บทที่ 3 วางแผนหนีเที่ยว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จ ขันทีในกรมพิธีการตะโกนเสียงแหลม ผู้คนในงานเลี้ยงต่างคุกเข่าเอ่ยถวายพระพรพร้อมเพรียงกัน ขุนนางน้อยใหญ่และครอบครัวที่ติดตามมาต่างพากันก้มหน้า
หลังจากฮ่องเต้สั่งให้ลุกขึ้นไม่ต้องมากพิธี หลายสายตาก็เหลือบมองผู้สูงศักดิ์ทั้งสองที่เดินเคียงกันมาด้วยความรู้สึกที่ต่างกันออกไป บางคนก็ชื่นชมว่าฮ่องเต้และฮองเฮาเหมาะสมคู่ควร บางคนก็หวังตำแหน่งที่ยังว่างของวังหลังแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหวงกุ้ยเฟย กุ้ยเฟยและเฟยทั้งสี่ หรือแม้แต่นางสนมชั้นผิน หากมีโอกาสได้รับความโปรดปรานก็สามารถนำพาครอบครัวเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปได้ ใครกันจะไม่อยากได้โอกาสนั้น
หลังจากมู่เจียวจ้านขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน ขุนนางในราชสำนักก็ส่งมอบรายชื่อผู้ที่คู่ควรในแต่ละตำแหน่งของวังหลัง เขาเพียงรับฟังแต่ไม่กล่าวสิ่งใด
มู่เจียวจ้านในยามนั้นยังเกี้ยวพาราสีอู่เข่อซิงไม่สำเร็จ วีรกรรมที่เขากลั่นแกล้งนางมีมากเกินไป ทำให้อู่เข่อซิงไม่เชื่อว่าเขารักนางมานานแล้ว ยิ่งเขาบอกรักนางยิ่งคิดว่าเขาหลอกลวงเพื่อหาความสำราญใจ กว่าจะพิชิตใจสตรีในดวงใจได้ต้องใช้เวลาเกือบสามปีหลังจากขึ้นครองราชย์ จนกระทั่งปลายปีที่แล้วสวรรค์ก็เมตตาเขาเสียที
ในงานล่าสัตว์อู่เข่อซิงเข้าป่าลึกเพื่อล่าสัตว์ใหญ่เพราะมู่เจียวจ้านท้านางให้แข่งกับเขา ฮ่องเต้หนุ่มแอบตามคนรักอยู่ห่าง ๆ จนกระทั่งหมีดำตัวร้ายกระโจนเข้าหาร่างบอบบาง เขาก็กระโดดเข้าไปปกป้องนางทันทีอย่างไม่คิดถึงความปลอดภัยของตนเอง หมีร้ายตะปบเข้าที่แขนซ้ายของเขา อาภรณ์ขาดวิ่นเป็นรอยเล็บของหมี เลือดซึมออกมาเปื้อนแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว ยามนั้นเขาห่วงใยนางจนลืมความเจ็บปวด คิดอย่างเดียวว่าจะต้องสังหารหมีตัวนั้นให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาและนางคงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้
ชายหนุ่มใช้ตัวเองเป็นเป้าให้หมีร้ายเข้าถึงตัวในระยะใกล้ ทำเช่นนี้จึงจะสามารถแทงลงตรงจุดตายของมันได้ เขายอมเสี่ยงถูกทำร้ายเพื่อให้นางปลอดภัย และในจังหวะที่อู่เข่อซิงกรีดร้องเสียงดังเพราะหมีโถมเข้าใส่ร่างเขาที่เสียหลักล้มลงพื้น เวลานั้นเองมู่เจียวจ้านพลิกตัวแล้วแทงคอหมีตัวนั้นอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างปักธนูลงบนหัวใจหมีเต็มแรงทำให้มันสิ้นใจล้มลงพื้นไป เขาเองก็ล้มตามมันไปติด ๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่แผล ไม่ใช่ว่าแทงเพียงสองครั้งแล้วหมีสิ้นใจทันที แต่เขาแทงไปหลายครั้งมากยิ่งมันเจ็บความดุร้ายของมันก็ยิ่งมากขึ้นเขาจึงเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อสังหารมัน
อู่เข่อซิงวิ่งไปนั่งช้อนศีรษะมู่เจียวจ้านมาหนุนตัก สายตานางสำรวจร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดของเขาแล้วใจหล่นวูบ "เจียวจ้าน...เจียวจ้านเจ้าอย่าเป็นอะไรนะ"
เสียงหวานสั่นเครือเรียกเขาสะอึกสะอื้น นางกำลังร้องไห้ นางกำลังเป็นห่วงเขา แม้บาดแผลทั่วร่างจะเจ็บเจียนขาดใจแต่เขาก็ยังคงยิ้มดีใจที่เห็นนางห่วงใยแบบนี้ "ไม่ต้องกลัวข้าอยู่นี่"
ไม่ว่าครั้งไหนที่นางพบอันตรายเขาจะพูดคำนี้แล้วพานางหนีพ้นจากอันตรายเสมอ อู่เข่อซิงซาบซึ้งใจแต่ก็ยังกระแทกเสียงบ่นเขาอย่างไม่พอใจ "เจ้าโง่หรือ เหตุใดไม่เรียกทหารคุ้มกันออกมา"
"ข้าไล่พวกเขาออกไปหมดแล้วอยากอยู่กับเจ้าสองต่อสองน่ะ เข่อซิงข้ารักเจ้าจริง ๆ เชื่อข้าสักครั้งหากครั้งนี้ข้าไม่รอดเจ้าโปรดรู้ไว้ข้ารักเจ้า เจ้าเป็นสตรีหนึ่งเดียวในใจข้า" เขาพยายามพูดทุกสิ่งในใจออกมาเพราะเริ่มทนกับความเจ็บปวดไม่ไหวแล้ว พูดได้แค่นั้นมู่เจียวจ้านก็หมดสติไป
อู่เข่อซิงตะโกนเรียกทหารคุ้มกันของเขาอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังตะโกนเรียกคนที่หมดสติไปแล้วซ้ำ ๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
มีฮ่องเต้ที่ไหนบ้างไม่ห่วงความปลอดภัยของตนไล่ทหารคุ้มกันแม้กระทั่งองครักษ์เงาก็ไม่เหลือไว้ คงมีแต่คนบ้าเช่นเขานี่แหละ
ได้เห็นบุรุษที่คอยกลั่นแกล้งอ่อนแอเหมือนเปลวเทียนใกล้ดับอู่เข่อซิงทั้งเจ็บปวดทั้งเป็นกังวล แม้เขาจะชอบแกล้งนางแค่ไหนแต่ทุกครั้งที่นางตกอยู่ในอันตราย หรือมีใครมารังแกนางก่อนเขาต้องออกหน้าเอาคืนให้นางเสมอ นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใจของนางอ่อนไหวมานานเท่าไรแล้ว รู้เพียงตอนนี้ที่ทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยเลือดนางเจ็บปวด ตอนที่เห็นว่าหมีร้ายกำลังจะเอาชีวิตเขาไปนางไม่ยินยอม
ในยามที่เขาหายไปไม่มาวอแวนางก็คิดถึงเขา ไม่รู้ว่าความรู้สึกโกรธเคืองอยากเอาคืนยามถูกเขากลั่นแกล้ง กลายมาเป็นถวิลหายามเขาหายไปได้อย่างไร แต่ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่านางเองก็รักเขาเช่นกัน
ตั้งแต่จำความได้อู่เข่อซิงอยู่ข้างกายมู่เจียวจ้านตลอดไม่ว่าเขาเรียนอะไรต้องลากนางไปเรียนด้วยเสมอ เขาต่อรองกับเสด็จพ่อของเขาว่าถ้านางไม่เรียนเขาก็จะไม่เรียน ด้วยความที่ฝ่าบาทเอ็นดูนางอยู่แล้วจึงยอมให้นางเล่าเรียนมาพร้อมกับเขา
อู่เข่อซิงจึงมีความรู้ทุกขนานที่มู่เจียวจ้านมี นางดึงกระบอกที่เอวเขาออกมาส่งสัญญาณเรียกทหารคุ้มกัน สิ่งนี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอันตรายถึงชีวิต แค่ดึงสลักออกแสงหนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้าแตกกระจายในอากาศ
ทหารมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของผู้ทรงอำนาจ เหล่าทหารก็มีเหงื่อเย็นซึมออกมา พวกเขาบกพร่องต่อหน้าที่จนโอรสสวรรค์บาดเจ็บสมควรถูกลงโทษ ทว่ายามนี้ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า ทหารจัดทำเปลจากไม้ไผ่หามฮ่องเต้หนุ่มกลับฐานพักทันที
หมอหลวงรุมกันเข้ากระโจมหาหนทางรักษาฮ่องเต้อย่างร้อนรน ไม่เคยมีครั้งไหนที่ออกมาล่าสัตว์แล้วฮ่องเต้เจ็บหนักเพียงนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้จะโทษองครักษ์ก็ไม่ได้อีกเพราะคำสั่งฮ่องเต้ใครจะกล้าขัด ในเมื่อฮ่องเต้อยากเอาใจสตรีที่เขารักทหารองครักษ์ทุกนายย่อมทำตามคำสั่งหลบออกจากบริเวณนั้น
ที่ไม่คาดคิดคือจะมีสัตว์ร้ายออกมาในเวลานั้น
อู่เข่อซิงเดินไปเดินมาหน้ากระโจมอย่างร้อนใจ บาดแผลฉกรรจ์หลายจุดที่ใหญ่ที่สุดเป็นบริเวณขา มีเลือดไหลออกมามากมายไม่รู้เขาจะเจ็บปวดทรมานแค่ไหน นางได้แต่โทษตัวเองที่อวดเก่งเข้าป่าลึกเพราะต้องการชนะเขาจนทำให้เกิดเรื่องอันตรายเช่นนี้กับโอรสสวรรค์ได้ หากเขาเป็นอะไรไปนางคงกล่าวโทษตัวเองไปทั้งชีวิต
หมอหลวงออกมาจากกระโจมรายงานอู่เข่อซิงว่าอาการฝ่าบาทคงที่แล้ว ไม่อันตรายถึงชีวิตจึงลดความกังวลของนางลงได้บ้าง
อู่เข่อซิงเข้าไปเฝ้ามู่เจียวจ้านไม่ห่าง เขาหลับไปสามวันตื่นมาก็ยังไม่สามารถลงจากเตียงได้ หมอหลวงบอกว่าต้องใช้เวลาหลายเดือนในการรักษา งานล่าสัตว์ถูกยกเลิกกลางคันเพราะอาการบาดเจ็บของฮ่องเต้ พอเขาได้สติทหารก็คุ้มกันเขากลับวังโดยมีนางคอยดูแลตลอดเส้นทาง
หลังจากกลับวังรักษาตัวอยู่หกเดือนพอเดินเหินได้สะดวกเขาก็ส่งแม่สื่อไปสู่ขอนางอย่างเป็นทางการทันที ครั้งนี้อู่เข่อซิงไม่ปฏิเสธหัวใจตัวเองอีก นางรักเขาเข้าแล้วและเขาก็พิสูจน์ให้นางเห็นแล้วว่าเขาสามารถให้ตัวเองบาดเจ็บปางตายได้ แต่ไม่ยอมให้นางเป็นอันตรายแม้แต่ปลายเล็บจากเหตุการณ์ล่าสัตว์ในครั้งนั้น
ในงานเลี้ยงวันนี้ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวเสียงทรงอำนาจ "งานเลี้ยงครั้งนี้เราจัดขึ้นเพื่อต้อนรับคณะทูตแห่งแคว้นฉิน เพื่อความสงบสุขของสองแคว้นเราจึงร่างสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ มอบให้คณะทูตแคว้นฉินตรวจสอบ"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท" หนึ่งในคณะทูตแคว้นฉินคุกเข่ารับร่างสัญญาที่เกากงกงนำมามอบให้
"กระหม่อมเห็นชอบตามที่ฝ่าบาทเสนอพ่ะย่ะค่ะ" คณะทูตแคว้นฉินเอ่ยเมื่ออ่านเนื้อความเรียบร้อยแล้ว "เพื่อความปรองดองของสองแคว้นรัชทายาทแห่งแคว้นฉินได้ส่งของบรรณาการมาให้แคว้นต้าถง ขอฝ่าบาทรับน้ำใจนี้ไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ" เมื่อกล่าวจบก็ส่งสัญญาณมือให้ยกของบรรณาการเข้ามาหลายหีบ และยังมีสตรีงดงามนางหนึ่งย่างกรายเข้ามา ความงามของนางราวกับปีศาจจำแลง สะกดให้ผู้คนในงานเลี้ยงมองตาไม่กะพริบ
"เรารับน้ำใจของแคว้นฉินเพียงแต่..."
"ฝ่าบาทองค์รัชทายาทเห็นว่าอย่างไรก็ต้องผูกไมตรีกันอยู่แล้ว มิสู้ปรองดองกันด้วยสมรสจะได้ไม่เกิดการสู้รบกันอีก จึงส่งองค์หญิงสามเว่ยหลานตงมาอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์พ่ะย่ะค่ะ" ไม่รอให้ฮ่องเต้แห่งต้าถงปฏิเสธคณะทูตก็ชิงกราบทูลอย่างชาญฉลาด
มู่เจียวจ้านหันไปหามู่เนี่ยนเจินฝ่ายนั้นรินสุราใส่จอกแล้วยกขึ้นดื่มสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แยแสสิ่งใดในงานเลี้ยงแม้แต่น้อย มู่เจียวจ้านยกยิ้มที่ถูกน้องชายเมินใส่
มู่เนี่ยนเจินรู้ว่าเสด็จพี่เรียกเขากลับมาเพราะอยากหาคู่ให้ คงกังวลว่าบุรุษโหดเหี้ยมอย่างเขาจะหาคู่ครองไม่ได้ แม้ไม่พอใจแต่ก็ขัดราชโองการไม่ได้ อีกทั้งนานมากแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาเมืองหลวง เขาเองก็คิดถึงพี่ชายที่อยู่เหนือผู้คนและน้องสาวแก่นแก้วคนนั้นของเขาพอดี จึงเร่งเดินทางมาทันทีหลังจากรับราชโองการ พอมาถึงจึงได้รู้ว่าน้องสาวได้ออกไปฝึกวิชาแพทย์ตามที่นางใฝ่ฝันไว้แล้ว
เจ้าเด็กคนนี้จะเขียนจดหมายหาเขาบ้างก็ไม่ได้อยู่ข้างนอกจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้
แม้ว่าเขาและมู่ซิ่วอิงจะเกิดมาในเวลาไล่เลี่ยกันแต่เพราะความซนของนางทำให้เขาเห็นนางเป็นเด็กน้อยสามขวบเสมอ
"เรารับน้ำใจขององค์รัชทายาทแคว้นฉิน เรื่องอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ค่อยว่ากันอีกทีวันนี้ดื่มกินให้เต็มที่เถิด จอกนี้เพื่อมิตรภาพระหว่างสองแคว้น"
"เพื่อความสงบสุขของสองแคว้น"
ผู้คนในงานเลี้ยงและคณะทูตต่างยกจอกสุราขึ้นมา เมื่อฮ่องเต้ใช้สุราสร้างมิตรภาพก็ไม่มีผู้ใดกล้าละเลย
ในงานเลี้ยงไม่ได้แบ่งแยกชัดเจนเพียงแต่หญิงชายจัดให้อยู่คนละฝั่ง ไม่นานก็มีงิ้วออกมาแสดงสร้างความสำราญให้ทุกคน บุตรสาวขุนนางออกมาแสดงความสามารถต่อหน้าพระพักตร์คนแล้วคนเล่า ทุกคนล้วนได้รับคำชมและรางวัลจากฝ่าบาท รวมไปถึงแคว้นฉินที่เตรียมการแสดงมาก็ได้รางวัลและคำชมเช่นกัน
ไม่นานองค์หญิงหลานตงก็กราบทูลขอพาคณะทูตกลับไปพักผ่อนเพราะเดินทางมาหลายวัน ร่างกายของนางอ่อนล้าเต็มทนจึงเบื่อหน่ายงานเลี้ยงอยากล้มตัวลงนอนพักกายพักใจเสียที
ฮ่องเต้อนุญาตและเพื่อไม่ให้คนในงานเลี้ยงหมดสนุกฮ่องเต้และฮองเฮาอยู่ต่ออีกครู่ก็เสด็จกลับ
"เกากงกงไปเชิญชินอ๋องมาพบเราที่ห้องอักษร"
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
อู่เข่อซิงออกจากงานเลี้ยงก็แยกกับมู่เจียวจ้านนางรู้ว่าเขามีเรื่องสำคัญคุยกับมู่เนี่ยนเจินจึงกลับตำหนักเติ้งอัน
วันนี้นางนัดสหายทั้งสองไว้เพื่อวางแผนหนีออกจากวังไปเที่ยวงานเทศกาลหยวนเซียวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อไม่ให้องครักษ์จับได้ต้องวางแผนให้รัดกุมเสียหน่อย
"ฮองเฮาคุณหนูไป๋มาถึงแล้วเพคะ"
"ลี่หลินมาคนเดียวหรือ" อู่เข่อซิงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ขณะถอดเครื่องประดับบนศีรษะที่หนักจนคอนางแทบหักอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
"หม่อมฉันไม่ได้ถามคุณหนูไป๋เพคะ"
"ให้ลี่หลินเข้ามาได้ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับผู่เยว่ปกตินางไม่เคยผิดนัดข้า"
"เพคะฮองเฮา" รั่วหรูออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ซึ่งเป็นบุตรสาวของเจ้ากรมอาญา
"ลี่หลินเหตุใดผู่เยว่ไม่มาพร้อมเจ้า" อู่เข่อซิงเอ่ยถามทั้งที่มือยังระวิงอยู่กับการถอดเครื่องประดับ
"ผู่เยว่ปวดศีรษะเล็กน้อยตอนนี้กำลังพักอยู่ที่ห้องข้างงานจัดเลี้ยงเพคะ ตอนแรกหม่อมฉันจะอยู่ดูแลนางแต่นางห่วงว่าพระองค์จะรอนานจึงบังคับให้หม่อมฉันมาหาพระองค์ก่อน ดังนั้นฮองเฮาหม่อมฉันรั้งอยู่กับพระองค์ได้ไม่นานนะเพคะ"
"สหายข้าเจ็บป่วยข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร รอข้าเปลี่ยนชุดสักครู่พวกเราไปพร้อมกัน รั่วหรูตามหมอหลวงมาให้ข้าด้วย" ประโยคหลังอู่เข่อซิงสั่งการนางกำนัลข้างกาย
"เพคะฮองเฮา"
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ใส่สบายแล้ว อู่เข่อซิงก็ไปที่ห้องข้างโถงงานจัดเลี้ยงพร้อมไป๋ลี่หลินเพื่อไปดูว่าจี้ผู่เยว่เจ็บป่วยมากน้อยเพียงใด
เมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของสหาย อู่เข่อซิงก็เอ่ยถามอย่างห่วงใย "ผู่เยว่เป็นอย่างไรบ้าง"
"ดีขึ้นมากแล้วเพคะ"
"ให้หมอหลวงตรวจดูสักหน่อยข้าจึงจะวางใจ"
"ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะที่ทรงห่วงใยแต่หม่อมฉันดีขึ้นแล้วจริง ๆ ฮองเฮาเสด็จมาที่นี่แล้วเรามาวางแผนกันเถิด" จี้ผู่เยว่ยิ้มให้อู่เข่อซิงอย่างสนิทสนม
"ก็ได้เช่นนั้นรอข้าสักครู่" อู่เข่อซิงเดินออกไปสั่งให้หมอหลวงกลับไปก่อน "รั่วหรูเฝ้าหน้าประตูไว้ให้ดีอย่าให้ผู้ใดเข้ามาได้จนกว่าข้าจะสั่ง"
"เพคะฮองเฮา"
สามคนในห้องข้างงานจัดเลี้ยงพูดคุย กินอาหาร ดื่มสุราและวางแผนหนีออกไปเที่ยวเทศกาลหยวนเซียวกันอย่างสนุกสนาน