บทที่ 2 ปักใจรักมั่น
สามเดือนก่อนในพระราชวังจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตแคว้นฉิน เนื่องจากชินอ๋องแม่ทัพใหญ่ยกทัพยึดดินแดนทางตอนใต้กลับมาได้ แคว้นฉินที่แพ้ยับเยินจึงยื่นสารขอสงบศึก และส่งทูตมาแสดงความจริงใจเพื่อลงนามสัญญาสงบศึกทั้งสองแคว้น
ภายในงานเลี้ยงเหล่าขุนนางสามารถพาครอบครัวเข้าร่วมได้ ตระกูลใดมีบุตรสาวบุตรชายยังไม่ออกเรือนยิ่งให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงครั้งนี้มาก พวกเขาต่างเลือกเครื่องแต่งกายที่พิถีพิถันให้บุตรงดงามโดดเด่น เพื่อใช้โอกาสนี้ในการมองหาคู่ครองที่ดีมีความสามารถ
งานเลี้ยงต้อนรับนี้จัดขึ้นหลังจากฮ่องเต้อภิเษกสมรสได้เพียงหนึ่งเดือน ยามนี้มู่เจียวจ้านได้มานั่งในตำหนักเติ้งอันเพื่อรับฮองเฮาของเขาเข้างานเลี้ยงพร้อมกัน
สายตาอ่อนโยนจับจ้องสตรีอันเป็นที่รัก นึกไปถึงยามเด็กที่เขาชอบแกล้งนางก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นยามไหนที่เขาปักใจรักมั่นต่อสตรีคนนี้ อาจเป็นตอนที่แกล้งให้นางยืนรอขนมตกจากฟ้า ดวงตาใส่แป๋วของนางแหงนมองฟ้าอย่างรอคอยและตื่นเต้นพร้อมถามเขาว่า "เจียวจ้านขนมที่เจ้าแบ่งข้ากินตกมาจากฟ้าจริงหรือ"
"อืม" เขาแสร้งทำหน้าจริงจังทั้งที่ในใจขบขันที่นางเชื่อเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมา "เจ้ารออีกสักหน่อยเดี๋ยวพอขนมดอกกุ้ยฮวาหล่นมาจากฟ้าก็รีบรับไว้ เพราะหากขนมตกพื้นก็จะอันตรธานหายไปในพริบตา"
"จริงหรือ เช่นนั้นข้าจะเผลอไม่ได้เด็ดขาด" อู่เข่อซิงตื่นเต้นมาก เพราะนางไม่เคยเห็นสิ่งมหัศจรรย์แบบนี้ที่ไหนมาก่อน เด็กหญิงตัวเล็กเฝ้ารอขนมหล่นจากฟ้าอย่างใจจดใจจ่อ ทว่ารอจนตะวันตกดินก็ยังไม่มีสักชิ้นที่หล่นลงมา
"องค์ชายเสวยเก่งจังเพคะ ขนมที่นำมาจากห้องเครื่องต้องอร่อยมากแน่ใช่หรือไม่ พระองค์เสวยจนหมดไม่เหลือสักชิ้นเลย"
มู่เจียวจ้านเพียงยิ้มเล็กน้อยให้นางกำนัลคนนั้น
อู่เข่อซิงมองจานที่เขาซ่อนไว้ด้านหลัง ถูกนางกำนัลเก็บออกไป ก็รู้ยามนี้เองว่าถูกเขาหลอกเข้าแล้ว "เจียวจ้านเจ้าหลอกข้า" เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งไล่ตีองค์ชายใหญ่ชุลมุนวุ่นวายไปหมด เขาควรถูกตีที่หลอกให้นางอดข้าวอดน้ำรอสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
เจ็บใจนักที่ถูกเขาหลอก!
มู่เจียวจ้านหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข เมื่อเด็กน้อยที่เขาชอบบีบแก้มวิ่งไล่ทั้งตีทั้งเตะเขาเป็นพัลวัน แต่เขากลับไม่โกรธสักนิดแถมยังมีความสุขที่ได้เห็นใบหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่าย แก้มของนางเดี๋ยวพองเดี๋ยวยุบน่ารักจนหัวใจของเขาคันยุบยิบอยากหยิกแก้มนางอีกแล้ว
หรืออาจจะเป็นตอนที่ไปปลุกนางยามเช้าทุกเช้าเพื่อให้มานั่งเล่าเรียนกับเขา เสด็จพ่อพระราชทานตำแหน่งหมอหลวงประจำพระองค์และจวนหลังใหม่ให้ท่านอาอู่เหยียน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับพระราชวัง ทำให้ทุกเช้ามู่เจียวจ้านจะไปที่ตระกูลอู่ปลุกอู่เข่อซิงมานั่งเรียนกับเขา
"ท่านอาหญิง เข่อซิงยังไม่ตื่นหรือขอรับ"
"องค์ชายใหญ่มาแล้วหรือกินอะไรมารึยังเดี๋ยวอาทำให้ เมื่อคืนเข่อซิงทำการบ้านที่พระองค์มอบให้จนดึกตอนนี้นางยังไม่ตื่นเลย"
"ไม่เป็นไรขอรับ เช่นนั้นข้าเข้าไปปลุกนางได้หรือไม่ หากช้ากว่านี้อาจารย์จะรอเอาได้"
ซู่เหยาพยักหน้าอนุญาตพลางเอ่ย "ก่อนไปเรียนให้เข่อซิงมาเอาขนมที่ห่อไว้ตรงนี้ไปด้วยนะเพคะ"
"ขอรับท่านอาหญิง"
เขาในยามนี้เป็นเพียงเด็กวัยแปดหนาวท่านอาทั้งสองของตระกูลอู่ก็เอ็นดูเขามาก เขากับอู่เข่อซิงเป็นสหายสนิทกันมาตั้งแต่จำความได้ การที่มู่เจียวจ้านเข้าห้องไปปลุกอู่เข่อซิงก็เป็นเรื่องปกติของทุกเช้า นับตั้งแต่ตระกูลอู่ย้ายเข้ามาในเรือนพระราชทาน
ขนไก่ที่เตรียมไว้ตอนนี้กำลังถูกเกลี่ยไปบนกรอบหน้าหวาน เมื่ออีกฝ่ายย่นคิ้วเขาก็ไล่ปลายขนไก่ไปที่จมูกของนาง เกลี่ยไปมาจนร่างเล็กจามฮัดชิ้วออกมา
เด็กหญิงตัวน้อยยังคงขี้เซาเหมือนเดิมถึงขั้นนี้แล้วนางยังไม่ตื่น มือเล็กป้อมปัดขนไก่ออกแล้วพลิกตัวนอนต่อ มู่เจียวจ้านใช้ขนไก่แหย่จมูกนางอีกครั้ง "เข่อซิงไฟไหม้แล้ว" เขากระซิบข้างหูนาง
อู่เข่อซิงตาเบิกกว้างกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างว่องไว มือเล็กสอดเข้าใต้หมอนลูบไปมาหลายครั้ง สิ่งแรกที่นางคิดถึงคือเงินหนึ่งตำลึงที่นางเก็บไว้ใต้หมอน แม้ทุกอย่างมอดไหม้ไปกับไฟอย่างน้อยนางยังมีเงินซื้อข้าวกิน ว่าแต่เงินของนางหายไปไหน "เจียวจ้านใต้หมอนข้ามีเงินอยู่หนึ่งตำลึง เจ้าเห็นรึไม่"
"เห็นสิ...นี่ไงเล่าข้าจะยึดไว้ก่อนเจ้ารีบลุกมาล้างหน้าล้างตาป่านนี้อาจารย์รอแล้ว ไว้เรียนครบหลักสูตรข้าจะคืนให้เจ้า"
"เดี๋ยวก่อนนะไหนว่าไฟไหม้" อู่เข่อซิงกวาดตามองโดยรอบไม่มีเปลวเพลิงไม่มีควันไฟนางถูกเขาหลอกอีกแล้ว "ข้าไม่เรียนแล้วข้าจะนอน"
"แน่ใจรึ" เขาทำหน้าตายียวนกวนประสาท
"ใช่...เจ้าออกไปเลย ข้าจะนอนไม่ไปเรียนกับเจ้าแล้ว"
"เงินหนึ่งตำลึงนี้เจ้าก็ไม่เอาแล้วรึ"
"นั่นมันเงินของข้าเอาคืนมานะ" อู่เข่อซิงลุกจากเตียงได้ก็วิ่งไล่มู่เจียวจ้านเพื่อทวงเงินหนึ่งตำลึงคืน นางวิ่งตามจนมาถึงในเขตพระราชวังอย่างไม่รู้ตัว อีกทั้งยามนี้นางยืนอยู่ต่อหน้าอาจารย์ด้วยสภาพที่ไม่น่ามองเอาเสียเลย
คราบน้ำลายยังติดมุมปากและแก้ม หัวตานางก็ยังมีก้อนกลมเล็กติดอยู่ แถมผมเผ้าของนางก็ยุ่งจนไม่เป็นทรง แต่มู่เจียวจ้านกลับรู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก นางน่ารักน่าหยิกเข้าทุกวัน
'มู่ เจียว จ้าน กล้านักนะที่หลอกให้ข้าวิ่งมาถึงที่นี่ ด้วยสภาพเช่นนี้ คนใจร้าย นิสัยไม่ดี คนน่ารังเกียจ คนบ้า'
แม้จะด่าในใจจนอกแตกตายมันก็สายไปแล้ว ถึงนางจะอายจนอยากมุดดินหนีก็ทำได้เพียงนั่งลงตามคำสั่งอาจารย์ พอหมดเวลาเรียนอู่เข่อซิงก็เอาคืนมู่เจียวจ้านด้วยการถีบก้นเขาไปหนึ่งครั้ง แทนที่เขาจะโกรธกลับหัวเราะชอบใจ
ยามสตรีตรงหน้าโกรธจนแก้มป่องน่ามองยิ่งนัก
ยิ่งคิดรอยยิ้มของมู่เจียวจ้านในวัยสิบเก้าก็ยิ่งกว้าง หรือไม่แน่ว่าอาจจะเป็นตอนที่เขาหนีออกจากวังมาเจอนางวิ่งหนีสุนัขจนหกล้ม เด็กหญิงตัวน้อยที่สูงเพียงอกของเขาสายตาสิ้นหวังแต่ไม่ร้องไห้ออกมาสักแอะ เขาที่แอบมองนางอยู่รีบวิ่งเข้าไปย่อตัวให้นางขึ้นหลัง "ไม่ต้องกลัวนะข้าอยู่นี่แล้ว ขึ้นมาเร็ว" พอนางขึ้นหลังเขาได้เท่านั้นความเข้มแข็งทั้งหมดที่นางแสดงออกมาก็พังทลายลง ร่างเล็กตัวสั่นเทาร้องไห้เสียงดังไม่อายฟ้าอายดินอีก น้ำตาของนางซึมผ่านอาภรณ์ลงไปถึงผิวหนังบริเวณไหล่ของเขา "ฮรึก เจียวจ้านข้านึกว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว"
"ไม่เป็นไรแล้ว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง" เด็กชายแบกเด็กหญิงวิ่งหนีแม่สุนัขจอมดุที่ไล่ล่าพวกเขาจนเหนื่อยหอบ กว่าจะสลัดแม่สุนัขทิ้งได้มู่เจียวจ้านต้องวิ่งซอกแซกเข้าซอยหลายซอย
"จำได้หรือไม่ว่าต้องวิ่งหนีอย่างไรถึงจะหลุดพ้น หากเจ้าวิ่งตรงแบบนั้นอย่างไรก็หนีแม่สุนัขตัวนั้นไม่ทัน"
"นี่เท่ากับว่าเจ้าเห็นข้าวิ่งหนีแม่สุนัขตัวนั้นนานแล้ว แต่ไม่ยอมออกมาช่วยข้า" เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่แก้ตัวอู่เข่อซิงก็โมโหขึ้นมาทันที นางวิ่งจนขาล้าแทบเอาชีวิตไม่รอดแต่องค์ชายบ้านั่นกลับยืนมองจนนางสิ้นหนทางถึงออกมาช่วย คนนิสัยไม่ดีหากเมื่อครู่นางไม่ล้มเขาก็คงไม่ออกมาช่วยนาง
"ข้าก็ช่วยเจ้าแล้วนี่ไง เจ้าตอบแทนผู้มีพระคุณเช่นนี้หรือ จะหยุดหรือไม่ถ้าไม่หยุดข้าจะ..." ถูกมือเล็กทุบมั่วไปทั่วตัวความจริงไม่รู้สึกเจ็บแต่อยากแกล้งนางอีกแล้ว มู่เจียวจ้านไม่รอให้นางไตร่ตรองสิ่งที่เขากำลังจะพูด ก็แสร้งเสียหลักหงายหลังดึงนางลงมาแล้วเกร็งคอกดจมูกลงบนแก้มยุ้ยนั้นทันที
หอม นางหอมเช่นนี้นี่เอง
ที่เสด็จพ่อชอบหอมแก้มเสด็จแม่เพราะเสด็จแม่เองก็หอมเช่นกัน เรื่องนี้เขายืนยันได้เพราะเขาชอบแย่งเสด็จพ่อนอนกอดเสด็จแม่ เข่อซิงหอมไม่ต่างจากเสด็จแม่เลย
ร่างเล็กทับร่างที่ใหญ่กว่าอย่างไม่ทันตั้งตัว "เจ้า...เจ้า...เจียวจ้านข้าจะฆ่าเจ้าเสีย" แม้พูดเช่นนั้นแต่หัวใจดวงน้อยของอู่เข่อซิงเต้นตึกตักรุนแรง นางทุบเขาสะเปะสะปะไปหลายทีก็รีบลุกขึ้น นางในวัยสิบสองหนาวถูกมารดาสั่งสอนว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวถ้าไม่ใช่คนในครอบครัว แต่เมื่อครู่นางถูกรัชทายาทแห่งต้าถงหอมแก้มของนางไปแล้วเต็ม ๆ อีกทั้งเขายังยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วเอ่ยว่า "จองไว้แล้วนะ" จากนั้นก็วิ่งหนีนางไปอย่างรวดเร็ว
มู่เจียวจ้านในยามนี้ยิ้มให้อู่เข่อซิงในชุดผ้าไหมสีทองปักลายหงส์เข้ากับชุดเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรของเขา ซึ่งชุดนี้เป็นชุดที่เขาสั่งตัดขึ้นมาใหม่เป็นพิเศษ ฮ่องเต้หนุ่มมองโฉมสะคราญด้วยสายตาแพรวพราว นับวันนางยิ่งงามหยาดเยิ้มราวเทพธิดา "ฮองเฮาของข้างดงามที่สุดในใต้หล้า"
"ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบหลอกลวงข้า" อู่เข่อซิงยามอยู่ด้วยกันสองคนกับมู่เจียวจ้านจะไม่มีคำพูดพระองค์หม่อมฉันเพราะนางเคยชินเสียแล้ว และมู่เจียวจ้านเองก็อนุญาตให้นางเรียกเขาได้ตามใจ อู่เข่อซิงรู้ขอบเขตดีหากว่าอยู่ต่อหน้าข้าราชบริพารของเขา นางก็ไม่เคยหลุดพูดคำที่ไม่เหมาะสม
"ข้าเคยหลอกเจ้าที่ไหนกัน! เงินตำลึงนั้นก็คืนให้เจ้าพร้อมดอกเบี้ยไปแล้ว...มันอยู่ในรายการสินสอดเจ้าเองก็เห็น" ฮ่องเต้หนุ่มกระซิบประโยคสุดท้ายข้างหูฮองเฮารัก แล้วคว้าเอวบอบบางของนางดึงมานั่งบนตัก "ส่วนคำพูดตอนอายุสิบสองก็ทำตามที่พูดไม่ใช่หรือ จองเจ้าไว้แล้วข้าก็เลือกเพียงเจ้าเข้าวังหลังแห่งนี้"
อู่เข่อซิงยิ้มเขิน ใช่อยู่ที่เขาทำตามคำพูดพวกนั้นแต่ก็มีบางเรื่องที่เขาเองก็ไร้ความสามารถที่จะทำให้นางสมหวัง "ข้ารอขนมตกจากฟ้ามาสิบกว่าปีแล้วตอนนี้ก็ยังไม่เห็นมีสักชิ้น" เสียงหวานเอ่ยอย่างแง่งอน นางยังไม่ลืมที่ต้องยืนจนขาแข็ง แถมยังหิวจนตาลายแต่ก็รออย่างมีความหวัง เพื่อขนมชิ้นเดียวที่จะตกมาจากฟ้า ยามนั้นนางยังเด็กนักอายุเพียงห้าขวบเชื่อคำพูดของเขาเสียสนิทใจ พอยามนี้มาคิดถึงเรื่องราวในวันนั้นก็นึกขันที่ตนไร้เดียงสาเพียงนั้น
มู่เจียวจ้านนึกถึงช่วงเวลานั้นก็หัวเราะเสียงดัง "ข้าก็รอเป็นเพื่อนเจ้าเช่นกัน" เขาหอมแก้มนวลของนางแล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง "ถึงเวลาไปร่วมงานเลี้ยงแล้ว ไม่ได้เจอเนี่ยนเจินสามปีไม่รู้ตอนนี้เขาสุขสบายดีหรือไม่"
"เนี่ยนเจินคงคิดถึงเจ้ามากเช่นกัน ไม่งั้นคงไม่รีบกลับมาทันทีที่ได้รับราชโองการหรอก เสียดายที่เขาอยู่กับเจ้าได้ไม่นานเห็นว่าพอแคว้นฉินถูกกำราบแคว้นต้าเยี่ยก็เริ่มเคลื่อนไหวเขาคงรีบกลับทันทีที่งานเลี้ยงนี้จบลง"
"แค่เขากลับมาข้าก็ดีใจแล้ว เสด็จพ่อพาเสด็จแม่ออกจากวังไปท่องยุทธภพ ซิ่วอิงก็ตามอาจารย์ของนางไปศึกษาตำราแพทย์ ก็มีแต่เนี่ยนเจินเท่านั้นที่ข้าจะเรียกเขากลับมาพบได้ ทุกคนต่างพากันไปจากข้ากันหมดไม่คิดว่าข้าจะเหงาบ้างเลยหรือ...ดีที่ยังมีเจ้าอยู่" ฮ่องเต้หนุ่มยิ้มกว้างให้ฮองเฮารัก
สามปีก่อนมู่เซียวเซ่อสละราชบัลลังก์ให้บุตรคนโต โดยอ้างว่าตนเจ็บป่วยออกว่าราชการไม่ไหว แต่ความจริงแล้วต้องการพาลู่ผิงถิงฮองเฮาของเขาออกไปท่องโลกกว้าง เขาไม่กลัวการแก่งแย่งระหว่างองค์หญิงองค์ชายในราชวงศ์ เพราะเขามีฮองเฮารักเพียงหนึ่งเดียวในวังหลัง บุตรแต่ละคนก็คลานตามกันออกมา ถูกเลี้ยงมาอย่างรักใคร่ แม้จะเข้มงวดไปหน่อยกับบางเรื่องก็ตาม
มู่เซียวเซ่อรั้งเป็นไท่ซ่างหวงอยู่หนึ่งปีมองดูบุตรชายคนโตที่อายุเพียงสิบหกปี ยืนอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างมั่นคงได้ด้วยตัวเขาเอง
บุตรชายคนรองคอยสนับสนุนพี่ชายอยู่ด้านหลัง พอมีศัตรูรุกรานก็อาสาออกรบในวัยเพียงสิบสองปี
บุตรของเขาแต่ละคนล้วนมีความสามารถเป็นของตัวเอง และได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเยาว์ เขาเชื่อว่ามู่เจียวจ้านจะปกครองคนอย่างมีคุณธรรม เชื่อว่ามู่เนี่ยนเจินจะเป็นแม่ทัพที่เกรียงไกรเห็นราษฎรเป็นสำคัญ และหวังว่ามู่ซิ่วอิงจะเรียนวิชาแพทย์สำเร็จตามที่นางอวดอ้าง
พอเขาวางใจแล้วว่าลูก ๆ ของเขามีเส้นทางเป็นของตัวเอง จึงพาภรรยารักออกท่องโลกกว้างไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักอีก
หลังจากมู่เจียวจ้านขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็มีศัตรูจากแคว้นอื่นรุกราน เนื่องด้วยแคว้นต้าถงเรืองอำนาจขึ้นมาในเวลารวดเร็ว ทำให้แคว้นที่ริษยาต้องการรุกรานครอบครองดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นต้าถง
มู่เนี่ยนเจินจึงอาสาออกรบ ในปีแรกเขาก็ชนะศึกกวาดล้างศัตรูจนชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความโหดอำมหิต ลือกันว่าชินอ๋องบั่นคอศัตรูในดาบเดียว ขนาดแผนหญิงงามยังใช้กับชินอ๋องไม่ได้ แม้สตรีที่เข้าหาชินอ๋องจะงดงามเพียงใดก็ถูกเขาสังหารจนสิ้น ช่างไร้ใจนัก นั่นคือข่าวลือที่โด่งดังตั้งแต่ปีนั้นจนมาถึงบัดนี้ สามปีแล้วก็ยังมีคนพูดถึงอยู่
มู่เนี่ยนเจินมีความดีความชอบมู่เจียวจ้านจึงพระราชทานตำแหน่งชินอ๋องให้เขา มอบเมืองเจาให้เขาปกครองอยู่ทางใต้ นับแต่นั้นเป็นต้นมามู่เนี่ยนเจินก็คอยกำจัดศัตรูอยู่ที่เมืองเจาไม่ให้รุกรานเข้าเมืองหลวงได้ และไม่เคยกลับมาเหยียบเมืองหลวงอีกเลย
ส่วนมู่ซิ่วอิงองค์หญิงหนึ่งเดียวของต้าถงออกเดินทางตามอาจารย์ไปเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว หลังจากที่มู่เจียวจ้านแต่งอู่เข่อซิงเข้าวังหลังและแต่งตั้งขึ้นเป็นฮองเฮา องค์หญิงใหญ่ก็ออกเดินทางไปพร้อมกับอาจารย์อู่ของนางทันที
ทำให้พระราชวังที่เคยมีเสียงหัวเราะใส่กังวานของน้องสาวบัดนี้เงียบเหงานัก หากไม่มีอู่เข่อซิงอยู่ด้วยฮ่องเต้อย่างเขาคงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
"ข้าก็คิดถึงท่านพ่อท่านแม่ เหมือนจะคิดผิดไปแล้วที่แต่งกับเจ้า อิสรเสรีของข้าหายไปหมดแล้ว" อู่เข่อซิงทำหน้าเศร้าแล้วพูดค่อนแคะผู้เป็นสวามี
นางดีกว่าเขามากนักที่น้องชายของนางยังอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลอู่คิดถึงยามใดก็เรียกเข้าเฝ้าได้ ส่วนเขานั้นราวกับเหลือตัวคนเดียวในเมืองหลวงแห่งนี้
มู่เจียวจ้านเขกหน้าผากนางไปหนึ่งครั้งแผ่วเบา "คิดได้ก็สายไปแล้วเจ้าไม่อาจหนีข้าได้อีกแล้วเข่อซิง"
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะ จากนั้นก็เดินเคียงกันไปงานเลี้ยงอย่างรักใคร่ โดยไม่รู้เลยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในไม่ช้า