๓ วนเวียนกลับมาพบอีกครั้ง (๒)
“เดี๋ยวสิ ฉันทำบราวนี่ให้เธอ..เอาไปกินที่บ้านด้วย” บอกพร้อมรอยยิ้มหวานก่อนที่เสียงจะขาดหายเมื่อแววตาหวานเหลือบไปเห็นคนที่ไม่ได้เจอกันนาน
ลำตัวแข็งทื่อเมื่อได้สบตากับเขา หัวใจหล่นไปกองอยู่พื้นจนเกือบเผลอปล่อยขนมหลุดมือ ถ้าไม่ใช่นารากานต์ที่หยิบมันไปถือไว้เสียก่อน หล่อนคงแสดงอาการตกใจจนเป็นที่จับพิรุธได้
ไม่นึกว่าจะเจอกับทิวากรเร็วขนาดนี้ ตั้งแต่เจอเพื่อนสนิทเธอก็คิดว่าอย่างไรก็ต้องเจอพ่อของลูก จึงพยายามหาวิธีหลบเลี่ยง และเลือกจะตัดบทยามพี่สาวของชายหนุ่มเอ่ยถึง พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนอกจากเรื่องที่เกิดในคืนมึนเมา
มันเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ไม่ใช่ความเสน่หา ฉะนั้นถ้าเขาลืมหรือไม่อยากพูดถึงก็ควรปิดมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด
“ขอบใจน้า ต้องอร่อยแน่เลยแค่หน้าตาก็กินขาดแล้ว อ่ะ ลืมแนะนำไปเลย แกจำน้องชายของฉันได้ไหม เหมือนเคยเจอกันตอนเด็กหรือเปล่า” เป็นครั้งแรกที่คนคู่นี้ได้เจอกันแบบที่สติยังครบถ้วน ไม่เหมือนครั้งอยู่ร่วมงานเลี้ยงสละโสด
เพราะว่าที่เจ้าบ่าวเมาตั้งแต่หัววัน แทบไม่ทักทายแขกคนไหนเลย บางคนก็พาเพื่อนที่เขาไม่รู้จักมาซึ่งทิวากรไม่ว่าอะไร มันก็เหมือนงานเลี้ยงที่ตนสามารถถอดเขาออกจากหัวได้ หลังโง่โดนสวมเขาอยู่นานสองนาน
“เคยด้วยเหรอ ไม่เคยนะ” วรรณวรินคิ้วขมวดแล้วพยายามนึกว่านอกจากงานเลี้ยงครั้งนั้น พวกเขาเคยเจอกันก่อนหรือเปล่า
แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอ...
“นั่นสิ ไม่น่าจะเคยเจอนะพี่หนึ่ง” กัดกรามแน่นแล้วบอกพี่สาว แต่แววตาคมยังไม่คลาดเคลื่อนจากใบหน้านวลสวย
เขาจำเพื่อนสนิทคนนี้ของนารากานต์ได้ เห็นพูดถึงว่าสนิทที่สุดอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่เคยพาไปบ้านสักครั้ง คงเพราะกลัวแม่จะมองเหยียดทำให้เพื่อนเสียความมั่นใจซะเปล่า ขนาดเพื่อนเขาที่ฐานะดีแต่ไม่เอาไหนยังโดนมารดาค่อนขอดเลย
“อ้าวเหรอ งั้นก็เจอกันครั้งแรกสินะ นี่เนเน่เพื่อนรักของพี่เอง ส่วนนี่ไอ้สองน้องชายจอมเจ้าชู้ของฉัน” กอดคอเพื่อนสนิทที่ตัวเล็กกว่า วรรณวรินพยายามทำหน้ายิ้มแย้มไม่ให้แสดงพิรุธถึงเรื่องคืนนั้น และคิดว่าเขาเองก็คงจำไม่ได้หรอก
กังวลไปหมดและอยากให้สองพี่น้องออกไปสักที เธอแทบไม่ได้ยินที่นารากานต์แนะนำชื่อของน้องชาย กำลังบังคับลมหายใจให้เป็นปกติไม่ถี่เร็วจนเกินไป
นี่มันยากเกินไปแล้ว การเจอหน้าครั้งแรกในรอบหกปี...ไม่ใช่สิ ปกติเธอก็แทบไม่เจอเขาเลย ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกับนารากานต์แต่อีกฝ่ายไม่ค่อยพูดถึงน้องชายเท่าไหร่ จึงไม่รู้เรื่องของทิวากร
“ขอโทษนะพี่สาว ผมไม่ได้เจ้าชู้สักนิด” รีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว พลางเหลือบมองร่างบางที่ทำเพียงยกปากหยักให้ยิ้มแต่ไปไม่ถึงดวงตา ทั้งยังดูเหมือนหวาดหวั่นอะไรบางอย่าง ที่เขาไม่อาจรู้ได้ว่ามันคืออะไร
“อ้อเหรอ ฉันเห็นแกกิ๊กกั๊กหญิงไปทั่วเมือง อีกนิดจะสร้างเป็นฮาเร็มได้แล้ว”
“พี่อย่าพูดเวอร์ได้ไหม พูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นได้ไง ผมเสียหายหมด” กัดฟันนิ่งแล้วบอกพี่สาว เขาอยากจะเอามือปิดปากนารากานต์เหลือเกินที่พูดไม่ไว้หน้าน้องชายบ้างเลย
“พูดแบบนี้ดีแล้ว เพื่อนสุดที่รักของฉันจะได้รู้นิสัยแท้จริงของแกแล้วไม่หลงไปกับหน้าตาอันหล่อเหลา เน่ ได้โปรดมองสูงเข้าไว้นะเพื่อน” บอกเพื่อนรักอย่างจริงใจ ทำเอาหล่อนต้องรีบพยักหน้าตามน้ำ ทั้งที่หัวใจเต้นแรงกลัวจะทะลุออกมานอกอก หล่อนกังวลจนมือชื้นเหงื่ออยากให้คนทั้งสองกลับบ้านสักที
วรรณวรินไม่สามารถเก็บอาการของตัวเองไว้อย่างแนบเนียน ทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาของทิวากรและเขาก็นึกสงสัย
นี่เขาดูน่ากลัวจนอีกฝ่ายไม่กล้าสบตาเลยเหรอ...
“พี่หนึ่ง นี่พี่จะมองผมในแง่ดีบ้างไม่ได้หรือไง”
“เหอะ อ่ะเอาไปไว้ในรถ เดี๋ยวขอเข้าห้องน้ำก่อนแล้วจะตามออกไป” ยื่นกระเป๋าและขนมให้น้องชาย ก่อนปล่อยเจ้าของร้านดอกไม้ให้เป็นอิสระ แล้วเดินไปหลังร้านเพื่อเข้าห้องน้ำ ทำเอาร่างบางถึงกับพูดไม่ออก ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
แย่แล้ว...การอยู่สองคนไม่เป็นผลดีต่อเธอเลย ถึงจะไม่ได้สมัครรักใคร่และเคยเจอกันเพียงครั้งเดียว แต่เรื่องลูกจะให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาด!
ทว่าเธอก็ไม่อาจทราบถึงความทรงจำของเขาว่าคืนนั้น...ชายหนุ่มจำได้หรือเปล่า
ไม่หรอก ถ้าจำได้ก็น่าจะเอ่ยขึ้นมาบ้างสิ แต่นี่ไม่พูดถึงและยังมองเธอเหมือนเป็นคนแปลกหน้า พยายามกล่อมตัวเองแบบนี้แล้วทำใจดีสู้เสือ
“ถามจริงนะ พี่ไม่เคยเจอผมเลยเหรอ เราไม่เคยเจอกันมาก่อนสักครั้งเลยเหรอ” เข้ามาใกล้จนเธอต้องถอยหลัง ใบหน้าหวานแหงนขึ้นเพื่อสบดวงตาคม แล้วรีบหลบทันทีเมื่อถูกจ้องอย่างไม่ลดละและเหมือนจะเค้นเอาความจริง
วรรณวรินเม้มปากแน่นกลัวว่ามันจะสั่นจนเขาสังเกตได้ ดวงตากลมหลุบลงมองพื้นเพื่อปิดกั้นความว้าวุ่นภายในใจไม่ให้คนตรงข้ามเห็น
หรือว่าเขาจะจำคืนนั้นได้...แต่ทิวากรเมามากจนคิดว่าหล่อนเป็นหญิงขายบริการด้วยซ้ำ กระนั้นเขาก็ยังมีแรงใส่ไม่ยั้งจนให้กำเนิดเด็กน้อยที่แสนน่ารัก โดยตนเองไม่รู้ตัวสักนิด
“ไม่ ไม่เคย” ปฏิเสธเข้มแต่ก็สั่นไหว ร่างสูงยังไม่คิดจะยอมแพ้และพยายามไล่ต้อนแกะน้อย แต่พี่สาวก็มาขัดจังหวะเสียก่อน
“ไปยัง” นารากานต์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยถามน้องชายที่จ้องเพื่อนตนไม่วางตา แต่ไม่นานก็ถอนสายตามามองพี่สาว
“ไปสิ ว่าแต่...พี่ไม่ชวนเพื่อนพี่ไปงานวันเกิดพ่อเหรอ” ค่อยกลับมาจ้องวรรณวรินอีกรอบ เล่นเอาเจ้าของร้านถึงกับทำอะไรไม่ถูก ความจริงเพื่อนสนิทก็ชวนแล้วหนึ่งรอบแต่หล่อนบอกเหตุผลที่ไปไม่ได้แล้ว ซึ่งก็ไม่ถูกเซ้าซี้เพราะเข้าใจเป็นอย่างดี
แต่พอทิวากรถามทำให้คนเป็นพี่เริ่มเห็นด้วย จึงมองเพื่อนแววตาเว้าวอนพลางเดินเข้ามาใกล้จนร่างสูงต้องถอยห่าง
“แกจะไม่ไปจริงเหรอ”
“ฉันต้องไปดูดอกไม้ที่ตลาดไว้สำหรับพรุ่งนี้น่ะ ขอโทษด้วยนะแล้วก็ฝากแฮปปี้เบิร์ดเดย์พ่อแกด้วย” ยิ้มอ่อนหวานทั้งแววตา เล่นเอาชายหนุ่มที่ยืนมองเผลอยกยิ้มมุมปากอย่างไม่รู้ตัว ก่อนพี่สาวจะหันมาคว้ากระเป๋าไปถือไว้เอง เขาจึงรีบหุบยิ้มแล้วทำสีหน้าราบเรียบดังเดิม
“จ้า ไว้เจอกัน บาย” โบกมือลาแล้วเดินออกจากร้าน ปล่อยเขาให้ยืนจ้องหน้าเธออยู่อย่างนั้นเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง
“ไอ้สองกลับได้แล้ว” แต่พอถูกนารากานต์เร่งเร้าจึงรีบเดินตามออกไป ปล่อยให้วรรณวรินพรูลมหายใจโล่งอก แล้วประคองสองขาให้เดินไปนั่งที่โซฟา
เมื่อกี้นึกว่าตนจะตายแล้วเสียอีก เหมือนคนจมน้ำที่พยายามไขว้คว้าอากาศ...ถ้าเจอกันบ่อยกว่านี้ต้องแย่แน่
ภาวนาให้ทิวากรอย่ามาร้านของตนอีกเลย
รถซีดานถูกขับออกจากหน้าร้านดอกไม้ชื่อภาษาฝรั่งเศส ทิวากรนิ่งผิดปกติจนพี่สาวสังเกตได้เหมือนมีเรื่องอะไรในใจ
หล่อนจำสายตาของน้องชายที่มองเพื่อนสนิทได้ ตอนออกมาจากห้องน้ำถ้าเธอไม่ขัดก่อนกลัวว่าคนตัวดีจะแอบฉวยโอกาสจากเพื่อนตนน่ะสิ เหลือบมองร่างหนาที่บังคับพวงมาลัยด้วยมือเดียว ส่วนอีกข้างยกขึ้นพาดไว้ที่ประตูรถแล้วทำท่าเหมือนครุ่นคิดบางสิ่ง
“นี่สอง เรื่องที่แกเจ้าชู้หรือนอนกับผู้หญิงกี่คนฉันไม่เคยว่าเลยนะ เพราะมันเป็นเรื่องของแกและการตกลงกับผู้หญิง แต่ว่ากับเพื่อนฉันคนนี้แกห้ามยุ่งนะ” เตือนเสียงเข้มเข้าสู่โหมดจริงจัง เธอไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับน้องชายมาก่อน อาจเพราะเรื่องที่กำลังพูดค่อนข้างสำคัญ
“ทำไม” หันขวับมาถาม
“ถ้าพวกแกคบกันแล้วไปกันไม่รอดฉันก็แย่สิ เน่คือเพื่อนรักคนเดียวของฉัน ส่วนแกก็น้องชายที่ตัดยังไงก็ไม่ขาด ฉันไม่อยากเป็นคนกลางหรอกนะเพราะฉะนั้นห้ามเจ้าชู้หรือทำตัวชีกอกับเพื่อนฉัน เข้าใจไหม”
แค่นี้ชีวิตของวรรณวรินก็เศร้ามากพอแล้ว เธอไม่อยากเห็นเพื่อนอกหักเพราะน้องชายคนเดียวของตน และอีกอย่างคือมารดาที่ต้องค้านหัวชนฝาแน่ถ้าทิวากรจะคบหากับแม่ม่าย
เธอสงสารเพื่อนไม่อยากให้เจอศึกรอบด้าน อย่างไรเสียก็ต้องเตือนน้องเอาไว้ก่อน
“แล้วพี่รู้ได้ไงว่าจะคบแล้วไม่รอด” แววตาไม่ใคร่จะชอบใจกับคำพูดของคนข้างกายสักเท่าไหร่ ถึงแฟนแต่ละคนที่ผ่านมาจะคบไม่รอด แต่ถ้าเขาไม่โดนหักหลังคงคบกันยืด เพราะเขาเองก็คร้านจะเปลี่ยนแฟนบ่อยเหมือนกัน
“พูดแบบนี้แกยอมรับว่าสนใจเพื่อนฉันเหรอ” หรี่ตามองอย่างค้นคว้า ทว่าร่างสูงกลับยกยิ้มมุมปากเหมือนเหนือกว่า
“หึ...ไม่บอก” ลอยหน้าลอยตาทำเอาหล่อนหมั่นไส้เต็มประดา
“แหม่...น้องชาย ฉันเป็นพี่แกมองตาก็รู้แล้ว ไม่เคยได้ยินกลอนตอนที่อิเหนาเจอนางบุษบาครั้งแรกเหรอ เมื่อระเด่นมนตรีเรืองศรี เหลียวไปรับไหว้นางเทวี ภูมีดูนางไม่วางตา งามจริงยิ่งเทพนิมิตร์ ให้คิดเสียดายหนักหนา...” เอ่ยล้อเลียนเพราะเพิ่งเคยเห็นแววตาของทิวากรยามตกหลุมรัก เธอเป็นคนนอกมองยังรู้เลย ไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทจะรู้ไหม
ว่าถูกเกี้ยวเข้าให้แล้ว...ถึงจะในระยะเวลาสั้นๆ ก็เถอะ
“ไม่ท่องต่อล่ะ” จำได้ลางๆ ว่าเคยเรียนบทนี้ในหนังสือ แต่เขาไม่เคยท่องจำได้สักครั้ง ขนาดครูให้ไปท่องเขายังต้องขอให้เพื่อนช่วยเขียนใส่กระดาษอยู่ข้างหลังครูเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมการศึกษาต้องให้ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง จบออกมาเขาก็จำไม่ได้สักหน่อย แถมไม่ได้ใช้งานด้วย
“จำไม่ได้ย่ะ ผ่านมาตั้งกี่สิบปีแล้ว” เหวเสียงดังพลางยกแขนขึ้นกอดอก แล้วพินิจน้องชายซึ่งทำหน้าที่สารถีอย่างดี
ถ้าทิวากรจะจีบเพื่อนหล่อนจริงก็คงต้องพร่ำใส่หูบ่อยๆ ว่าห้ามนอกใจและห้ามทำให้วรรณวรินเสียใจ แต่ทางที่ดีไม่ให้ยุ่งน่าจะเป็นดีกว่า แค่คิดว่าแม่มาฟาดเงินใส่หน้าเพื่อนหล่อนก็ต้องส่ายศีรษะแล้ว
“แต่ตาแกเวลามองเพื่อนฉันมันพราวระยับยังไงไม่รู้ ห้ามเลยนะเว้ย คนนี้ห้ามเด็ดขาด!” จ้องหน้าคนตัวสูงอยู่อย่างนั้นเพื่อรอให้ตอบรับ ทว่าร่างหนากลับไม่พูดอะไรสักคำ
‘พี่เคยห้ามผมได้ด้วยเหรอ’ คิดในใจแต่ไม่บอกให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียมากกว่านี้
สวนหน้าบ้านถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่จัดงานฉลองวันเกิดของประธาน RDC Group อย่างคุณทวีป ท่านออกมาทักทายแขกเหรื่อพร้อมบุตรชายและบุตรสาวที่ปั้นหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่แสนจะเหนื่อยเนื่องจากถูกมารดาลากไปแนะนำตัวกับลูกท่านหลานเธอ
นารากานต์ยิ่งพบเจอชายหนุ่มมากหน้าหลายตา เพราะแม่อยากให้ลูกรีบออกเรือนจึงพยายามแนะนำชายในแวดวงเดียวกัน ทว่าหล่อนไม่ถูกใจเลยสักคน
“พี่หนึ่ง ผมมีเรื่องเกี่ยวกับหุ้นจะถาม ขอยืมตัวพี่สาวสักครู่นะครับ” ทิวากรทำหน้าที่น้องชายที่ดีโดยการหาข้ออ้างพาพี่สาวออกมาจากวงสนทนา หล่อนหันมายิ้มกว้างด้วยแววตาเป็นประกาย เหมือนเห็นเทวดามาโปรด
“ไปถามคนอื่นสิสอง ไม่เห็นเหรอว่าพี่เขาไม่ว่าง” คุณภวิกามองจิกลูกชายที่มาขัดขวางการหาคู่ให้บุตรสาวที่อายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคนจนกลัวว่าจะขึ้นคาน ท่านต้องรีบปฏิบัติการหาคู่ครองให้โดยเร็ว
“ไม่ได้หรอกครับแม่ เรื่องนี้พี่หนึ่งรู้คนเดียว ขอตัวนะครับ” รีบพาพี่ออกมาทันทีไม่สนว่ามารดาจะพูดอะไรอีก สองพี่น้องพากันมายืนสูดอากาศอยู่ริมสระน้ำที่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถอนหายใจโล่งอกกว่าจะออกมาได้
“โอ๊ยน้องรัก ฉันนึกว่าตัวเองจะตายแล้วซะอีก ขอบใจแกมาก” ตบบ่าปุๆ เป็นการขอบคุณ แต่มีหรือที่คนเจ้าเล่ห์จะยอมช่วยโดยไม่หวังสิ่งใด
“ไม่รับคำขอบใจนะ ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า”
“ช่วยอะไร” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันขณะรอฟังว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนช่วยอะไร แต่เขาทำเพียงยกยิ้มมุมปากแล้วไม่ยอมตอบ ถ้าบอกตอนนี้กลัวว่านารากานต์จะไม่ยอมช่วยน่ะสิ
รอก่อนเถอะ...ถ้าสบโอกาสเหมาะเขาจะขอร้องแกมบังคับทันที