๕ คิดอะไรกันหรือเปล่า (๒)
วรรณวรินขบคิดครู่หนึ่ง กลัวว่าเพื่อนจะมองตนไม่ดี สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วขยับเข้าใกล้นารากานต์มากกว่าเดิม เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้คนที่นั่งอยู่ข้างหลังได้ยินบทสนทนาของตนเอง
“สองมาหาฉันทุกเช้าแบบนี้ แฟนเขาไม่สงสัยเหรอ” เอ่ยถึงภรรยาของชายหนุ่ม ที่น่าจะรักใคร่กลมเกลียวกันดี หรือไม่ก็คงระหองระแหงจนสามีออกมาจีบสาวโดยไม่สนใจว่าตนเองจะมีพันธะแล้ว
ใช่ว่าหล่อนจะมองไม่ออกเรื่องที่เขามาร้านของตนทุกวันเพราะต้องการสานสัมพันธ์ คงไม่มีชายใดเข้ามาซื้อดอกไม้เพื่อเอาไปประดับห้องทำงานของตัวเองทุกวันหรอก แต่เธอไม่เข้าใจสักนิดเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
เมื่อมีครอบครัวอยู่แล้ว...
“แฟน แฟนที่ไหน” ขมวดคิ้วอย่างฉงน พยายามนึกว่าน้องชายไปมีแฟนโดยที่ตนไม่รู้หรือเปล่า ส่วนกิ๊กนั่นไม่นับ
“คนที่เขาแต่งงานด้วยไง” กระซิบเสียงเบาแล้วหันไปหยิบวัตถุดิบลงหม้อเมื่อน้ำเดือด
“โอ๊ย ฉันก็ลืมเล่าให้แกฟังเลย งานแต่งสองล่มเพราะเจ้าสาวแอบมีชู้ แล้วชู้ดันเข้ามาทวงคนของตัวเองคืนกลางงาน เล่นเอาวุ่นกันใหญ่เลย แต่น้องฉันมันนิ่งมาก ไม่โวยวายหรือตกใจเหมือนว่ามันรู้อยู่แล้ว ฉันไปถามเลยได้ความว่าเป็นแผนของมันที่อยากพังงานแต่งของตัวเอง สั่งสอนคนที่หักหลังมันมาตลอด” เป็นการนินทาระยะเผาขน นารากานต์ต้องขยับเข้าใกล้เพื่อนอีกจนแทบจะสิง เล่าอย่างออกอารมณ์โดยบังคับไม่ให้เสียงดังเกินไป
เรื่องนี้ถูกเล่าขานอย่างสนุกสนานในวงสังคมช่วงหนึ่ง ฝ่ายหญิงถึงกับหนีไปต่างประเทศพร้อมชายผู้นั้น แล้วกลับมาเมื่อเรื่องทุกอย่างซาพร้อมลูกน้อยและสามี รักใคร่กลมเกลียวกันน่าดู
แต่คนในครอบครัวไม่มีใครถามทิวากรสักคน เห็นภายนอกอีกฝ่ายไม่มีบาดแผลหรือความเจ็บปวด แต่ใครเล่าจะทราบว่าข้างในแหลกสลายมากเพียงใด
ไม่อย่างนั้นคงไม่คุยกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า เจ้าชู้ชีกอจนคุณหญิงคุณนายต่างเลี่ยงไม่ให้บุตรสาวเข้าใกล้ แต่ก็มีหลายคนที่เห็นแก่ธุรกิจมากกว่า ยังอยากร่วมตระกูลฤกษ์เดชาที่ถือครองทรัพย์สินมหาศาล
“เฮ้อ ไอ้สองมันก็ดีแหละแต่เจ้าคิดเจ้าแค้นไปหน่อย ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็แต่งงานมีลูกล้นบ้านกับผู้ชายที่บุกมาทวงนั่นแหละ ส่วนน้องฉันก็ทำตัวเสเพลประชดชีวิตมั้ง” ถอนหายใจแล้วเหลียวไปมองร่างสูง ที่ยิ้มพึงพอใจยามได้แกล้งศศิมณฑลให้หน้าบึ้ง
วรรณวรินเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินชีวิตที่น่าสงสารของเขา เหลือบมองชายหนุ่มเช่นเดียวกันทำให้คนที่ตกเป็นเป้าสายตาต้องเงยหน้ามองสองสาว พี่สาวจึงรีบถอนสายตาอย่างรวดเร็ว ขณะที่แม่ลูกหนึ่งยังจ้องเขาอยู่อย่างนั้น
“อย่าทำหน้าสงสารมัน เรื่องผ่านไปนานแล้วไอ้สองมันคงลืมหมดแล้วล่ะ ส่วนแก...ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด ฉันรู้นะว่าแกอ่อนไหวง่าย” กระซิบข้างหูจนเจ้าของร้านต้องกลับมาสนใจอาหารตรงหน้า รู้สึกแก้มร้อนผ่าวเมื่อถูกแววตาคมจ้องมอง เจอกันไม่กี่วันก็เหมือนจะพ่ายแพ้ให้แก่ทิวากรเสียแล้ว
นารากานต์เห็นอย่างนั้นก็หรี่ตาแล้วจ้องมองขณะบอกเพื่อน เล่นเอาเจ้าของร้านดอกไม้ต้องแกล้งตีหน้าซื่อ
“ใจอ่อนอะไรกัน”
“ฉันจะไม่ห้ามอะไรแกหรอกนะ แค่อยากให้ดูดีๆ ถึงไอ้สองมันจะเป็นน้องของฉัน แต่ถ้าทำแกเจ็บฉันเอามันตายแน่ ฉันอยู่ข้างแกนะเน่” ตบบ่าเพื่อนแล้วพากันทำอาหารต่อจนเสร็จ ข้อมูลของเขาที่เพิ่งได้ทราบทำให้ความคิดบางอย่างเปลี่ยนไป
จากที่หักห้ามใจตัวเอง ก็เริ่มเปิดใจและลดกำแพงที่ตั้งสูงตระหง่าน...
อาหารถูกเสิร์ฟบนโต๊ะพอดีกับการบ้านของศศิมณฑลเสร็จเรียบร้อย เด็กน้อยจึงเก็บของแล้วนำไปใส่ไว้ในกระเป๋า ปล่อยผู้ใหญ่รับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
“กินไปเลยนะ เดี๋ยวฉันขอไปส่งดอกไม้ก่อน” ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วแขวนไว้ที่ผนังข้างห้องครัว ร่างหนาได้ยินอย่างนั้นก็ผุดลุกจากเก้าอี้เตรียมพร้อม
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่ต้อง กินข้าวไปนั่นแหละ” ปฏิเสธอย่างรวดเร็วเมื่อเขาขันอาสาเสียงหนักแน่น
“ไม่เป็นไรเลย ผมอิ่มแล้ว” ลืมชั่วขณะว่าตนเป็นคนบอกว่าหิวจนหล่อนต้องย้ำเตือนความทรงจำของเขาสักหน่อย
“ไหนบอกยังไม่ได้กินอะไรไง”
“อ้อ ใช่...” เสียงแผ่วลงเมื่อจำคำพูดของตัวเองได้ และมันขัดขวางการอยู่สองต่อสองกับเธอ
“กินไปเถอะ อยู่ใกล้ๆ นี่เองพี่ไปได้ ไม่ถึงสามสิบนาทีจะรีบกลับ” คำปลอบพอจะทำให้ยิ้มออกมาได้บ้าง เมื่อคิดว่าเธอก็ค่อนข้างห่วงความรู้สึกเขาเหมือนกัน
ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังเล็กที่ไปยังร้านด้านหน้า และเตรียมส่งดอกไม้ที่บริษัทโฆษณาซึ่งอยู่ห่างจากร้านไม่มาก จึงสามารถขับมอเตอร์ไซค์ไปได้โดยง่าย
คนเป็นพี่เห็นแววตาของน้องก็ส่ายศีรษะแล้วรับประทานอาหาร หล่อนเหมือนได้ทิวากรคนเดิมกลับคืน ย้อนเวลาไปสมัยรักแรก...ดูสดใสและมีชีวิตชีวา
“ให้มันน้อยหน่อยเถอะ ฉันเห็นแล้วหมั่นไส้” เขาหันมามองพี่สาวแล้วถอนหายใจ “หาคนมาจีบสิจะได้เลิกอิจฉา เลือกเอาที่แม่หาให้สักคน..” ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์จนหล่อนต้องรีบส่ายหน้าแล้วหันมาสนใจอาหารมากกว่าต่อปากต่อคำ
“ไม่เอาหรอก ชีวิตฉันจะได้เป็นทาสแม่ตลอดไปน่ะสิ ฉันจะต้องหาคนที่มากำราบแม่ได้” นึกอย่างหมายมาดแต่ก็ไม่รู้ว่าใครจะกำราบคุณภวิกาได้
เพราะถ้าเธอยอมคบกับคนที่ท่านหามา ก็คงต้องยอมตลอดไป...ตกเป็นรองมาตลอดทุกเรื่องจนคิดว่าอยากเลือกเรื่องความรักเอง
ศศิมณฑลเดินลงมาจากชั้นสองพร้อมตุ๊กตาคิตตี้ซึ่งคนที่ซื้อมาให้คือทิวากร เขาหมั่นนำของมาเอาใจเด็กน้อยทุกวัน ส่วนมากจะให้ของเล่นบนรถและวรรณวรินไม่สามารถปฏิเสธได้เมื่อเห็น เพราะลูกสาวรับของมาแล้ว
“น้องยิหวาชอบที่อาสองมาอยู่ด้วยไหม” ถามลองเชิงก่อนหนูน้อยจะหันมองคุณอาที่ส่งยิ้มแก้มปริมาให้ คิดว่าคำตอบก็ต้องเป็นอย่างที่ตนต้องการอยู่แล้ว
“ไม่ค่ะ” ทว่าหนูน้อยกลับปฏิเสธพร้อมส่ายหน้าเสียอย่างนั้น เขาหุบยิ้มทันทีขณะที่พี่สาวหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข
“ฮ่าๆๆๆๆ หลานป้าจริงใจมาก” ปรบมือและยกนิ้วโป้งให้เด็กน้อยที่ยิ้มกว้าง คุณป้าหนึ่งผู้น่ารักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
“ไม่เห็นแก่มิตรภาพของเราเลยเหรอยิหวา เราเป็นพันธมิตรกันแล้วไง” เขาเองก็พยายามประจบเพื่อให้เป็นที่รักของศศิมณฑลถึงมันจะไม่เป็นไปอย่างหวังก็ตาม
“ขอคิดดูก่อนแล้วกันค่ะ” แบ่งรับแบ่งสู้ แต่ที่จริงเธอก็เริ่มชอบคุณอาบ้างแล้ว ทว่าบางครั้งทิวากรก็ชอบล้อให้โกรธแล้วมาโอ๋ทีหลัง
อย่างนี้จะเป็นที่รักได้ไงล่ะ...
เธอจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ริมฟุตบาธเส้นสีขาวดำ แล้วรีบเข้ามาในอาคารสูงซึ่งแต่ละชั้นจะแบ่งให้เช่า หล่อนตรงไปยังประชาสัมพันธ์ที่อยู่ข้างล่าง พร้อมดอกไม้ช่อโตทำให้หลายคนเหลียวมองอย่างสนใจ ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของดอกไม้งาม
“สวัสดีค่ะ มาจากร้านมง นามูร์ค่ะ ดอกไม้ของคุณช่อวิลัยที่สั่งไว้เมื่อวาน” วาจาฉะฉานทำให้อีกฝ่ายเข้าใจโดยง่าย
“อ้อ คุณช่อบอกไว้แล้วค่ะ นี่ค่าดอกไม้...ขอบคุณนะคะ” หยิบเงินเพื่อจ่ายตามจำนวน เธอรับเรื่องเอาไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ทุกอย่างจึงไหลลื่นใช้เวลาไม่นานร่างบางก็ได้กลับร้าน
“ขอบคุณค่ะ” ค้อมศีรษะพร้อมยิ้มกว้างเป็นการขอบคุณ รีบเดินออกมาโดยไม่ทันได้ดูทางข้างหน้า จนเผลอชนเข้ากับคนที่เดินเข้ามาในอาคารสูงพอดี และเขาก็จับแขนของหล่อนไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น เล่นเอาใจหายใจคว่ำหมด...
ใบหน้าหวานเงยขึ้นสบตาคนที่ช่วยตนเองเอาไว้ พบว่าเขาน่าจะทำงานที่นี่เพราะสวมชุดสูทราคาแพง แต่ที่ไม่เข้าใจคือวันหยุดยังต้องมาทำงานด้วยเหรอ
ต่างจากความรู้สึกของร่างสูงที่เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะยามได้สบดวงตาหวานหยาดเยิ้มราวน้ำผึ้ง เขาเหมือนเป็นดวงดารานับล้านพร่างพราวแสงในนั้น ดั่งต้องมนต์สะกดเป็นอย่างไร...วันนี้เขาได้ทราบแล้ว
“เอ่อ คุณคะ” เรียกเสียงเบาเพื่อบอกกรายๆ ว่าให้ชายหนุ่มปล่อยตนได้แล้ว เขาสะดุ้งแล้วรีบผละออกอย่างรวดเร็ว
“ครับ อ้อ ขอโทษครับ ผมไม่ทันระวัง” ค้อมศีรษะเป็นการขอโทษ แล้วมองใบหน้าหวานอีกครั้งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ดวงตากลมโตพราวแสง จมูกโด่งรับกับใบหน้าและริมฝีปาก แก้มนวลแดงฝาด คิ้วโก่งเรียวสวย ทุกเครื่องหน้าของหล่อนล้วนประกอบกันอย่างลงตัว
และเขาชอบมันเข้าเสียแล้ว...
“ฉันต้องขอโทษมากกว่าค่ะที่ไม่ดูทางให้ดี ขอบคุณที่ช่วยนะคะ” ขอบคุณเขาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะรีบออกไปจากอาคารแล้วตรงกลับบ้าน ปล่อยร่างสูงให้มองตามจนเธอลับสายตา โดยมุมปากยังคงยกยิ้มมีความสุข
ตรงเข้าไปยังประชาสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว แล้วสอบถามถึงเรื่องข้องใจ “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ” เขาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดตนถึงได้สนใจหญิงสาวที่แสนธรรมดา ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าหรูหราหรือแต่งหน้าจัดเต็ม
ทว่ากลับมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด...ที่โดนใจเขาเหลือเกิน
“น่าจะเป็นพนักงานร้านดอกไม้ค่ะ เห็นมาส่งดอกไม้ให้คุณช่อวิลัย” ไม่น่าล่ะ ทำไมได้กลิ่นหอมมาจากกายบอบบาง
“มีนามบัตรไหม” ช่องทางการติดต่อที่เขาพอจะคิดได้ ตอนแรกนึกเสียดายที่อาจเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เจอ แต่เหมือนฟ้าจะเป็นใจให้พวกเขาได้เจอกันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้อาจต้องอาศัยความพยายามของตนเองแล้ว
“มีค่ะ...คุณช่อวิลัยฝากเอาไว้”
“ผมขอได้หรือเปล่า” ดวงตาวาววับไม่ปิดบังว่าดีใจมากแค่ไหน และคราวนี้เหมือนสาวประชาสัมพันธ์จะได้หัวข้อใหม่เอาไปคุยกับเพื่อนแล้ว
คุณปภพ วิมลเมฆา เจ้าของอาคารแห่งนี้และมีที่ดินเป็นทำเลทองหลายแห่งในเมืองหลวง ความร่ำรวยไม่ต้องพูดถึง มีสาวเข้าคิวให้เลือกยาวเป็นหางว่าว ถึงชายหนุ่มจะเป็นพ่อม่ายลูกติด ก็ไม่มีใครคิดว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด
กำลังพยายามเข้ามาทำความรู้จักหนุ่มน้อยรูปงาม อยากเป็นแม่ของเขากันทั้งนั้น แต่ยังไม่เคยมีใครผ่านด่านเลยสักคน
ยกเว้นพนักงานร้านดอกไม้คนเมื่อครู่...
“ได้ค่ะท่าน” มอบนามบัตรให้ชายหนุ่ม เขายกขึ้นมาอ่านชื่อร้านแล้วเงยหน้ามองคนตรงข้ามพร้อมค้อมศีรษะอีกครั้ง
“ขอบคุณครับ” เดินเข้าไปในตัวอาคารแล้วยกยิ้มมุมปาก ดูเหมือนว่าเขาจะต้องได้แวะไปร้านดอกไม้ตามนามบัตรเสียแล้ว
มง นามูร์...ความรักของฉัน
กลับมาจากส่งดอกไม้เธอก็ยังต้องร้อยพวงมาลัยตามออเดอร์สำหรับส่งวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครช่วยได้เพราะพี่น้องบ้านฤกษ์เดชาเคยทำเสียที่ไหน นารากานต์จึงทำได้เพียงต้อนรับลูกค้าคนอื่นพร้อมกับพนักงานอย่างขิมและโอ่ง ส่วนพี่อีกคนเป็นวันลาจึงไม่ได้มาทำงาน
ร้านดอกไม้เต็มไปด้วยผู้คนจนแน่นขนัด ร่างสูงอยู่หลังร้านแล้วแกล้งศศิมณฑลจนโดนตีไปสองรอบ คุณแม่ต้องคอยดุไม่ให้ใช้ความรุนแรง แต่ทิวากรก็ดื้อน้อยซะเมื่อไหร่ คอยกวนโมโหเด็กหญิงไม่หยุด
จนถึงช่วงเย็นเจ้าของร้านเสร็จจากงานจึงอาสามาซื้อของสดเพื่อทำอาหารเย็น ร่างสูงรีบขอติดสอยห้อยตามไม่ปล่อยโอกาสเสียเปล่า
“ผมว่าเอาอันนี้ดีกว่า ยิหวาน่าจะชอบกินเยลลี่” ซื้อของสดเรียบร้อยก็เข็นรถไปยังโซนขนม แล้วหยิบเยลลี่สีสันต่างๆ เพื่อไปเอาใจเด็กหญิง ทว่าของทั้งหมดถูกหยิบกลับไปวางที่เดิม พร้อมแววตาดุของร่างบาง
“ลูกสาวพี่ พี่รู้ดีว่าชอบอะไร” คนโดนขัดใจทำหน้ายู่ แล้วเลื่อนรถเข็นเดินตามหล่อน เขาแอบอมยิ้มที่ได้อยู่กันสองคนสมใจ
“ผมก็กำลังเรียนรู้ไง ว่าชอบอะไร..” คำว่าชอบเหมือนมีนัยยะบางอย่าง ที่ทำให้หญิงสาวไม่กล้าหันไปมองหรือสบตาเขาด้วยซ้ำ
“นายไม่เห็นต้องตามมาด้วยเลย ของแค่นี้พี่ซื้อเองได้” รีบเปลี่ยนเรื่องโดยไวแล้วเลือกซื้อของที่ลูกสาวชอบ หรือบางทีอาจจะเป็นเธอที่บังคับให้ลูกชอบเพราะมีประโยชน์กว่าขนมขบเคี้ยวทั่วไป
“พี่ถือกลับไปไม่ไหวหรอก อีกอย่างผมก็ชอบมาเดินเล่น ชอบถือของหนัก ชอบบริการอยู่แล้วด้วย” ดวงตาคมมองหญิงสาวจากทางด้านหลัง จนเจ้าของร่างรู้สึกว่าแผ่นหลังกำลังถูกเผาไหม้ อยู่กับทิวากรไม่เคยสงบสุขสักที
เธอเหมือนวัวสันหลังหวะที่กลัวสักวันความลับจะถูกเปิดเผย แล้วผลที่ตามมามันอาจจะไม่ได้สุขสมดั่งใจ...
“ทำแบบนี้กับผู้หญิงบ่อยสินะ”
“ไม่นะ...มาเดินซื้อของแบบนี้กับพี่คนแรกเลย” ปกติไม่เคยมาเลือกซื้อวัตถุดิบไปทำอาหารกับใครเลย ผู้หญิงที่คบส่วนมากก็เข้าครัวไม่เป็น เพราะฉะนั้นถ้านับเรื่องมาเลือกซื้อของสดก็ถือว่าวรรณวรินเป็นคนแรก
หล่อนถึงกับลมหายใจสะดุด หยิบของใกล้มือแล้วเอาลงรถเข็น ไม่รู้ว่ามันจำเป็นหรือเปล่าแต่แค่อยากให้บทสนทนาผ่านไปโดยเร็ว
ใครจะคิดว่าเจอกันครั้งนี้เขาจะแพรวพราวมากกว่าเดิมล่ะ เล่นเอาใจสั่นทุกประโยคที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย ถ้าชายหนุ่มรู้เรื่องศศิมณฑลจะเป็นอย่างไรนะ...
“ตอนเย็นนายอยากกินอะไร”
“อะไรก็ได้ พี่ทำอร่อยหมดเลย” ไม่ได้ยอเกินจริงเพราะวรรณวรินทำอาหารอร่อยจริง เหมือนว่าเขาจะติดรสมือของหล่อนไปแล้ว อยากมาฝากท้องที่ร้านทุกวันเลย
ถ้าเธออนุญาต...
ย้ายมาโซนของใช้แล้วซื้อกลับไปด้วยเลย ไหนๆ ก็ได้ออกมาแล้วหญิงสาวจะได้ไม่ต้องมาอีกหลายรอบ จัดการหยิบของที่ต้องการทั้งหมดแล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์คิดเงิน
“ความจริงอายุเราก็ไม่ได้ห่างกันมากเท่าไหร่ ถ้าผมไม่เรียกเน่ว่าพี่ได้ไหม” แต่ร่างสูงก็เอ่ยแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หล่อนจึงหันมามองคนที่แสร้งทำหน้าคิดหนัก ทั้งที่เมื่อสักครู่ได้ถือวิสาสะเรียกชื่อเล่นของวรรณวรินไปแล้ว
“นายกำลังทำอยู่นะเมื่อกี้” ดวงตาดุแต่แก้มนวลกลับแดงปลั่ง หล่อนพยายามจิกขาตัวเองไม่ให้ใจเต้นไปกับแววตาและน้ำเสียงทุ้ม ยามเอ่ยเพียงแค่ชื่อเล่นของตน
มันช่าง...ชวนจักจี้หัวใจเหลือเกิน
“งั้นเน่ก็ตกลงใช่ไหม ผมจะได้เรียกแค่เน่..ไม่ต้องมีพี่นำหน้า”
“ปีนเกลียวหรือไง”
“ได้ไหมล่ะ” เหมือนต้องการท้าทาย สองสายตาสบกันนิ่งเหมือนหยั่งเชิง และเป็นหล่อนเองที่หลบสายตาพร้อมปฏิเสธไม่ให้เขาเรียกเช่นนั้น เพราะกลัวว่าวันหนึ่งกำแพงที่ตั้งไว้สูงมันจะพังทลายลงมาภายในพริบตาเดียว
“ไม่ได้”
“ครับเน่” ยกยิ้มมุมปากขณะที่หล่อนจ้องหน้าเขานิ่ง หญิงสาวไม่อาจพูดสิ่งใดได้อีกกลัวจะเผลอยิ้มออกมา จึงรีบเสหน้าหลบแล้วหยิบของทั้งหมดที่ถูกคิดเงินแล้วมาถือเอาไว้ ทว่าร่างหนาก็รีบคว้าไปถือให้อย่างรวดเร็ว
เธอจึงมีหน้าที่แค่จ่ายเงินและเดินนำเขาเพื่อไปยังรถซีดานซึ่งจอดอยู่ชั้นวีไอพี ทิวากรก้าวเท้าตามหลังหล่อนแล้วอมยิ้มมีความสุข หัวใจเบิกบานยิ่งกว่ารักครั้งไหนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังจึงชะงักฝีเท้า แล้วค่อยเหลียวกลับไปมอง
“สอง..” ดวงตาคมเบิกกว้างไม่คิดว่าจะเจอท่านที่นี่
“แม่”
คุณภวิกามารดาของเขาเอง!