๔ ดลใจให้ครองคู่ (๒)
“ขอโทษค่ะอาสอง” ถึงน้ำเสียงจะไม่ได้แสดงถึงความจริงใจ แต่เขาก็น้อมรับเพราะตนเองก็ผิดเหมือนกันที่ไปว่าเด็กหญิงเช่นนั้น แต่ยังไม่ทันที่ร่างหนาจะเอ่ยตอบกลับ วรรณวรินก็ลุกยืนเพื่อสบตากับเขา แล้วบอกด้วยเสียงหนักแน่น
“นาย...ขอโทษลูกของพี่ด้วย” ย้ำคำว่าลูกของพี่เพื่อให้มันสลักไปถึงก้นบึ้งของหัวใจทิวากร ว่าศศิมณฑลเป็นลูกของเธอ...เพียงผู้เดียว
“นายไม่ควรล้อเด็กแบบนั้นเพราะมันอาจจะเป็นปมเขาไปจนโต” ตอนนี้เธอกำลังกลายร่างไปเป็นแม่เสือที่ปกป้องลูกน้อยจากอันตราย ทว่าเขาน่ะหรือคนอันตราย ถึงอยากอธิบายตัวเองแต่ก็ต้องตามน้ำไปก่อน
ยังเหลือเวลาอีกเยอะให้พิสูจน์ว่าตนก็มีข้อดีเหมือนกัน
“อาขอโทษ...หนูสวยมากเลยไม่ปากกว้างหรอก” โน้มลงมาเพื่อบอกเด็กน้อย พยายามแสดงถึงความจริงใจเพื่อเอาใจลูกของผู้หญิงที่ตนหมายตา แม้จะร้อนรุ่มทรวงอกอยากรู้ว่าพ่อของยิหวาเป็นใครก็ตาม
“แต่อาก็หน้าเป็ดอยู่ดี” พึมพำคนเดียว สองสายตาสบกันนิ่งไม่มีใครพูดอะไรอีก เหมือนรู้กันว่าคำขอโทษก็แค่ฉากหน้าเพื่อให้ผ่านพ้นเหตุการณ์ที่มีกรรมการคอยคุม
เธอมองทั้งสองที่ขยับออกห่างกันพลางพรูลมหายใจ ไม่รู้มีเรื่องอะไรถึงตั้งแง่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ สงสัยคงต้องถามลูกสาวเสียหน่อยแล้ว
“เอาล่ะ นายรอที่นี่แล้วกันถ้าอยากได้ดอกไม้ พี่จะไปส่งลูก” จำต้องแทนตัวเองกับรุ่นน้องอย่างนั้น กำลังจะปลดผ้ากันเปื้อนออกแต่เขารีบเข้ามาคว้ามือหล่อนเอาไว้ก่อน และหญิงสาวก็หยุดชะงักเหมือนถูกแช่แข็ง
“ไม่เป็นไร พี่ทำให้ผมก็ได้ ส่วนลูกสาวของพี่เดี๋ยวผมไปส่งที่โรงเรียนเอง” ขันอาสาอย่างเต็มใจ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือออกจนหล่อนได้สติรีบปลดมือของตนเองอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกนอกอกอยู่แล้ว
เพียงแค่แตะกันเล็กน้อย เธอเป็นได้มากขนาดนี้เลยเหรอ...
“ไม่ หนูไม่ไปกับอา..สอง” สะบัดหน้าแล้วเข้าไปใกล้มารดา เกือบเผลอเรียกอาหน้าเป็ดแต่ก็ยั้งปากเอาไว้แล้วเรียกตามที่ควรจะเรียก
“ไปสิ เดี๋ยวจะตามใจทุกอย่างเลย ลูกพี่เรียนที่ไหน” เขาย่อกายลงมาหาหนูน้อย พยายามเกลี่ยกล่อมพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่
เพราะความประทับใจครั้งแรกที่มีต่อกันค่อนข้างติดลบ เลยต้องเร่งทำคะแนนสักหน่อย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า เช้านี้ผมว่างไปส่งได้ บอกมาเร็วว่าลูกพี่เรียนที่ไหน” ยังเร่งรัดถึงหล่อนจะค่อนข้างลำบากใจ ก้มมองลูกสาวตัวน้อยสลับกับมองทิวากรซึ่งยังคงตื้อไม่เลิก
“ถ้าพี่ไม่บอกผมก็ไม่ไปทำงาน แล้วก็ไม่ยอมให้ลูกพี่ไปโรงเรียนด้วย” ยืนกรานจะไปส่งท่าเดียวจนหล่อนต้องถอนหายใจ เหนื่อยกับความเอาแต่ใจของน้องชายเพื่อนสนิท
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชายหนุ่มเป็นคนเช่นนี้ แน่ล่ะ...เจอกันครั้งแรกก็ขึ้นเตียงมีเวลาที่ไหนไปศึกษานิสัยใจคอล่ะ
“ทำไมดื้อแบบนี้นะ อยู่โรงเรียน...” ประโยคแรกพูดกับตนเอง ส่วนประโยคหลังก็บอกชื่อโรงเรียนของลูกสาว
“โอเค ไปเร็วเด็ก เดี๋ยวจะไปส่งถึงหน้าห้องเรียนเลย ป่ะ” เขาเอื้อมไปคว้ามือของศศิมณฑลแล้วพยายามกล่อมให้เด็กหญิงเชื่อตัวเอง ถึงมันจะค่อนข้างยากก็เถอะ
“ง่า แม่คะ” ดวงตากลมเว้าวอนจนหล่อนต้องพยายามเกลี่ยกล่อมคนตัวเล็ก
“ไปกับอาสองนะลูก เดี๋ยวตอนเย็นแม่ไปรับ...ฝากลูกสาวพี่ด้วยนะ” ย้ำคำว่าลูกสาวแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะได้ยินเพียงคำอนุญาตให้ไปส่งยิหวาเท่านั้น
“ครับ”
แล้วสองพ่อลูกที่ไม่รู้สถานะแท้จริงของตนก็เดินออกจากร้าน หนูน้อยเหลียวมามองมารดาค่อยหายลับเข้าไปในรถซีดานโดยมีสายตาของวรรณวรินมองตาม
หล่อนจะใจร้ายเกินไปหรือเปล่าที่ไม่บอกความจริงกับเขา
แต่เพราะคิดว่าเลี้ยงลูกคนเดียวได้ และพวกตนก็ไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน อีกฝ่ายก็มีครอบครัวไปแล้ว ให้มันเป็นแบบนี้ดีที่สุด อย่าเพิ่มความปวดหัวให้ชีวิตแสนราบเรียบนี้อีกเลย
บนรถซีดานระหว่างทางไปโรงเรียนของหนูน้อย ไม่มีใครพูดอะไรและศศิมณฑลก็คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถยนต์เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เพราะปกติได้แต่ซ้อนมอเตอร์ไซค์และรับลมพร้อมฝุ่นควัน
“นี่...เรามาสงบศึกกันไหม” ระหว่างจอดรถติดไฟแดงก็หันมาถามอย่างเป็นมิตร แต่แววตาใสซื่อกลับดูฉงน
“สงบศึก..คืออะไร” ลืมไปเสียสนิทว่าเด็กตรงหน้าอายุแค่ห้าขวบ คงไม่รู้ศัพท์บางคำ จึงต้องอธิบายให้กระจ่าง
“หมายถึงเลิกทะเลาะกันน่ะ เรื่องที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไป อย่าถือสาเอาความกันเลยนะ” อ้อนตาปริบเพื่อขอความเห็นใจ พอรู้ว่าศศิมณฑลเป็นลูกของใครเขาก็ไม่พลาดโอกาสที่จะทำคะแนนทันที รู้อย่างนี้ไอศกรีมวันนั้นเขาคงไม่แย่งไปหรอก
“ความจริงอาก็ไม่ได้คิดจะแย่งของหนูเลย แค่หยอกเล่นหน่อยเอง เรามาดีกันเถอะ นะๆ” เหลือบมองไฟจราจรยังเห็นว่าแดงก็รีบรัวลิ้นเพื่อไม่ให้เด็กน้อยขุ่นข้องหมองใจ ยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าลูกสาวของวรรณวริน
เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิดทั้งที่ใจก็เริ่มเอนเอียงแล้ว มองคุณอาที่คิดว่าคงรู้จักกับมารดาเป็นอย่างดีก็ไม่ค่อยไว้ใจ แต่เพราะจำคำสอนของแม่ได้ว่าให้เป็นคนรู้จักอภัยจึงต้องพยักหน้าแล้วเกี่ยวก้อย เพื่อเป็นการคืนดีกัน
“ก็ได้”
“เยี่ยม!” ใบหน้าคมฉีกยิ้มกว้าง แล้วเคลื่อนตัวรถเมื่อเห็นสัญญาณสีเขียว เขาแก้ปัญหาไปได้หนึ่งเปราะแล้ว การเล่นกับเด็กน้อยจะยากแค่ไหนกันเชียว
“หนูชอบนั่งรถของอาไหม” เริ่มหาโอกาสให้ตนเอง การเข้าถึงแม่น่าจะยากเพราะเธอค่อนข้างจะปิดกั้น ถึงเขาพอมองออกว่าหล่อนเองก็เขินอายบ้างบางเวลา แต่กำแพงในใจของวรรณวรินก็น่าจะสูงพอควร
อีกอย่างเขายังสงสัยเรื่องพ่อของศศิมณฑล...
“อืม...ชอบ” พยักหน้าแล้วตอบตามที่คิด การนั่งในรถแอร์เย็นฉ่ำย่อมดีกว่ามอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว แต่เธอชอบให้แม่มาส่งมากกว่า
“ถ้าอามาส่งทุกวันชอบไหม” ตะล่อมถามเพื่อกระตุ้นให้หนูน้อยเห็นข้อดีของตน
“จริงเหรอ” แววตากลมเป็นประกายเมื่อได้ยินอย่างนั้น ไม่เคยได้นั่งรถยนต์ไปโรงเรียนเลยสักครั้ง และนี่เป็นครั้งแรกเหมือนจะติดใจไปแล้ว ทว่าเด็กหญิงไม่อาจตัดสินใจเองได้
“จริงสิ จริงเลย ว่าแต่พ่อของหนูไม่มาส่งเหรอ” แค่เอ่ยคำว่าพ่อก็ทำให้ใบหน้าเล็กสลดลง เธอเองก็เฝ้าถามถึงบิดาจากคนเป็นแม่ แต่พอได้คำตอบก็ทำให้ห่อเหี่ยวพอสมควร คำว่าพ่อที่ไม่เคยได้เอ่ยกับเจ้าตัวเลยสักครั้ง
“แม่บอกว่าพ่อหนูตายแล้ว พ่ออยู่บนสวรรค์” ชี้บนท้องฟ้าที่มีหมู่เมฆลอยเต็มไปหมด เขาอดสงสารศศิมณฑลไม่ได้จนตัดสินใจเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็ก แค่เห็นแววตากลมที่เหม่อลอยก็รู้ว่าคงคิดถึงพ่อ
“อ้อ..ถ้างั้นให้อามาทำหน้าที่แทนพ่อดีไหม” เสนอตัวอย่างมีนัยยะแอบแฝง และคิดว่าเด็กหญิงคงไม่รู้หรอก ถึงเขาจะเสียใจกับเธอที่สูญเสียผู้นำครอบครัว แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว ซึ่งวรรณวรินและลูกสาวต้องเดินหน้าต่อไป
แล้วเขาก็ยินดีจะทำหน้าที่นั้นเอง
โดยทิวากรไม่รู้เลยว่าคนที่เด็กหญิงคิดว่าอยู่บนฟ้า...คือตัวเอง
“ไม่เอาอ่ะ หนูไม่อยากมีพ่อหน้าเหมือนเป็ด” ตาคมเบิกกว้างไม่คิดว่าตนจะยังเป็นเป็ดในสายตาของคนตัวเล็ก
เป็ดที่ไหนจะหล่อขนาดนี้!
“เฮ้เด็กน้อย อาหน้าเหมือนเป็ดตรงไหนกัน ดูสิ หล่อขนาดนี้จะเหมือนเป็ดได้ยังไง เหมือนพระเอกในละครมากกว่า” พยายามโน้มน้าวความคิดให้ศศิมณฑลคล้อยตาม แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะจิตใจมั่นคงเสียเหลือเกิน
“ไม่เห็นเหมือนพระเอกเลย อาหน้าเหมือนตัวร้ายในการ์ตูน ฮ่าๆๆ” หัวเราะมีความสุขจนเขาต้องกัดฟันแน่นข่มอารมณ์เอาไว้
“เย็นไว้ เย็นไว้ไอ้สอง นั่นเด็ก” พึมพำเสียงเบาแล้วจอดรถหน้าโรงเรียนรัฐบาลใกล้ร้านดอกไม้แห่งหนึ่ง
เขาเห็นเด็กน้อยพากันเดินเข้าไปข้างใน ส่วนเด็กเล็กจับจูงมือผู้ปกครองเข้าไป ค่อยเหลียวมองคนข้างกายที่สาระวนกับการปลดเข็มขัด ร่างหนาจึงก้มไปจัดการให้พร้อมยิ้มกว้าง
“ถึงแล้ว...เดี๋ยวอาไปส่งหน้าห้องเรียน”
“ไม่เอาหรอก” ส่ายศีรษะเพราะถือว่าตัวเองโตแล้ว อีกอย่างแม่ก็เลิกไปส่งหน้าห้องตั้งแต่สองวันแรก ถึงจะอิจฉาเพื่อนในห้องหลายคนที่มีพ่อแม่มาส่งตลอด แต่ก็พยายามปลอบใจว่าแม่ไม่ว่าง และตนก็สามารถไปห้องเองได้
“เอาเถอะน่า เดี๋ยวอาไปส่งหน้าห้องเรียนเอง ป่ะ เอากระเป๋ามา” แต่พออาหน้าเป็ดอาสาด้วยรอยยิ้ม เธอก็นิ่งแล้วยอมถอดกระเป๋าให้คุณอาถือโดยง่าย
พอลงจากรถเขาก็กลายเป็นจุดสนใจทันที รถซีดานสุดหรูทำให้ครูหลายคนมอง แถมผู้ปกครองบางคนที่ขับรถมาส่งลูกก็ไม่ละสายตา ยิ่งพอเห็นคนขับก็ดึงดูดความสนใจมากกว่าเดิม
“ขอมือหน่อยเด็กน้อย เข้าโรงเรียนกัน” สายตาที่จับจ้องเล่นเอาศศิมณฑลอึดอัด เขาเห็นอย่างนั้นจึงยื่นมือเพื่อให้เด็กน้อยจับ แล้วคนตัวเล็กก็ค่อยวางมืออย่างกล้าๆ กลัวๆ
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ” คุณครูที่อยู่หน้าโรงเรียนทักทายเขา และคำว่าพ่อทำให้ทิวากรยืดอกภาคภูมิใจถึงจะไม่ใช่สถานะที่แท้จริงก็ตาม เขายิ้มกว้างอย่างที่ถ้าคนในบริษัทมาเห็นคงแตกตื่นเป็นแน่ มีอย่างที่ไหนเจ้านายหน้าขรึมถึงฉีกยิ้มขนาดนั้น
ถ้าฝนไม่ตก...พายุก็ต้องเข้าล่ะ
“สวัสดีครับ” ค้อมศีรษะแล้วพาน้องยิหวาเข้าไปข้างใน เด็กน้อยที่จับมือเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ ร่างสูงจึงก้มลงมองแล้วกล่อมให้คล้อยตาม
“เอาน่า...เป็นพ่อแค่แป๊บเดียวเอง” เดินไปโซนอนุบาลโดยมีลูกสาวของวรรณวรินบอกเส้นทาง พอเขามาถึงห้องอนุบาลหนึ่งทับหนึ่งก็เห็นผู้ปกครองมาส่งลูกเช่นกัน เด็กบางคนยังร้องไห้ไม่หยุดอยู่เลย
“แม่มาส่งที่นี่ทุกวันเลยเหรอ” ไม่เห็นว่าศศิมณฑลจะร้องไห้เหมือนคนอื่น แถมยังถอดรองเท้าเอาวางไว้หน้าห้องเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“แม่ส่งข้างหน้า ไม่เข้ามาในนี้” แค่ได้ยินเขาก็อ้าปากค้าง
“แสดงว่าหนูเดินเข้ามาเองเหรอ” ไม่อยากเชื่อว่าวรรณวรินจะยอมให้ลูกเข้ามาคนเดียว แต่พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเขาก็ยกยิ้มอย่างเอ็นดูปนทึ่ง นั่งย่อลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน ยกมือขึ้นลูบศีรษะมนอย่างแผ่วเบา
“เก่งเหมือนกันนะ” ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วกายเล็ก จนหนูน้อยเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น จึงยิ้มตอบและเป็นรอยยิ้มแรกที่ทั้งคู่มอบให้แก่กัน
เป็นสายใยที่ไม่มีทางตัดกันขาด...
“สวัสดีค่ะน้องยิหวา วันนี้คุณพ่อมาส่งเหรอคะ” ครูประจำชั้นเข้ามาทักทาย พร้อมมองหนุ่มหล่อแต่งตัวดีที่ตนไม่คุ้นตาสักนิด แววตาของหล่อนไม่ปิดบังว่าค่อนข้างปลื้มเขา
ชายหนุ่มอยากตอบรับแต่พอมองเด็กน้อยที่อาจสับสนได้จึงต้องทำใจตอบตามความจริง เพราะเขาเป็นเพียงแค่คุณอาไม่ใช่พ่อ...แต่ก็ไม่แน่หรอก อีกไม่นานเขาอาจเป็นพ่อของน้องยิหวาก็ได้
“เปล่าครับ เป็นอา” คำยืนยันทำให้คุณครูยิ้มกว้างมากกว่าเดิม สายตาเปล่งประกายด้วยความหวังโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองไม่มีหวัง เพราะทิวากรไม่มีใจเสน่หาต่อคนตรงหน้าสักนิด
“อ้อ คุณอานี่เอง..”
เขาเลิกสนใจครูประจำชั้นแล้วหันมามองหน้าศศิมณฑลเหมือนเดิม เริ่มเอ็นดูเด็กน้อยที่ดูโตเกินวัยเสียแล้ว แม่ลูกคู่นี้คงผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะจริงๆ
เริ่มสนใจชีวิตของวรรณวริน เธอต้องเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมาหลายปี และสามารถเลี้ยงลูกน้อยให้เติบโตมาได้อย่างดี...
ไม่ธรรมดาจริงๆ ผู้หญิงคนนี้
“ตั้งใจเรียนนะเด็กดื้อ” ยิ้มอย่างเอ็นดู แววตาอ่อนโยนกว่าเดิมจนหนูน้อยต้องทำหน้ายู่ใส่
“หนูไม่ได้ดื้อสักหน่อย...สวัสดีค่ะ” ปฏิเสธคำเรียกนั้นแล้วเว้นจังหวะ ค่อยยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมแล้วเข้าไปในห้องเรียน
“ครับ” ตอบรับก่อนมองร่างเล็กที่เข้าไปพูดคุยกับเพื่อนในห้อง แล้วหันมามองเขาพร้อมโบกมือทักทาย ชวนเพื่อหันมาดูด้วยจนเด็กทั้งห้องมองชายหนุ่มเป็นตาเดียว เล่นเอาทิวากรเริ่มเขินจึงลุกยืนเต็มความสูง แล้วบอกคุณครูที่ยังไม่ยอมไปไหน
“ฝากด้วยนะครับ”
“จะดูแลน้องยิหวาอย่างดีเลยค่ะ” ได้ยินอย่างนั้นจึงมองร่างเล็กเป็นครั้งสุดท้าย ค่อยเดินกลับไปหน้าโรงเรียนเพื่อขับไปร้านดอกไม้
ทว่าโทรศัพท์ที่ดังจนเรียกความสนใจ เห็นชื่อเลขานุการก็ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย รู้ทันทีว่าคงมีเรื่องด่วน
ทำไมไม่มีอะไรเป็นใจเลยนะ!