๔ ดลใจให้ครองคู่ (๑)
๔
ดลใจให้ครองคู่
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงกระดิ่งทำงานทั้งที่เธอยังไม่เปิดร้าน และมันเขียนข้างหน้าว่าปิดอย่างชัดเจน ยกเว้นคนจะอ่านไม่ออกอย่างชาวต่างชาติ ทว่าใบหน้าคมที่โผล่เข้ามาในร้านดอกไม้กลับเป็นคนชาติพันธุ์เดียวกัน ร่างบางได้ยินเสียงก็เร่งฝีเท้าเพื่อจะบอกลูกค้าว่าร้านยังไม่เปิด
ปกติถ้าเป็นพนักงานมักเข้าหลังร้าน เพราะมีที่จอดรถและห้องเก็บของสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ จึงอนุมานได้ว่าต้องเป็นลูกค้า
แต่เธอไม่คิดว่าจะเป็นเขา...
“ผมมาซื้อดอกไม้” บอกเสียงเรียบขณะที่ดวงตาคมจ้องหญิงตรงหน้านิ่ง เธออยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นพร้อมผ้ากันเปื้อนเหมือนกำลังเข้าครัวแล้วรีบออกมาดูว่าใครเป็นผู้บุกรุก ใบหน้าของหล่อนเยาว์วัยกว่าอายุจริง
เขาแทบทนไม่ได้ที่ต้องกลั้นยิ้มตลอดเวลา ยามปากจิ้มลิ้มเผยอค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน
“ขอโทษทีร้านยังไม่เปิด” ย้ำเตือนอีกครั้งเผื่อเขาไม่ทราบ เจอกันเมื่อวานและชายหนุ่มทำให้เธอนอนแทบไม่หลับจนตื่นสายกว่าปกติ ลูกสาวต้องปลุกมารดาว่าถึงเวลาตื่นแล้ว
กลัวไปหมดทุกอย่างว่าความจริงจะเปิดเผย และภาวนาตลอดคืนให้เขาไม่ต้องมาที่ร้านของตน แต่เช้าวันต่อมาลูกค้าคนแรกที่เดินเข้าร้านดันเป็นทิวากรเสียได้
“โอ้ ขอโทษทีผมเห็นประตูไม่ได้ล็อค” แสร้งทำทีเหมือนเพิ่งรู้ตัว ทั้งที่เขาเห็นเวลาเปิดปิดที่ติดหน้าร้านอย่างชัดเจน
แต่แล้วอย่างไรล่ะ ประตูไม่ได้ถูกล็อคไว้สักหน่อย...
“แต่ข้างหน้าเขียนว่าปิด” ฉีกยิ้มกว้างแต่ไปไม่ถึงแววตา เธอไม่คิดว่าเขาไม่เห็น ดูจากท่าทียียวนของทิวากรเหมือนตั้งใจเข้ามามากกว่า มันน่าโมโหจริงๆ
“อ้อ ไม่ได้สังเกตน่ะ” เหลียวไปมองอีกรอบแล้วปฏิเสธด้วยเสียงไม่จริงจังนัก หล่อนพรูลมหายใจเสียงเบาแล้วจ้องหน้าเขากลับ แต่พอร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้กว่าเดิมก็เผลอถอยหลัง เหมือนเขาเป็นตัวอันตรายนักหนา และเธอก็ไม่ควรเข้าใกล้
“ทำให้ก่อนไม่ได้เหรอ” อ้อนตาแป๋วทำเอาหล่อนพูดไม่ออก ห่างกันเพียงก้าวเดียวเท่านั้นแต่เหมือนใบหน้าคมจะโน้มเข้าใกล้ จนเธอต้องรีบเดินไปยืนหลังเคาน์เตอร์ปิดกั้นโอกาสที่พวกเราจะอยู่ใกล้ชิดกันมากกว่านี้
ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่าผู้ชายตรงหน้าอันตราย เริ่มสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงมาหาหล่อนตั้งแต่ช่วงเช้าวันถัดมา หรือทิวากรจะจำได้!
“ถ้านายรอสักหนึ่งชั่วโมงได้ก็ไม่มีปัญหา” รีบเมินไปมองดอกไม้เพื่อปกปิดแววตื่นตระหนก ลอบกลืนน้ำลายลงลำคอที่แห้งผาก
ไม่หรอก...ถ้าเขารู้ความจริงเรื่องลูกต้องพูดอะไรแล้วสิ
“ดอกไม้จัดนานขนาดนั้นเชียว” ไปยืนตรงหน้าเคาน์เตอร์ตรงข้ามเจ้าของร้าน ไม่รู้ทำไมเขาชอบที่จะมองใบหน้านวลยามแสดงอากัปกิริยาต่างๆ โดยที่ทิวากรเองก็ไม่รู้ว่าแววตาของเขามันนุ่มนวลชวนฝันมากเพียงใด
“เปล่า แต่พี่ต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนก่อน” ลมหายใจสะดุดเล็กน้อยยามมองตาเขา แต่ก็พยายามคิดคำพูดมาโต้ตอบกลับ
และด้วยประโยคของหล่อนทำเอาร่างหนาต้องชะงัก สมองเริ่มประมวลผลอีกครั้งแล้วใบหน้าของเด็กหญิงที่อยู่ร้านดอกไม้แห่งนี้ก็ผุดขึ้น เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
“ลูก...อย่าบอกนะ” หายใจไม่ทั่วท้องแล้วยกมือขึ้นค้ำบนเคาน์เตอร์ ไม่อยากเชื่อว่าวรรณวรินจะมีลูกสาวโตขนาดนี้ แต่ก็ไม่แปลกหรอกด้วยอายุอานามของหล่อนน่าจะแต่งงานเรียบร้อยแล้ว
หัวใจถูกบีบรัดแน่นยามรู้ความจริง จ้องหล่อนอยู่อย่างนั้นไม่ขลาดเคลื่อนเหมือนอยากประวิงวอนว่าให้คำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องโกหก มันจะเป็นความจริงได้อย่างไร ถ้าเธอแต่งงานพี่สาวเขาต้องบอกก่อนสิ
ยังไม่ทันได้ถามว่าเธอแต่งงานแล้วเหรอ เด็กหญิงศศิมณฑลก็สะพายกระเป๋าและสวมรองเท้าเรียบร้อยเดินออกมาจากด้านหลัง
“แม่ขา หนูพร้อมไปโรงเรียนแล้ว” ฉีกยิ้มกว้างพร้อมไปโรงเรียน เธออยู่ในชุดนักเรียนอนุบาลและเปียผมเรียบร้อยจึงมีความสุขมาก แถมยังผูกโบว์ชมพูสีโปรดอีกต่างหาก เพื่อนเห็นจะต้องเข้ามารุมล้อมแน่เลย
ทว่ารอยยิ้มก็หายไปเมื่อเห็นคู่ปรับของตนที่มาเยือนร้านตั้งแต่เช้า สาวน้อยหน้าบูดบึ้งแล้ววิ่งมาหามารดาที่หลังเคาน์เตอร์
“เกือบลืมไปเลย” พึมพำเสียงเบาแล้วยกมือขึ้นปิดปาก เริ่มคิดหนักว่าอุปสรรคของตนมันช่างแข็งแกร่งเกินจะทำลายได้
แต่ข้อสงสัยเดียวที่อยากรู้ตอนนี้...สามีและพ่อของเด็กคนนี้ไปอยู่ไหน
“แม่ขา ลุงหน้าเป็ดมาได้ยังไงคะ” เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกทิวากรในใจมาตลอด จนเผลอเรียกออกมาทำเอาคนอายุมากกว่าทั้งสองถึงกับตกใจ คุณแม่รีบมองดุลูกสาวตัวน้อยแล้วจับจูงออกมาจากหลังเคาน์เตอร์เพื่อเผชิญหน้ากับเขา
“ทำไมเรียก..เขาแบบนั้นล่ะ” เธอไม่อยากเรียกร่างสูงว่าลุง เพราะทราบดีว่าตนอายุมากกว่า
หนูน้อยยืนตรงหน้าทิวากรแล้วมองเขาอย่างไม่ชอบใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนุ่มนักบริหารคงแกล้งยิหวาไปแล้ว แต่เพราะอยู่ต่อหน้าแม่ของเด็กถึงได้เงียบเอาไว้
เพิ่งรู้ว่าถูกคนอายุน้อยกว่าตั้งสมยานามหน้าเป็ด คนออกจะหล่อ...หน้าเหมือนเป็ดตรงไหนกัน
“หนูไม่ชอบลุงหน้าเป็ด” เงยหน้ามองมารดาแล้วตอบเสียงดังฟังชัด คนที่ถูกเรียกว่าลุงถึงกับต้องยกมือขึ้นกอดอก แล้วโต้กลับไม่ยอมแพ้
“ให้มันน้อยหน่อย ใครลุง ฉันอายุน้อยกว่าแม่เธออีก เรียกอาสิ” อย่างน้อยก็เรียกให้ถูกหน่อยเถอะ เด็กนี่เพิ่มความสูงวัยให้เขาโดยใช่เหตุ
“หนูไม่ชอบอาหน้าเป็ด”
“โห เก่งเนอะ ประโยคเดิมแค่เปลี่ยนคำ ฉันก็ไม่ชอบเด็กปากกว้างเหมือนกันนั่นแหละ” ทิวากรเริ่มโต้กลับไม่ยอมแพ้ ลืมไปเสียสนิทว่าอยู่ต่อหน้าคนเป็นแม่ของศศิมณฑล เขาชอบที่จะต่อปากต่อคำกับคนตัวเล็กที่มีแววตาดื้อรั้น
รู้เดี๋ยวนี้เองว่าหน้าตาของเด็กน้อยถอดแบบออกมาจากใคร...ก็คนเป็นแม่อย่างไรเล่า เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
“ม่ายยย ฮืออออ ปากหนูไม่กว้างนะ” ร้องเสียงดังแล้วเกาะขาแม่เอาไว้ พยายามปฏิเสธแล้วยกมือขึ้นปิดปากตนเอง ร่างบางจ้องน้องชายเพื่อนอย่างเอาเรื่องที่ล้อเลียนแบบนี้ เธอกลัวมันจะกลายเป็นปมในใจของลูกสาว
“กว้าง ปากกว้าง แบร่ๆๆ” แต่มีหรือที่คนตัวสูงจะหยุด ยังคงล้อเลียนโดยไม่ดูสีหน้าของวรรณวรินสักนิด
“ไม่กว้าง” เถียงกลับอย่างเอาเรื่อง จนคนเป็นแม่เริ่มเหนื่อยใจแล้วต้องเปล่งเสียงสุดพลังเพื่อห้ามไม่ให้คนทั้งสองสร้างเรื่องไปมากกว่านี้
“พอเลยทั้งสองคน! นายไปนั่งตรงนั้น ส่วนเราขอโทษที่เรียกอาสองแบบนั้น ไม่น่ารักเลยค่ะ” บอกร่างหนาแล้วชี้ไปที่โซฟาสำหรับลูกค้า ทว่าเขาก็ยังไม่ก้าวไปไหนและยืนอยู่ที่เดิม เพื่อจ้องสองแม่ลูก วรรณวรินย่อตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับคนตัวเล็ก
จำต้องบอกลูกให้เรียกพ่อว่าอาสอง จากที่คิดคำนวณมาอย่างดีคาดว่าทิวากรคงไม่รู้เรื่องของพวกเรา เขาอาจจะลืมค่ำคืนนั้นไปแล้วด้วยซ้ำเพราะเมามากจนแทบไม่มีสติ ต่างจากหล่อนที่จำได้กระทั่งเสียงครวญครางของตนยามอยู่ใต้ร่างหนา
“หนูไม่อยากขอโทษ” กอดอกแล้วหันหน้าไปทางอื่น ยืนกรานชัดเจนถึงความต้องการของตน
“ยิหวา” เรียกชื่อเสียงเข้ม เล่นเอาเด็กหญิงตัวน้อยต้องเงยหน้ามาคุณอาที่ไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเจอ และไม่คิดว่าจะเจอกันบ่อย
“หึ ขอโทษ” ทำเสียงขึ้นจมูกแล้วเอ่ยอย่างขอไปที แต่พอเห็นสายตาของมารดาที่จ้องดุก็จำต้องยกมือขึ้นไหว้ “ขอโทษค่ะ อา..” เว้นวรรคเมื่อไม่แน่ใจว่าควรเรียกเขาว่าอย่างไร
“อาสอง” คนเป็นแม่จำต้องบอก แล้วหลุบตาต่ำมองพื้นไม่กล้าสบตาใคร กลัวว่ามันจะเผยความจริงที่หล่อนเก็บงำมาตลอดระยะเวลาหกปี
เรื่องพ่อของเด็ก...