บทที่ 4
ในตอนสายของวันต่อมา...ขวัญข้าวต้องหน้าตาตื่นเพราะความตกใจ เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้วไม่เห็นพี่สาวในห้องนอน แถมที่นอนข้างๆ ตนเองก็ราบเรียบ บ่งบอกให้รู้ว่าพี่สาวไม่ได้เข้ามานอนเลยทั้งคืน
“พี่แสนหายไปไหน”
ขวัญข้าวรีบวิ่งออกจากห้องนอน ตรงไปยังห้องนั่งเล่น พอเห็นพี่สาวนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิมตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เพราะตอนตื่นนอนแล้วไม่เห็นพี่สาว เธอนึกหวาดกลัวไปซะทุกอย่าง
“พี่แสน...ทำไมไม่ไปนอนคะ อย่าบอกนะว่านั่งดูรูปถ่ายทั้งคืนเลย”
“ฮื้อ...ใช่จ้ะ...”
แสนขวัญรับคำในลำคอ ขณะมองตามร่างบางของน้องสาวที่ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับเธอ จากนั้นก็ยื่นกล้องถ่ายรูปให้ขวัญข้าวได้ดูภาพอันเป็นปริศนาด้วย
“ข้าว...ดูนี่สิ พี่ถ่ายรูปกับใครก็ไม่รู้”
ขวัญข้าวรับกล้องถ่ายรูปมาถือไว้ เพ่งสายตามองไปยังภาพที่ว่า ซึ่งแน่นอนว่าผู้หญิงที่นั่งซบหน้าอยู่กับไหล่กว้างของใครบางคนนั้น เป็นพี่สาวของเธอเอง
“พี่แสนนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินกับใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งข้าวเดาว่าผู้ชายคนนี้ต้องเป็นคนพิเศษ เป็นคนรักของพี่แสนอย่างแน่นอน”
แสนขวัญพยักหน้ารับ เธอคิดเช่นนี้มาทั้งคืน “เสียดายนะข้าว ที่ไม่เห็นใบหน้าของเขา ไม่เช่นนั้นคงทำให้พี่ตามหาเขาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม”
“ไม่มีรูปอื่นๆ ของเขา ที่เห็นใบหน้าเลยหรือคะ” ขณะเอ่ยถามพี่สาว ขวัญข้าวก็กดเลื่อนดูภาพถ่ายในกล้องถ่ายรูปไปด้วย
“ไม่มีเลยจ้ะ มีภาพนี้ภาพเดียวเท่านั้น” แสนขวัญตอบเสียงเศร้า
“น่าแปลกนะคะ ถ้าหากพี่กับเขาเป็นคนรักกัน ทำไมถึงได้ถ่ายรูปด้วยกันแค่รูปเดียว”
ขวัญข้าวตั้งคำถามให้ผู้เป็นพี่สาวต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน
“นั่นนะสิ พี่ก็คิดเรื่องนี้มาทั้งคืน พี่เปิดดูรูปถ่ายทั้งหมดในกล้องแล้ว ไม่มีรูปอื่นนอกจากรูปนี้อีกเลย”
“เป็นไปได้ยังไง” ขวัญข้าวพึมพำ ก่อนจะเกิดคำถามขึ้นมา “หรือว่า...เขาไม่ค่อยชอบถ่ายรูปสักเท่าไร ก็เลยถ่ายกับพี่แสนแค่รูปเดียวเท่านั้น”
“พี่ไม่รู้เหมือนกัน ข้าว พี่จำเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ไม่ได้...”
ขวัญข้าวมองภาพถ่ายอีกครั้ง ขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง พลางวิเคราะห์ว่า “ดูเหมือนว่าพี่แสนกับเขาจะนั่งอยู่ในศาลาริมหน้าผานะคะ และอาจเป็นศาลาริมหน้าผาในร้านอาหาร ในสวนสาธารณะ หรือไม่ก็ในบ้านของเขา”
“พี่ก็คิดเหมือนข้าว และพี่จะไปค้นหาคำตอบให้กับตัวเองให้ได้”
แสนขวัญบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เธอนั่งพิจารณารายละเอียดของภาพนี้ทั้งคืน ศาลาริมหน้าผากับทิวทัศน์อันงดงาม อยู่บนส่วนใดของแผนที่ในแผ่นดินประเทศจอร์เจีย ซึ่งเธอจะไปค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง
และคำพูดของผู้เป็นพี่ ทำเอาขวัญข้าวต้องขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง “พี่แสนกำลังจะบอกว่า จะไปตามหาผู้ชายคนนี้หรือคะ”
“ใช่” แสนขวัญพยักหน้ารับคำ หลุบสายตามองภาพถ่ายปริศนาดั่งกล่าว แล้วย้ำความคิดของตนเองว่า “พี่จะไปตามหาเขา และจะไปคนเดียวด้วย”
“ไม่ได้นะคะ พี่แสนยังไม่หายดี อีกอย่างพี่แสนเอ่อ...ความจำเสื่อมด้วย พี่แสนจะไปคนเดียวได้ยังไง” ขวัญข้าวเอะอะโวยวาย
“ข้าว...ตอนนี้ร่างกายของพี่หายดีแล้ว คงเหลือแค่ความจำเท่านั้นที่ยังไม่กลับมา ซึ่งพี่มั่นใจว่ามันคงไม่เป็นอุปสรรคหากพี่จะเดินทางคนเดียว”
แสนขวัญพยายามหว่านล้อมน้องสาว และไม่ว่าขวัญข้าวจะเห็นดีด้วยหรือไม่ เธอก็จะไปตามหาชายผู้เป็นปริศนาคนนี้ให้ได้
“ไม่ค่ะ ยังไงๆ ข้าวก็ไม่ให้พี่ไปคนเดียว ข้าวจะลาพักร้อนไปกับพี่แสนด้วย” ขวัญข้าวยืนกรานเสียงแข็ง ไม่ยอมให้พี่สาวทำตามความต้องการของตัวเองได้ง่ายๆ
“คงไม่ทันแล้ว ข้าว”
แสนขวัญเอ่ยบอกสั้นๆ ทำเอาขวัญข้าวต้องหรี่ตามองเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก
“มะ...หมายความว่ายังไงคะ”
“พี่จองตั๋วเครื่องบินแล้ว และจะเดินทางในอีกสองวันข้างหน้านี้ด้วย”
“ฮ้า!” ขวัญข้าวเบิกตาโพลงร้องเสียงหลง “ทำไมถึงรวดเร็วปานสายฟ้าแลบล่ะคะ”
“พี่ใจร้อน” แสนขวัญยอมรับตรงๆ “พี่อยากเดินทางวันนี้ พรุ่งนี้ด้วยซ้ำไป แต่ไม่มีตั๋วเครื่องบินเหลือแม้แต่ที่นั่งเดียว ไม่เช่นนั้นพี่คงเดินทางไปประเทศจอร์เจียแล้ว”
“โอ๊ย...ข้าวจะเป็นลม” ผู้เป็นน้องสาวถึงกับทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ขณะร้องโอดครวญออกมา “ข้าวจะให้พี่แสนไปคนเดียวได้ยังไงกันคะ”
“ต้องได้สิ ข้าว” แสนขวัญจับมือของน้องสาวมากุมไว้ จ้องมองเขม็งขณะเอ่ยหว่านล้อมต่อ “เชื่อใจพี่ ว่าพี่ต้องไปคนเดียวได้”
ขวัญข้าวพยักหน้ารับ แล้วบ่นอุบ “ถ้าพี่เนตรไม่ติดงาน ไปกับพี่แสนได้ก็ดีสิ ข้าวจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงพี่แสนมากจนเกินไป”
“อย่าไปรบกวนเนตรเลย พี่อาจไปนานสองหรือสามสัปดาห์หรืออาจจะเป็นเดือน กว่าพี่จะตามหาผู้ชายคนนี้พบ หากให้เนตรต้องลางานนานขนาดนั้น จะเป็นการรบกวนเธอมากเกินไป”
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเนิ่นนานกี่วัน กี่สัปดาห์สำหรับการเดินทางค้นหาคำตอบให้กับตนเอง ฉะนั้นการไปลำพังเพียงคนเดียวคงเป็นการดีที่สุด
“พี่แสนจะไปให้ได้จริงๆ หรือคะ”
ขวัญข้าวย้ำในคำถาม อยากให้พี่สาวเปลี่ยนความคิดซะเหลือเกิน แต่นาทีนี้คงไม่มีอะไรมาฉุดรั้งพี่สาวของเธอเอาไว้ได้
แสนขวัญพยักหน้ารับคำ เอ่ยตอบเสียงหนักแน่น “ใช่แล้วข้าว พี่จะไปหาคำตอบในเรื่องนี้ให้ได้ ข้าวเป็นคนบอกพี่เอง ว่าการได้เห็นสถานที่ต่างๆ ที่พี่เคยไปมา อาจเป็นการช่วยฟื้นความจำของพี่ให้กลับคืนมา พี่กำลังจะทำตามคำแนะนำของข้าวยังไงล่ะจ้ะ”
เจอเหตุผลนี้เข้า ขวัญข้าวจึงได้แต่ถอนหายใจลึกอย่างยอมจำนน จำต้องปล่อยให้พี่สาวเดินทางไปต่างประเทศเพียงลำพัง
“ก็ได้ค่ะ ข้าวจะไม่ห้ามพี่แสนแล้ว ว่าแต่พี่แสนจะไปประเทศไหนคะ เพราะทริปที่ผ่านมาพี่แสนไปตั้งหลายประเทศ”
แสนขวัญหลุบสายตามองภาพถ่ายอีกครั้ง พลางเงยหน้าขึ้นบอกกับน้องสาวว่า
“พี่นั่งมองพระอาทิตย์ตกดิน ท่ามกลางภูเขาลูกใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยหิมะปกคลุมจนขาวโพลน เพราะฉะนั้นพี่จะไปที่นี่ ประเทศจอร์เจีย”
“ประเทศจอร์เจีย” ขวัญข้าวทวนคำ ก่อนจะขอคำมั่นสัญญาจากอีกฝ่าย “พี่แสนต้องโทร.วีดีโอคอลมาหาข้าวทุกวันนะคะ”
“พี่สัญญาจ้ะ” แสนขวัญคลี่ยิ้มกว้างรีบรับคำในทันที พลางผุดขึ้นยืนขณะเอ่ยบอกต่อ “ถ้ายังงั้นพี่ขอไปจัดกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางก่อนนะ”
“ให้ข้าวไปช่วยจัดกระเป๋าไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ เดี๋ยวพี่จัดเอง พี่คงไม่ได้เอาอะไรไปมาก เสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับเสื้อกันหนาว และผ้าพันคอที่พี่รักที่สุด พี่จะเอาติดตัวไปด้วย”
แสนขวัญนึกถึงผ้าพันคอสีชมพูหวานเนื้อดี ซึ่งไม่รู้ว่าตนเองซื้อจากประเทศไหน แต่กลับรักและหวงแหนผ้าพันคอผืนนี้เหลือเกิน
“ถ้ายังงั้นก็ได้ค่ะ” ขวัญข้าวพยักหน้ารับ พอพี่สาวก้าวเดินไปได้สองสามก้าว ก็ไม่ลืมเอ่ยเตือนด้วยว่า “พี่แสนอย่าลืมพักผ่อนนะคะ ข้าวรู้นะว่าพี่แสนยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน”
แสนขวัญหันมาแย้มยิ้มให้กับคำเตือนระคนเป็นห่วงจากน้องสาวเพียงคนเดียวของเธอ
“จ้ะ จัดกระเป๋าเสร็จแล้วพี่จะเข้านอนนะ”
เจ้าของร่างบอบบาง หมุนตัวกลับเดินตรงไปยังห้องนอน มือเล็กจับยึดกล้องถ่ายภาพไว้มั่น มีความหวังขึ้นมาบ้างว่า การเดินทางในครั้งนี้จะช่วยคลี่คลาย และอาจทำให้เธอรู้ว่าใครกัน? ที่เป็นเจ้าของต้นแขนอันแข็งแกร่งที่โอบกอดเธอไว้ และใครกัน? ที่เป็นเจ้าของน้ำเสียงที่เอ่ยบอกรัก และขับไสไล่ส่งเธอในคราวเดียวกัน!