บทที่ 5 (2)
แสนขวัญอดตำหนิน้องสาวไม่ได้ ซึ่งเธอเองก็ผิด ที่ดันลืมกำชับน้องสาวไม่ให้บอกเรื่องนี้กับเนตรทราย
แต่เนตรทรายก็รีบปกป้องขวัญข้าวในทันที “อย่าไปต่อว่าน้องเลย ข้าวเป็นห่วงแสนมาก ในตอนแรกข้าวก็ค้านไม่ให้เราตามมา แต่เราดื้อตามมาเอง เพราะเราเป็นห่วงแสน เรารีบซื้อตั๋วเครื่องบิน เลือกเที่ยวบินที่จะมาถึงประเทศจอร์เจียให้ใกล้กับเที่ยวบินของแสนให้ได้มากที่สุด เพราะเรากลัวคลาดกันกับแสนแล้วตามหาแสนไม่เจอ ดีนะที่เที่ยวบินของแสนดีเลย์ไปหนึ่งชั่วโมง เนตรก็เลยบินมาถึงในเวลาใกล้ๆ กับแสน”
แสนขวัญตื้นตันใจคว้ามือเล็กของเนตรทรายมากุมไว้ ไม่นึกว่าเพื่อนคนนี้จะเป็นห่วงเธอมากกระทั่งยอมทิ้งงาน เพื่อตามมาดูแลเธอถึงประเทศจอร์เจีย
“ขอบใจเนตรมากเลยนะ ที่ยอมเสียเวลาและทำเพื่อเรามากถึงเพียงนี้ เนตรเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเหมือนข้าวพูดไว้ไม่มีผิด”
คราวนี้เนตรทรายแย้มยิ้มออกมาได้กับคำชม ก่อนจะสัพยอกกลับคืนบ้าง
“โธ่...เล่นชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้ เนตรก็ตัวลอยสิ”
“ก็เนตรเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ นี่” แสนขวัญเอ่ยชมไม่มีหยุดปาก
“พอแล้วๆ เลิกชมได้แล้ว ก่อนเนตรจะตัวลอยไปมากกว่านี้” เนตรทรายร้องห้าม พลางเอ่ยถามเพื่อให้คลายความสงสัยของตนเอง
“ว่าแต่แสนเถอะ นึกยังไงถึงได้มาประเทศจอร์เจีย”
แทนที่จะตอบคำถามของเพื่อน แสนขวัญหยิบกล้องถ่ายรูปมายื่นให้เนตรทรายดู พร้อมกับเอ่ยบอกถึงสาเหตุของการตัดสินใจออกเดินทางไกลข้ามทวีปในครั้งนี้
“เนตรดูรูปนี้สิ เราถ่ายรูปกับผู้ชายคนนี้ด้วยท่าทีเอ่อ...สนิทสนม เราคิดว่าผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นคนพิเศษหรือเป็นคนรักของเราก็ได้”
เนตรทรายรับกล้องถ่ายรูปมาดูภาพดั่งกล่าวแล้วเป็นฝ่ายเอ่ยถามกลับคืนบ้าง
“แสนก็เลยมาประเทศจอร์เจียเพื่อตามหาผู้ชายคนนี้ ทั้งๆ ไม่รู้ว่าเขาคือใคร ชื่ออะไร อยู่เมืองไหนของประเทศจอร์เจีย และที่สำคัญเราไม่เห็นแม้กระทั่งใบหน้าของเขา เหมือนกำลังงมเข็มในมหาสมุทรเลยนะแสน”
“เรารู้” แสนขวัญรับคำเสียงแผ่วเบา สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “ความหวังของเรามีเท่ากับศูนย์ ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะตามหาผู้ชายคนนี้พบไหม แต่เราก็จะใช้ความพยายามให้ถึงที่สุด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นคนช่วยให้ความทรงจำเก่าๆ ของเรากลับคืนมาก็ได้”
“เฮ้อ...ต้องใช้เวลากี่วัน กี่สัปดาห์ หรือกี่เดือนถึงจะตามหาเขาพบ”
เนตรทรายอดบ่นออกมาไม่ได้ พอเห็นแสนขวัญทำตาแดงๆ เหมือนกำลังจะร้องไห้ ก็รีบเอ่ยขอโทษในทันที
“เนตรขอโทษ เนตรไม่ได้ตั้งใจพูดให้แสนเสียกำลังใจ”
แสนขวัญกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำตาให้ไหลย้อนกลับ กระนั้นน้ำเสียงที่เอ่ยตอบออกมายังคงติดสั่นเครืออยู่บ้าง
“แม้ต้องใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี เราก็จะตามหาเขาให้พบ เพราะเขาเป็นความหวังเดียวของเรา...เราอยากหลุดพ้นจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเราในทุกค่ำคืน เราอยากกลับไปมีชีวิตเหมือนเดิม เนตรต้องช่วยเราตามหาเขานะ เราขอร้อง...”
เนตรทรายพยักหน้ารับกับคำขอร้องของเพื่อนรัก “จ้ะ...เนตรสัญญาว่าจะช่วยแสนตามหาเขาเอง เราจะตามหาเขาจนพบให้ได้”
“ขอบใจเนตรมากนะ”
แสนขวัญมีสีหน้าดีขึ้น และพอนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็รีบเอ่ยถามเพื่อนในทันที
“จริงสิเนตร เราสองคนมาเที่ยวในประเทศจอร์เจียด้วยกัน เนตรน่าจะรู้ว่าเราคบกับใครอยู่ เนตรพอจะจำได้ไหมว่าผู้ชายคนนี้คือใคร แล้วเนตรเป็นคนถ่ายรูปนี้ให้เราหรือเปล่า”
เนตรทรายส่ายหน้ากับคำถามเหล่านี้ พลางเอ่ยตอบให้แสนขวัญต้องถอนหายใจยาวด้วยความเสียดาย
“พวกเรามาเที่ยวด้วยกันก็จริง แต่เนตรสารภาพตรงๆ ว่าพอมาถึงประเทศจอร์เจีย เนตรเจอคนที่ถูกใจคนหนึ่ง เนตรกับแสนก็เลยแยกกันเที่ยว แสนไปเที่ยวทั่วประเทศจอร์เจียคนเดียว
ส่วนเนตรก็ไปกับคนรู้ใจ โดยเราสองคนตกลงกันว่าจะมาเจอกันอีกทีที่สนามบินในวันเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งเนตรไม่รู้เลยว่าระหว่างนั้น แสนไปเจอกับใคร และถ่ายรูปคู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อไร เนตรขอโทษด้วยนะ ที่ทิ้งแสนไปในช่วงนั้น”
พอเห็นเนตรทรายตีสีหน้าเศร้าๆ แสนขวัญก็รับจับมืออีกฝ่ายมากุมไว้แล้วบีบเบาๆ ด้วย
“อย่าโทษตัวเองสิ โอกาสที่จะเจอคนดีๆ ใช่ว่าจะมีง่ายๆ เราเข้าใจเนตรจ้ะ”
“ขอบใจแสนนะ ที่ไม่โกรธเรา” เนตรทรายคลี่ยิ้มออกมาได้อย่างโล่งอก ที่แสนขวัญไม่มีท่าทีโกรธตนเอง
“ไม่โกรธหรอกจ้ะ”
แสนขวัญคลี่ยิ้มให้เพื่อนรักอีกครั้ง และเมื่อเห็นว่าพวกตนยืนคุยกันอยู่ภายในสนามบินนานแล้ว อีกทั้งยังอยากไปพักผ่อนในโรงแรมหลังจากเดินทางไกลนับสิบๆ ชั่วโมง จึงเอ่ยบอกเนตรทรายว่า
“เราไปคุยกันต่อในโรงแรมนะ ตอนนี้แสนอยากนอนสักงีบให้หายเหนื่อย”
“จ้ะ แสน เนตรก็อยากไปนอนสักสองสามชั่วโมงเหมือนกัน” เนตรทรายรับคำ พลางยื่นมือมาข้างหน้าให้แสนขวัญจับยึดไว้
“ไปกันเถอะ แสน”
แสนขวัญยิ้มกว้างยื่นมือเล็กไปจับกุมมือเนตรทรายไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ลากกระเป๋าเดินทางก้าวเดินออกจากอาคารสนามบิน
เมื่อออกพ้นจากอาคารสนามบิน อากาศในรุ่งเช้าซึ่งค่อนข้างหนาวเย็นทำเอาแสนขวัญต้องห่อไหล่ หนาวสั่นกับลมหนาวที่พัดกรูมาปะทะกาย กระทั่งทำให้ผ้าพันคอสีชมพูที่ตนเองรักนักหนา ซึ่งพันไว้หลอมๆ รอบลำคอ ปลิวตามสายลมตกอยู่ตรงกลางถนน
“ผ้าพันคอ!”
แสนขวัญอุทานเสียงหลง อารามว่าตกใจที่เห็นผ้าพันคอปลิวไปต่อหน้าต่อตา ก็รีบตามไปคว้าไว้ จนไม่รู้ตัวว่ากำลังกระโจนลงไปกลางถนนซึ่งมีรถยนต์แล่นมาด้วยความเร็วสูง
เอี๊ยดดด!!!
“กรี๊ดดด!!!”
ทั้งเสียงเบรกรถ ทั้งเสียงหวีดร้องจากตัวแสนขวัญและเนตรทราย ที่อยู่ในเหตุการณ์ดังลั่นทั่วบริเวณ ทำเอานักท่องเที่ยว คนขับแท็กซี่ ซึ่งอยู่ด้านหน้าสนามบินต่างก็ตกอกตกใจไปตามๆ กัน
แต่คนที่ตกใจและกำลังอยู่ในอาการช็อกก็คือแสนขวัญ ซึ่งยืนนิ่งจ้องมองรถยนต์ที่หยุดรถห่างจากตัวเธอได้แค่ไม่กี่นิ้ว
และเมื่อเหตุการณ์ในอดีตแล่นเข้ามาในโสตประสาท บอกตัวเองว่าเธอเคยถูกรถชนกระทั่งแท้งลูกในท้อง จู่ๆ ร่างบางก็อ่อนแรงทรุดฮวบไปกองอยู่กับพื้น ท่ามกลางเสียงสบถลั่นของผู้เป็นเจ้าของรถหรูราคาแพงระยิบ ที่ก้าวลงมาจากรถยนต์พร้อมด้วยไฟโทสะ
“บ้าฉิบ! ทะเล่อทะล่าพุ่งมาบนถนน ไม่เห็นหรือยังไงว่ามีรถกำลังขับมา”
ผู้เป็นเจ้าของรถเปิดประตูหลังออกมาสบถต่อว่าด้วยความโมโห และ! เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่นั่งกองอยู่บนพื้น ก็ถึงกับตะลึงงัน สบถดังลั่นซะยิ่งกว่ารอบแรก
“นรก! แสนขวัญ!”