บทที่ 5
บทที่ 3
เสียงของกัปตันเครื่องบิน ซึ่งประกาศให้ผู้โดยสารบนเครื่องบินทราบว่า กำลังจะทำการลงจอดในสนามบินทบิลิซี (Tbilisi) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ ประเทศจอร์เจีย (Georgia) ในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้ ทำเอาแสนขวัญหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น
มือเล็กเกิดอาการสั่นเทาเล็กน้อย คว้ากล้องถ่ายรูปที่วางไว้บนหน้าตักมาเปิดดูภาพอันเป็นปริศนานับเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้ว ตั้งแต่ออกเดินทางจากประเทศไทยกระทั่งกำลังจะถึงประเทศจอร์เจีย แทบทนรอเวลาให้เครื่องบินลงแตะกับรันเวย์ไม่ไหว
แค่เพียงหนึ่งชั่วโมงช่างดูเนิ่นนานซะเหลือเกิน แต่...ในที่สุด กัปตันก็นำเครื่องบินแอร์บัสลงจอดบนรันเวย์สนามบินทบิลิซี
ก้าวแรกที่ได้เหยียบลงบนแผ่นดินประเทศจอร์เจีย แสนขวัญคลี่ยิ้มกว้างกวาดสายตามองไปรอบๆ มีความรู้สึกราวกับได้กลับมายังบ้านเกิดหลังที่สองของตนเองก็ไม่ปาน...
เมื่อเข้ามาในตัวอาคารสนามบิน แสนขวัญหยุดยืนบนป้ายที่เขียนต้อนรับการมาเยือนยังเมืองทบิลิซี ซึ่งป้ายดั่งกล่าวได้เขียนไว้บนพื้นว่า
Tbilisi the city that loves you
“ทบิลิซีเมืองที่รักคุณ”
แสนขวัญแปลความหมายของป้ายที่เขียนต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ที่ได้เดินทางมาเยือนยังประเทศจอร์เจีย ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีเทือกเขาคอเคซัสสวยงามที่สุด และเป็นหนึ่งในเส้นทางรอยไหมในอดีตกาล
“ฉันก็รักที่นี่...ทบิลิซี”
เจ้าของรอยยิ้มหวานเอ่ยพึมพำอยู่เพียงลำพัง ใช่! เธอรักประเทศจอร์เจียไม่ต่างจากรักประเทศไทยอันเป็นบ้านเกิด หัวใจดวงน้อยพร่ำบอกกับผู้เป็นเจ้าของว่า เธอได้ฝากหัวใจไว้ให้กับใครสักคนในแผ่นดินแห่งนี้
แสนขวัญยืนมองป้ายต้อนรับอยู่อีกชั่วครู่ ก่อนจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และไปรับกระเป๋าเดินทาง หญิงสาวไม่ได้ติดต่อให้โรงแรมในเมืองทบิลิซีส่งพนักงานมารับ จึงต้องออกมาเรียกรถแท็กซี่ ซึ่งคอยบริการนักท่องเที่ยวอยู่ด้านนอกอาคารสนามบิน
และขณะกำลังลากกระเป๋าเดินทางเดินออกจากตัวอาคาร ก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง นึกอยู่ในใจว่าตัวเองหูฝาดไปหรืออย่างไรกัน เมื่อได้เสียงเรียกชื่อของตนเองดังแว่วมา
“แสน”
ผู้เป็นเจ้าของชื่อ หยุดชะงักฝีเท้าอยู่กับที่ แต่ไม่ได้หันไปมองข้างหลังตามที่มาของเสียงเรียก เพราะคิดว่าตนเองหูฝาดไป ใครจะรู้จักเธอ และมาเรียกเธอถึงประเทศจอร์เจีย จึงไม่สนใจและก้าวเดินต่อ
ทว่า...เท้าเล็กก้าวได้ไม่ถึงสองก้าว คราวนี้ต้องสะดุ้ง เมื่อมีมือมาแตะตรงต้นแขนรั้งไว้พร้อมกับเอ่ยเรียกซ้ำด้วยชื่อเต็มของเธอ
“แสนขวัญ!”
คราวนี้แสนขวัญหันไปมองคนที่รั้งตัวเธอไว้และเป็นเจ้าของน้ำเสียงที่เค้นเรียกเธอ พอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
“เนตรทราย”
“ใช่แล้วจ้ะ เนตรเอง”
เนตรทรายรับคำ หยุดยืนหายใจหอบเหนื่อยกับการเดินเร็วๆ เกือบเป็นวิ่งเพื่อตามแสนขวัญให้ทัน
“เนตรมาประเทศจอร์เจียได้ยังไง”
ทั้งสงสัยทั้งตกใจ เพราะเนตรทรายเป็นคนสุดท้ายที่แสนขวัญคิดว่าจะได้เห็นที่นี่ และจู่ๆ อีกฝ่ายก็โผล่มายืนอยู่ตรงหน้า จึงอดแปลกใจไม่ได้
“ก่อนจะตอบคำถามของแสน เนตรขอต่อว่าแสนก่อนได้ไหม”
เนตรทรายถามติดเสียงแข็ง ทำเอาแสนขวัญต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง ย้อนถามกลับคืน
“เนตรจะต่อว่าแสนเรื่องอะไรกัน”
“ก็จะเรื่องอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่แสนหนีมาประเทศจอร์เจียคนเดียวโดยไม่บอกเนตรเลย ไม่รู้หรือยังไงว่าตัวเองยังไม่หายดี เดินทางไกลคนเดียวได้ยังไง ทั้งขวัญ ทั้งเนตรเป็นห่วงแสนมากนะ จะบอกเนตรสักคำก็ไม่มี...”
เนตรทรายต่อว่าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ แถมน้ำเสียงในตอนท้ายติดสั่นเครืออย่างหักห้ามไว้ไม่อยู่ จนต้องเบือนหน้าหนี เพราะไม่อยากให้เพื่อนเห็นน้ำตาของตนเอง
“ที่แสนไม่ได้บอก เพราะแสนไม่อยากรบกวนเนตร แสนรู้ว่าเนตรมีงานรัดตัว หากจะให้เนตรเดินทางมากับแสนด้วยคงเป็นการรบกวนเกินไป”
แสนขวัญแก้ต่างให้กับตัวเอง จะให้เนตรทรายซึ่งเป็นนักธุรกิจสาวไฟแรง มีงานกองอยู่เต็มโต๊ะ ทิ้งงานเพื่อมาตะลอนๆ ไปทั่วประเทศจอร์เจีย เพื่อค้นหาผู้ชายเพียงคนเดียวกับเธอ คงเป็นไปไม่ได้ หญิงสาวไม่กล้ารบกวนเนตรทรายถึงเพียงนั้น
แต่...เนตรทรายกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น “จะมีงานรัดตัวแค่ไหน เนตรก็มาเป็นเพื่อนแสนได้ งานไม่สำคัญเท่ากับแสน คนที่เป็นเพื่อนรัก เพื่อนตายของเนตรหรอก”
ได้ยินเช่นนั้นแสนขวัญถึงกับหน้าสลด รู้สึกผิดอยู่มากจนต้องออกปากเอ่ยขอโทษเพื่อน
“แสนขอโทษด้วยนะเนตร ว่าแต่เนตรรู้ได้ยังไงว่าแสนมาประเทศจอร์เจีย”
เนตรทรายมีสีหน้าดีขึ้นหลังจากได้ยินคำขอโทษที่หลุดออกมาจากปากของแสนขวัญ ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของอีกฝ่าย
“เนตรโทรไปหาข้าว...ข้าวบอกว่าเพิ่งกลับจากสนามบิน ไปส่งแสนขึ้นเครื่องมาประเทศจอร์เจีย ข้าวเป็นห่วงแสนมาก ก็เลยขอร้องให้เนตรมาจอร์เจียด้วย”
“โธ่...ยายข้าวนะยายข้าว ไม่น่าไปรบกวนเนตรเลย”