บทที่ 7 ติดค้าง
หญิงวัยชรารับโทรศัพท์ไร้สายจากมือสาวใช้วัยกลางคนขึ้นมาแนบหู ผันบอกกับหล่อนว่าภวิศโทร.มา เหลนรักเพิ่งโทร.คุยกับหล่อนเมื่อสองวันที่ผ่านมา ปกติภวิศจะไม่โทร.บ่อยยกเว้นมีเรื่องสำคัญเท่านั้น
“ว่าไงหลานชาย คิดถึงย่ามากรึไง”
“สวัสดีครับคุณย่า คิดถึงทุกวันครับแต่ว่ามีเรื่องอยากถามคุณย่าก็เลยโทร.มาถี่หน่อย คุณย่าครับ เล่าเรื่องคุณปู่ภรตให้ผมฟังได้มั้ยครับ ผมฝันเห็นคุณปู่ คุณปู่พาผมไปบ้านท่าน ท่านบอกว่าบ้านหลังนั้นเป็นของท่าน ใช่มั้ยครับคุณย่า”
ภาพิตนิ่งไปชั่วขณะกับคำบอกเล่าของภวิศ ภรตมาเข้าฝันภวิศเพื่ออะไร ภรตยังไม่ไปเกิด เขาบอกกับหล่อนก่อนจะเสียชีวิตว่า
“ผมจะไม่ไปไหน ผมจะรอมันอยู่ที่นี่ รอจนกว่าพวกมันจะกลับมารับโทษของพวกมัน”
น้องชายของหล่อนตรอมใจตายในบ้านหลังนั้น หล่อนสงสารน้องแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย หล่อนขายบ้านภรตพาพัสกรลูกชายคนเดียวของภรตไปอยู่กรุงเทพฯแต่ก็กลับมาดูที่ดินในตลาดริมหาดทุกเดือน หล่อนคิดจะขายที่ดินทิ้งแต่พัสกรขอไว้ เขาอยากทำธุรกิจโรงแรมเมื่อเขาพร้อม หล่อนจึงเก็บที่ดินไว้จนถึงวันนี้และพัสกรสามารถเป็นเจ้าของโรงแรมระดับห้าดาวริมหาดได้ตามที่เขาพูดไว้
“คุณย่าครับ ฟังผมอยู่รึเปล่าครับ คุณย่า” เขาเรียกซ้ำเมื่อเสียงปลายสายเงียบไป
“ฟังอยู่ บ้านที่แกพูดถึงอยู่ริมผาใช่รึเปล่า”
“ใช่ครับ เจ้าของบ้านตั้งชื่อบ้านริมผาด้วยครับ ผมไปเห็นมาแล้ว บ้านสวยมาก เมื่อก่อนเป็นบ้านคุณปู่ภรตใช่มั้ยครับ”
“ใช่”
“คุณย่าเล่าเรื่องคุณปู่ให้ผมฟังหน่อยนะครับ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกลูก ปู่เคยอยู่บ้านหลังนั้นพอปู่ตายย่าก็ขายบ้านพาพ่อแกเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แกก็เกิดที่กรุงเทพฯนี่ไง ที่นั่นไม่มีอะไรเป็นของปู่แกแล้ว อย่าสนใจเลย”
ภาพิตไม่ยอมเปิดปากถึงเรื่องเก่าๆ หล่อนไม่อยากรื้อฟื้นสิ่งที่ผ่านมามากกว่าเพียงแค่รู้ว่าวิญญาณภรตไม่ไปผุดไปเกิดก็ไม่สบายใจมากพออยู่แล้ว
ทุกครั้งที่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้น้องชายขอให้วิญญาณไปสู่สุขคติไปเกิดใหม่ในที่ดีๆ แต่บุญนั้นไม่ได้ผลักให้ภรตไปเกิด แรงอาฆาตแค้นเกาะเกี่ยวดวงวิญญาณให้หยุดอยู่กับบ้านหลังนั้นเวลาผ่านไปหลายสิบปีความแค้นไม่ได้ลบเลือน ภาพิตถอนใจยาว เสียงภวิศดังมาอีก
“ผมไม่ได้สนใจบ้านนะครับคุณย่า ผมอยากรู้ว่าคุณปู่เคยคิดจะทำอะไรแต่ยังไม่ได้ทำน่ะครับ คุณปู่บอกคุณย่าบ้างรึเปล่าครับ”
“เท่าที่ย่ารู้ ปู่ของแกไม่ได้ทำอะไรค้างคาไว้เลยไม่มีอะไรติดค้าง”
“ทำไมคุณปู่จะให้ผมสานต่อละครับ”
“มันแค่ความฝันนะลูก ตื่นแล้วก็แล้วกันไม่มีอะไรหรอกเชื่อย่าเถอะ”
“แต่ว่า..”
“ตาวิศ ความฝันจับต้องไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องจริงอย่าคิดมาก ปู่ภรตของแกไม่มีอะไรติดค้าง”
ภาพิตกดปุ่มวางสายแล้วถอนใจเฮือก ภรตเริ่มแก้แค้นแล้วสินะ ทำอย่างไรหล่อนจึงจะหยุดน้องชายได้ ความแค้นไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมีแต่ทางเสียและผู้ที่อยู่รอบข้างมีแต่ความทุกข์เท่านั้น
ภวิศนั่งนิ่งครู่ใหญ่ หากภรตไม่ได้ทำอะไรค้างไว้แล้วทำไมจึงบอกกับเขาว่าจะให้สานต่องานสำคัญให้เสร็จ เขาอยากเชื่อย่าใหญ่ ความฝันก็คือความฝันไม่ได้เป็นความจริงแต่สิ่งที่เขาพิสูจน์ด้วยตานั้นทำให้เขาเชื่อว่าความฝันไม่ใช่แค่ฝันธรรมดา
“คุณย่าครับ ถ้าความฝันไม่ใช่ความจริงหัวผมจะโนได้ยังไงที่สำคัญยัยปากกรรไกนั่นตามมาอาละวาดถึงออฟฟิศผมได้ยังไง แถมว่าผมปล้ำเธออีกนะครับคุณย่า ผมฝันว่าปล้ำเธอถ้าไม่ใช่เรื่องจริงทำไมเธอจำผมได้ล่ะครับผมก็จำเธอได้ เธอตีหัวผมนะครับคุณย่า”
ชายหนุ่มพูดกับโทรศัพท์แล้วถอนใจอย่างคิดไม่ออกว่าสิ่งที่ภรตต้องการให้เขาทำต่อให้สำเร็จนั้นเป็นอะไร ภาพิตไม่รู้ พัสกรไม่รู้แล้วใครจะรู้
“คุณปู่ครับ ไม่มีใครรู้ว่าคุณปู่ทำอะไรค้างอยู่ คุณปู่เข้าฝันบอกผมหน่อยนะครับผมจะได้ช่วยไงครับถ้าผมไม่รู้ผมจะช่วยได้ยังไงล่ะครับ”
เขาพูดออกมาเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรแต่ครู่เดียวเขาก็หัวเราะออกมาดังๆ เขาเชื่อเรื่องความฝันมากเพียงนี้ทีเดียวหรือ
“ฝันก็เป็นแค่ฝันอย่างคุณย่าพิตบอก เราจะมาซีเรียสทำไมวะเนี่ย”
แม้จะบอกตัวเองว่าให้เชื่อภาพิตพูดแต่ก่อนนอนก็อดคิดถึงหญิงสาวที่เข้ามากระชากแขนเขาถึงออฟฟิศไม่ได้ หล่อนสวย น่ารัก จมูกโด่งเชิดรั้นนิดๆ ริมฝีปากหยัก ตาโต ผิวขาวเนียน สูงโปร่งท่าทางคล่องแคล่ว ปากจัดจ้าน ผิดกับใบหน้าอย่างสิ้นเชิง
รอยยิ้มกระจายเต็มดวงหน้าเข้ม เขาหลับตาลงและหลับอย่างรวดเร็ว ความมืดมิดปกคลุมรอบกาย เท้าก้าวเร็วจนกลายเป็นวิ่ง บ้านทรงร่วมสมัยปรากฏอยู่เบื้องหน้า ครู่เดียวเขาก็ก้าวเข้ามาหยุดยืนหน้าประตูห้องนอนห้องเดิมที่เขาเข้าไปเมื่อคืน บานประตูเปิดผลัวะออก หญิงสาวสะดุ้งผวาลุกพรวด
“ใครน่ะ”