกตาโตแล้วกะพริบถี่เมื่อความคิดบางอย่างจุดประกายขึ้นมา
“เอ๊ะ! หรือว่าเขาให้เงินใต้โต๊ะป้ามาแล้ว ไหนป้าเอามาแบ่งเจนด้วยสิ อย่าเก็บไว้คนเดียว”
ไม่พูดเปล่า แต่หลานสาวคนสวยกลับพุ่งไปกอดรัดป้าอย่างต้องการแกล้ง ทำทีค้นหาสิ่งที่อาจถูกซ่อนเอาไว้ จนหญิงวัยกลางคนต้องออกแรงยันหวังให้ออกห่าง ซึ่งกว่าจะทำได้สำเร็จก็เล่นเอาหายใจหอบ แต่ยังไม่วายบ่นทิ้งท้าย
“ป้าปวดหัวกับคำพูดคำจาของเราจริงๆ เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาว จนออกเหย้าออกเรือนได้แล้วก็ยังไม่เปลี่ยน”
“ป้า! อย่าพูดคำนี้อีกนะ ไม่งั้นเจนโกรธจริงๆ ด้วย”
เจนนิสามองตาคว่ำ ป้าจะบ่นว่าหล่อนอย่างไรก็ได้ แต่ขอเถอะ...อย่าได้เฉียดใกล้คำคำนี้เลย เพราะมันทำให้เจนนิสาต้องนึกไปถึงนายอิทธิพลคนอันธพาลคนนั้น แล้วพานให้รู้สึกหลอน
“เอาน่ะ ป้าแค่พูดเปรียบเปรยว่าเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะให้เราแต่งงานสักหน่อย”
แม้ป้ารวีจะยอมลงให้ก่อน แต่ดูว่าถ้อยคำที่หลุดออกไปนั้นแทงใจหลานสาวนักเทียว เจ้าหล่อนยังตีหน้างอง้ำ แล้วก้มหน้าก้มตาจัดโต๊ะและอุปกรณ์ทำงานโดยไม่พูดเล่นกับใครอีก