๕ คิดอะไรกันหรือเปล่า (๑)
๕
คิดอะไรกันหรือเปล่า
การปรากฏตัวทุกเช้าของหนุ่มหน้าหล่อดูจะเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว เขามักเข้ามาทั้งที่หน้าประตูติดคำว่าปิดเอาไว้อย่างชัดเจน ถึงเธอจะล็อคเอาไว้เขาก็ยังอุตส่าห์เดินอ้อมมาทางข้างหลังเพื่อทักทาย
แถมยังอาสาไปส่งศศิมณฑลที่โรงเรียนอีกต่างหาก มันไม่ปกติและไม่ควรเป็นแบบนี้เลย...
วันหยุดของชายหนุ่มที่มักออกไปหาเพื่อน หรือเข้าวงสังสรรค์ของกลุ่มนักธุรกิจจะได้เอื้อผลประโยชน์ต่อกิจการ แต่เขากลับเลือกมาอยู่ร้านดอกไม้กับเจ้าของร้านและเด็กน้อยที่ดีกันสามวันทะเลาะกันอีกสี่วัน
อย่างเช่นเมื่อวันก่อนที่มอบกระเป๋าคิตตี้ให้ ซึ่งดูเหมือนเด็กน้อยจะชอบมาก แต่พอวันต่อมาก็หลงลืมไปชั่วขณะแล้วต่อปากต่อคำดังเดิม
“มาส่งฉันแกก็ไปได้แล้ว จะตามเข้ามาทำไม” เหวน้องชายที่ยังเดินตามเข้ามาข้างใน รู้ว่าที่อีกฝ่ายเสนอตัวมาส่งเพราะต้องการมาหาใคร
ก็เพื่อนสนิทของเธออย่างไรเล่า
“ทำไมผมจะตามพี่มาไม่ได้ นี่เป็นบ้านพี่หรือไงล่ะ เจ้าของร้านยังไม่ว่าอะไรผมเลย ใช่ไหมพี่เน่” ส่งยิ้มหวานเมื่อเรียกชื่อเจ้าของร้าน ตอนนี้หล่อนอยู่ในชุดไปรเวทและสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนเนื้อดี มองอย่างไรก็สวยจนเขายิ้มไม่หุบ คนเป็นพี่สาวเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว
“แล้วพี่ไล่นายได้ด้วยหรือไงล่ะ” ตอบเสียงเรียบแล้ววางดอกไม้ที่กำลังจัดไว้บนโต๊ะดั่งเดิม หล่อนสามารถจ้องตาทิวากรได้นานกว่าเดิม ถึงจะแค่ห้าวินาทีก็ตาม
“ฮ่าๆๆ หมายความว่าเพื่อนฉันอยากไล่แกออกจากร้าน แต่ด้วยมารยาทก็ไม่สามารถทำได้ไงล่ะ” หัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ แล้วเดินมากอดไหล่เพื่อนสนิทเอาไว้
“พี่คงอยากไปกินข้าวกับคนที่แม่นัดมากสินะ โอเคเลย...เดี๋ยวผมโทร”
รู้จุดอ่อนของพี่สาวเป็นอย่างดีจึงแสร้งทำเป็นจะโทรหามารดาเพื่อบอกว่านารากานต์ว่างพอจะไปรับประทานอาหารกับหนุ่มสักคนที่ท่านหามาให้ แต่ร่างบางก็รีบผละไปเกาะแขนน้องสุดที่รัก
“สองน้องรัก หยุดการกระทำของแกเดี๋ยวนี้” กัดฟันบอกเสียงแข็ง แล้วค่อยหันไปมองเพื่อนรักที่ยืนดูพี่น้องหยอกล้อกัน
บางทีเธอก็นึกอิจฉาและอยากมีพี่น้องบ้าง แต่กลายเป็นตัวคนเดียวเพราะไม่มีใครต้องการ ส่วนญาติสนิทก็ไปทำงานที่ต่างประเทศ ส่งเงินกลับมาให้ใช้บ้างในบางคราว พอหล่อนมีงานประจำก็เลิกส่งซึ่งเธอคิดว่าดีแล้วล่ะ
จะได้ไม่ต้องเป็นบุญคุณให้ถูกทวงอีก
“เนเน่ แกต้อนรับน้องชายของฉันหน่อยนะ ถือว่าทำบุญทำทานแล้วกัน” ทิวากรยกยิ้มเมื่อจัดการพี่สาวได้อยู่หมัด
“เฮ้อ เข้ามาสิ มาเช้าขนาดนี้กินอะไรมาหรือยัง” จำต้องต้อนรับพี่สาวและน้องชายของบ้านฤกษ์เดชาเข้ามาข้างใน เธอเดินนำสองคนไปหลังร้านที่เป็นห้องรับประทานอาหาร
“ยังเลย เช้านี้ขอฝากท้องไว้ด้วยนะครับ” รีบบอกเสียงอ่อนแล้วยกมือขึ้นลูบท้อง ทำเหมือนว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องทั้งที่ก่อนออกบ้านยัดแซนวิชเข้าไปแล้วหนึ่งชิ้นและกาแฟดำอีกหนึ่งแก้ว หล่อนมองน้องชายแล้วส่ายศีรษะอย่างระอา
“ตอแหลได้โล่” กระซิบข้างหูเสียงเบา
“พอกันกับพี่นั่นแหละ” มีหรือที่ทิวากรจะยอม เขาโต้กลับแล้วยักคิ้วอย่างเป็นต่อ จนโดนสายตากลมดุจากพี่สาว
ห้องอาหารถูกจับจองด้วยเด็กหญิงที่กำลังนั่งทำการบ้านด้วยใบหน้าคิ้วขมวด เห็นอย่างนั้นร่างสูงก็เดินเข้าไปเลื่อนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ข้างๆ เพื่อจะได้ทักทาย
หลายวันมานี้เขาแวะร้านดอกไม้ทุกเช้า และเป็นสารถีไปส่งศศิมณฑลที่โรงเรียน ทั้งยังเดินไปส่งถึงหน้าห้อง จนแทบจะสนิทสนมกับครูประจำชั้น ทิวากรวางแผนไว้ว่าจะเริ่มแทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันของสองแม่ลูก เพื่อให้เคยชิน...จนขาดไม่ได้
“เด็กดื้อ ทำไรน่ะ” เท้าคางมองการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ที่มีแค่วิธีบวกกับลบทว่าเหมือนเด็กหญิงจะไม่ถนัดเอาเสียเลย
“ไม่บอกหรอก” คำว่าสงบศึกใช้ไม่ได้กับสองคนนี้ ต่างต่อปากต่อคำกันเป็นปกติเหมือนเรื่องสนุกสนาน
“รู้หรอกว่าทำการบ้าน”
“รู้แล้วอาสองถามทำไมอ่ะ” หันมามองหน้าตาเฉย เห็นแล้วมันน่าหมั่นเขี้ยวจนอยากหยิกแก้มจริงๆ
“อยากถาม มีปัญหาหรือไง” เลิกคิ้วถามอย่างหาเรื่อง เล่นเอาหญิงสองคนที่มองต้องถอนหายใจ โดยเฉพาะวรรณวรินที่แย้มยิ้มเล็กน้อย กุมมือไว้หน้าขาแล้วบีบแน่น บ่อยครั้งที่เห็นภาพพ่อลูกอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่อาจบอกความจริงได้
“เชอะ” สะบัดหน้าไปทางอื่น แล้วก้มนับเลขเหมือนเดิม
“ให้สอนไหม เรื่องเลขอาถนัดนะ เคยสอบได้ที่หนึ่งของห้องตั้งหลายครั้ง” โอ้อวดอย่างภาคภูมิใจ ระดับทิวากรแทบจะข้ามชั้นไปเรียนกับรุ่นพี่ได้ จุดเด่นคือคณิตและวิทยาศาสตร์ ส่วนจุดอ่อนก็คือศิลปะที่เขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากกว่าจะได้เกรดสี่มาครอง
“ไม่เอาหรอก หนูทำเองได้”
“ตามใจ ทำไม่เป็นอย่ามาถามแล้วกัน” แสร้งหันหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจ แต่ก็แอบมองเด็กหญิงที่ทำการบ้าน
วรรณวรินเดินมาทำอาหารโดยนำวัตถุดิบออกจากตู้เย็น เธอทำไข่เจียวห่อข้าวผัดให้ลูกสาวกินจนอิ่มแล้ว แต่เพราะแขกทั้งสองยังไม่ได้รับประทานอาหารจึงต้องทำเมนูใหม่ โดยมีคุณหนูบ้านฤกษ์เดชาเป็นลูกมือคอยหยิบจับและล้างผักช่วยข้างกาย
“น้องชายฉันมาร้านแกบ่อยหรือเปล่า” เข้ามากระซิบแล้วเหลือบไปมองน้องชายที่ยังคงหยอกศศิมณฑลจนสาวน้อยต้องยอมให้สอนการบ้าน
“ทุกเช้า..” พรูลมหายใจเสียงเบา ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอีกฝ่ายต้องมาหาหล่อนที่ร้านทุกเช้า พร้อมซื้อดอกไม้ไปด้วยบอกว่าจะตกแต่งห้องทำงาน
ไม่ใช่ป่านนี้ทั้งห้องเต็มไปด้วยช่อดอกไม้หมดแล้วเหรอ...
“ฮะ จริงเหรอ ไม่น่าล่ะไปงานสายตลอด ที่แท้ก็มาทำคะแนนนี่เอง” พึมพำกับตัวเองแล้วก็จัดการนำผักที่ล้างไปให้เพื่อน ค่อยหันมาหยิบเนื้อหมูเพื่อเตรียมหั่น ปกติเธอเคยแตะของพวกนี้เสียที่ไหนล่ะ แม่บ้านทำให้ตลอดแทบไม่ได้เข้าครัวเองเลยสักครั้ง
วรรณวรินมองเพื่อนสนิทแล้วทำท่าครุ่นคิด ไม่รู้ว่าตนควรถามเรื่องที่ข้องใจดีหรือเปล่า ขณะที่ต้มน้ำเพื่อเตรียมทำต้มจืดมะระของโปรดเพื่อนก็เหลือบมองนารากานต์บ่อยครั้ง
“หนึ่ง ฉันมีอะไรจะถามแกหน่อย” ลดเสียงลงแล้วเหลือบมองสองพ่อลูกที่กำลังสอนการบ้านกัน ด้วยท่าที...ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่
ดวงตากลมอ่อนแสงลงมาก ไม่รู้ว่าผิดหรือเปล่ายามเห็นภาพนี้ถึงได้อบอุ่นใจทุกครั้งไป แม้รู้ว่ามันไม่ควรรู้สึกเช่นนั้น เพราะอย่างไรร่างสูงก็มีครอบครัวแล้ว..
“อะไรล่ะ ว่ามาสิ”